‘ชังชาติ’ ต้องมีพฤติกรรมแบบไหน อะไรที่หมายถึง ‘ชังชาติ’ บ้าง? เชื่อเลยว่าถ้าโยนคำถามทำนองนี้ไปที่วงเสวนาไหน ที่แห่งนั้นต้องลุกเป็นไฟกันแน่ๆ
ชังชาติ กลายเป็นคำที่ถูกหยิบมาล้อไปกับบริบทการเมืองไทยในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา และยิ่งถูกพูดถึงมากขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับกระแสที่คนรุ่นใหม่ออกมาพูด และตระหนักถึงความสำคัญของการเมือง ที่ส่งผลกระทบกับทุกมิติของชีวิตในช่วงหลายปีมานี้
พรรคการเมืองอย่างพรรคอนาคตใหม่ก็มีการขับเคลื่อนนโยบายที่สอดคล้องไปกับมวลบรรยากาศเหล่านี้เช่นกัน พร้อมกับข้อเสนอเรื่องการเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบายเพื่อแก้ไขความเหลื่อมล้ำทางสังคมและเศรษฐกิจ และหลายครั้งที่อนาคตใหม่ตกเป็นเป้าหมายของคำวิจารณ์ ว่าเป็นกลุ่มที่ชังชาติ หรือมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม
The MATTER จึงลองสำรวจมุมมองที่แตกต่างกัน ระหว่างนักการเมือง ส.ส. 2 วัย ว่าพวกเขามองถึงเรื่อง ‘ชังชาติ’ นี้แตกต่างกันอย่างไรบ้าง?
เริ่มจาก นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม อดีตแกนนำพรรคประชาธิปัตย์ (ซึ่งตอนนี้ย้ายไปอยู่กับพรรครวมพลังประชาชาติไทยแล้ว) ก็ได้ประกาศตัวผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจว่า จะต่อสู้กับลัทธิชังชาติ พร้อมโพสต์รูปภาพที่บอกว่า เป็น 5 การกระทำของคนชังชาติ และล่าสุดหมอวรงค์แท็คทีมกับสุเทพ เทือกสุบรรณ ประกาศตั้งเวทีบรรยายปราศรัยทั่วประเทศ ซึ่งทางสุเทพได้บอกถึงสาเหตุที่เข้าร่วมด้วยว่า เพื่อเป็นการต่อสู้ทางความคิดกับกับพรรคอนาคตใหม่โดยตรง
เราจึงขอหยิบโควทจากลุงกำนันสุเทพมาคั่นไว้ที่ตรงนี้
“บางบ้านเป็นเด็กที่พ่อแม่ไม่สั่งสอน ศาสนาก็ไม่สนใจ ซึ่งสิ่งดีดีที่เป็นวัฒนธรรมก็ควรเก็บไว้ อะไรดีดีก็ควรเก็บและเรากำลังจะเปลี่ยนอยู่แล้ว แต่บางพวกเรียนเมืองนอกมา ก็พยายามจะมาเปลี่ยน” เว็บไซต์คมชัดลึก รายงานถึงคำพูดของอดีตเลขาธิการ กปปส.
ทั้งนี้ โปรเจ็กต์ของ นพ.วรงค์ เรื่องเวทีต้านลัทธิชังชาติเริ่มต้นขึ้นไปแล้วครั้งแรกเมื่อวันศุกร์ที่ 13 และวันเสาร์ที่ 14 ธันวาคมที่ผ่านมา ใช้ชื่องานเสวนาการเมืองว่า ‘การอบรมหลักสูตรอุดมการณ์และการสื่อสารทางการเมือง’
ส่วนเว็บไซต์มติชนออนไลน์รายงานว่า เนื้อหาการบรรยายมีการอธิบายลักษณะของคนชังชาติ 5 ข้อ รวมถึงยังมีการนำภาพเอกสารของกกต.ที่พรรคอนาคตใหม่นำมาเปิดเผยว่าเป็นเอกสารลับมาเปิดบนเวที พร้อมให้ข้อมูลว่า นี่ไม่ใช่เอกสารลับอย่างที่พรรคอนาคตใหม่บอก และปิดท้ายด้วยการเปิดคลิปเหตุการณ์ม็อบฮ่องกงโดยบอกว่า ไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์ลักษณะนี้ที่เมืองไทย
ด้วยความน่าสนใจของกระแส ‘ชังชาติ’ ที่มีมาให้เห็นเรื่อยๆ ตลอดปี เราจึงได้ติดต่อขอพูดคุยกับหมอวรงค์ เกี่ยวกับทัศนะของคำว่าชังชาติ แต่ทางคุณหมอวรงค์ยังไม่สะดวกที่จะให้สัมภาษณ์ (ซึ่งทางเราก็จะพยายามตามจีบ ตามขอคุยกับคุณหมอเรื่อยๆ ในโอกาสที่คุณหมอสะดวกกว่านี้)
แต่ขออนุญาตแปะลิงก์เนื้อหาที่คุณหมอเคยพูดถึงเรื่องนี้เอาไว้แทนนะ
มาดูที่ความเห็นจากอีกฝั่งกันบ้าง
บทความนี้เรายังได้ชวนนักการเมืองรุ่นใหม่อีกคนอย่าง ‘รังสิมันต์ โรม’ สส.บัญชีรายชื่อจากพรรคอนาคตใหม่ มาแลกเปลี่ยนในประเด็นว่าด้วยเรื่องชังชาติกัน (ในฐานะที่พรรคนี้ก็ตกเป็นเป้าของคำวิจารณ์)
โรมให้ความเห็นว่า ปัญหาของคำว่า ชังชาติ เกิดจากการตีความ และให้ความหมายที่ผิดเพี้ยนไปจากจุดประสงค์เดิม ชังชาติในทัศนะของหมอวรงค์อาจจะเห็นว่า คนที่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์การเมืองมองว่า ชาติตัวเองด้อยกว่าชาติอื่นๆ หรือตั้งตัวเป็นปฏิปักษ์กับประเทศ พูดง่ายๆ คือ คนพวกนี้อยู่ตรงกันข้ามกับความหมายของคำว่า ชาติ ซึ่งในความเห็นของโรมแล้ว ความตั้งใจของกลุ่มคนเหล่านี้ถูกบิดความหมายไปมาก การพูดถึงปัญหาอย่างตรงไปตรงมาเป็นเพราะพวกเขาต้องการแก้ไขปัญหาที่มีอยู่ เพื่อให้ประเทศพัฒนาไปในทิศทางที่ดีขึ้น
“ปัญหาที่มีอยู่ และรอรับการแก้ไขมีเยอะมาก หลายเรื่องอาจจะเป็นปัญหาสังคม การเมือง ข้อกฎหมาย เศรษฐกิจ ปากท้อง ทุกๆ ปัญหามันกำลังสะท้อนให้เห็นว่า สังคมหรือประเทศที่เราอยู่ไม่ได้เพอร์เฟ็กต์ ยังมีคนที่เดือดร้อน ต้องการความช่วยเหลือ ต้องการการแก้ไขปัญหา สิ่งที่เราพยายามพูดตลอดเวลา คือ เราต้องทำให้สมาชิกในสังคมรู้ตรงกันว่า เรามีปัญหาแบบนี้”
โรมบอกว่า ส่วนหนึ่งที่ทำให้การยกปัญหาขึ้นมาถกเถียงกลายเป็นที่ไม่พอใจ อาจจะเป็นเพราะมีคนกลุ่มหนึ่งได้รับประโยชน์จากการดำรงอยู่ของปัญหาเหล่านี้ เมื่อพวกเขารู้สึกว่า การเปลี่ยนแปลงอาจทำให้ตัวเองสูญเสียผลประโยชน์ไป จึงพยายามสร้างวาทกรรมขึ้นมาเพื่อดิสเครดิต
“ทางเดียวที่จะทำให้เพดานเสรีภาพไปไกลกว่าเดิมคือทุกคนต้องใช้มัน” โรมยืนยันว่า ทุกคนมีสิทธิในการวิจารณ์ปัญหาของประเทศ หรือกระทั่งการทำงานของรัฐบาลอย่างเต็มที่ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าบรรยากาศทางการเมืองตั้งแต่เหตุการณ์รัฐประหาร 2557 ทำให้หลายคนหวาดกลัว และรู้สึกไม่ปลอดภัย กลัวว่าจะถูกดำเนินคดี หรือมีกลุ่มคนที่ไม่เห็นด้วยเข้ามาทำร้าย
“ผมตระหนักดีว่า ตอนนี้สภาผู้แทนฯเป็นองค์กรเดียวที่มาจากการเลือกตั้ง เรายึดโยงกับประชาชน ก็พยายามจะใช้พื้นที่ตรงนี้ให้ประชาชนได้มีเสรีภาพในการแสดงออก แต่ลำพังมีสภาผู้แทนฯอย่างเดียวไม่เพียงพอ เราต้องยืนยันก่อนว่า เรามีสิทธิ มันเป็นการต่อสู้กันทางความคิด ฝั่งไหนจะชนะก็ขึ้นอยู่กับว่า สังคมเอนเอียงไปทางไหน เราจำเป็นต้องช่วยกันยืนยันสิทธิของตัวเอง ถ้าเรายืนยันกันแบบนี้ไปเรื่อยๆ กระแสสังคมส่วนใหญ่ก็น่าจะมาทางคนที่ยืนยันว่า ตัวเองมีสิทธิ”
เมื่อเราถามว่า ความหมายของคำว่า ชาติ สำหรับคุณคืออะไร? โรมตอบว่า ชาติคือคนไทยทุกคน การออกมาพูดถึงปัญหาที่ตกค้างเพื่อนำไปสู่การแก้ไขจึงไม่ใช่การกระทำที่สามารถเรียกว่า ‘ชังชาติ’ ได้ ในทางกลับกันคนที่ออกมาตำหนิทั้งที่รู้ว่า หากปล่อยให้ปัญหาเหล่านี้ดำเนินต่อไปเรื่อยๆ จะส่งผลกระทบต่อประเทศยังไง คำถามต่อมาก็คือ คนกลุ่มนี้เองหรือเปล่าที่เป็นพวกชังชาติ
โรมฝากทิ้งท้ายไว้ด้วยว่า ยินดีมากๆ หากหมอวรงค์จะจัดเวทีเสวนาแล้วเชิญเขาไปร่วมพูดคุย-แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน เป็นการมาคุยกันด้วยเหตุผลเพื่อนำไปสู่ทางออก เพราะตอนนี้มีปัญหาหลายเรื่องที่รอการแก้ไขอยู่
“ผมยินดีจะคุยกับหมอมากๆ ทั้งๆ ที่ผมโดนด่าเยอะแยะขนาดนี้ว่า ผมเป็นคนชังชาติ ผมยินดีมาก เรามีปัญหาหลายเรื่องที่ต้องการความคิดความอ่านความสามารถหลายๆคน มาช่วยกันแก้ในตอนนี้”