พล็อตล้ำ ซีจีภาพอลังการ เนื้อหาพูดถึงสังคม การเมือง หรือกฎหมาย ใครที่เป็นแฟนซีรีส์เกาหลีกันมา น่าจะเห็นว่า วงการละครของประเทศนี้ มีงบ มีทุน มีบุคลากร ที่ทำให้คุณภาพของซีรีส์ไม่หยุดพัฒนา
แต่ท่ามกลางพล็อตเรื่องแปลกใหม่ที่หลายๆ คนมักมองว่าเกาหลีใต้ทำประเด็นสะท้อนสังคมได้ดี เราอาจจะสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงที่หลากหลายของตัวละครในซีรีส์เกาหลี ที่ทุกวันนี้ ไม่ได้มีแค่ตัวละครชาย หรือหญิง แต่เริ่มมีการให้บทบาทกับตัวละครหลากหลายทางเพศ LGBTQ+ มากขึ้นเรื่อยๆ และยังพยายามทำประเด็นนี้ ให้เป็นเรื่องปกติในสังคม และตัวละครเหล่านี้ก็เป็นตัวละครปกติทั่วๆ ไป เช่นกัน
ในเดือนแห่งการเฉลิมฉลอง Pride Month นี้ The MATTER จึงอยากชวนไปดู พัฒนาการของซีรีส์เกาหลี ในการขับเคลื่อนความหลากหลายทางเพศ และในความเป็นจริงที่วงการบันเทิงยังคงมีในการกีดกันประเด็นเหล่านี้ไปพร้อมๆ กัน

Coffee Prince (2007)
LGBTQ+ ในซีรีส์เกาหลี ที่เริ่มจากหญิงแต่งชาย
กระแสความฮิตของซีรีส์เกาหลี เข้ามาในประเทศไทยตั้งแต่ช่วงหลังปี 2000 ซึ่งด้วยสังคม บริบทต่างๆ ในช่วงนั้น จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เราจะยังไม่เห็นตัวละคร LGBTQ+ หรือการพูดถึงประเด็นนี้ในซีรีส์เกาหลีเลย แต่ซีรีส์ที่เรียกได้ว่าพูดถึง LGBTQ+ อย่างโดดเด่นมากขึ้น คือ Coffee Prince (2007), Personal Taste (2008) และ You’re beautiful (2010)
พล็อตเรื่องสมัยนั้น ไม่ได้พูดถึง หรือมีตัวละคร LGBTQ+ ออกมาโต้งๆ แต่มักเป็นไปในแนวหญิงแต่งชาย ปลอมตัวเป็นผู้ชายเพื่อเหตุผลบางอย่าง แต่แล้วเรื่องราวมากมายก็เกิดขึ้น จนความรักก่อตัว ทำให้ตัวพระเอกเกิดความสับสนว่าตนนั้นชอบผู้ชาย (ที่แท้จริงแล้วคือผู้หญิง) หรือไม่ อย่างใน Coffee Princeและ You’re beautiful ไปจนถึงพล็อตความเข้าใจผิดของนางเอก ว่าผู้ชายเป็นเกย์แบบใน Personal Tasteทำให้เธอยอมรับเขามาอยู่อาศัยด้วย เพราะคิดว่าอย่างไรเขาก็ไม่ได้มีรสนิยมทางเพศชอบผู้หญิง
ในยุคสมัยนั้น หลายคนอาจไม่ได้คิดถึงว่า การแต่งหญิงเป็นชาย หรือความสับสนในตัวเองของเหล่าตัวละครที่เกิดขึ้นในซีรีส์ คือการสอดแทรกประเด็น LGBTQ+ ทั้งในยุคสมัยนั้นยังมีประแสหนึ่งที่เกิดขึ้นมา คือ โกชมีนัม (꽃미남) ที่แปลตรงตัวภาษาเกาหลีว่า หนุ่มดอกไม้ ซึ่งหมายถึงผู้ชายที่ดูมีความซอฟต์มาสคูลีน ซอฟต์หวาน อ่อนโยน หรือมีรสนิยมชอบแต่งหน้า ใช้เครื่องสำอาง หรืออาจะเรียกได้ว่าผู้ชายหน้าสวยก็เป็นได้ ซึ่งโกชมีนัมนี้ ก็เป็นลักษณะของคาแร็กเตอร์ที่ปรากฏตัวในซีรีส์ยุคนี้มากขึ้น โดยเฉพาะตัวละครของ ฮวังแทคยอง พระเอกเรื่อง You’re beautiful
ด้วยวัฒนธรรม K-POP และไอดอลบอยแบนด์ ที่เริ่มเป็นที่นิยมมากขึ้น บวกกับกระแสซีรีส์เกาหลี ที่สร้างภาพลักษณ์ผู้ชายแบบโกชมีนัมขึ้นมาในยุคนี้ มีงานวิจัยที่ว่า เพราะผู้คนมักจะชื่นชมโกชมีนัมในสื่อ และจากการบริโภคผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับโกชมีนัม พวกเขาจึงยอมรับอัตลักษณ์เกย์ในวัฒนธรรมสมัยนิยมของเกาหลีมากขึ้น และสิ่งนี้ชี้ให้เห็นว่าการรักร่วมเพศในเกาหลีค่อนข้างจะได้รับการยอมรับจากหนุ่มสาวชาวเกาหลี และสามารถใช้โกชมีนัม เป็นวิธีผสมผสานเกย์ หรือ LGBTQ+ เขากับสังคม
นอกจากซีรีส์แล้ว ในยุคทศวรรษ 2000 เอง ยังมีภาพยนตร์มากมาย ที่พูดถึง และฉายภาพของ LGBTQ+ ต่อสังคมมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น The King and the Clown (2005), Antique (2008) และ A Frozen Flower (2008) ซึ่งควอนจองมิน ศาสตราจารย์ด้านภาพยนตร์ใน Portland State University พูดถึงปรากฏการณ์ของผู้หญิงที่เป็นเพศตรงข้าม ที่จินตนาการถึงร่างกายของเกย์ว่าเป็นส่วนที่ทำให้ภาพยนตร์เหล่านี้เป็นกระแส และภาพยนตร์เหล่านี้ ล้วนแต่มีองค์ประกอบที่คล้ายกันของ ‘หนุ่มหล่อ’ ในบริบทของการรับบทคาแร็กเตอร์ LGBTQ+

Under The Queen’s Umbrella (2022)
ตัวละคร LGBTQ+ ที่มีพื้นที่ในละครมากขึ้น
แม้ว่าจะมีการให้บทบาทตัวละคร และพื้นที่ของ LGBTQ+ มากขึ้นแล้ว แต่ก็ยังมีการใช้บทบาทของ LGBTQ+ เป็นตัวตลกอยู่บ่อยครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการให้ตัวละครชายแท้ แอ๊บแต่งตัวเป็นผู้หญิงหรือเกย์ เพื่อปลอมตัวทำภารกิจ หรือเป็นตัวตลกในฉากนั้นๆ แต่ถึงอย่างนั้น ในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา ก็อาจเรียกได้ว่าเป็นพัฒนาการที่ดีขึ้น ที่เราเห็นซีรีส์เกาหลี ให้บทบาทตัวละคร LGBTQ+ ที่ไม่ได้ยัดเยียดภาพจำความเป็นตุ๊ดแต๋ว ผิดปกติ หรือมีคาแร็กเตอร์แปลกกว่าคนอื่นๆ แต่คือคนธรรมดาๆ ที่มีชีวิต มีทางเลือก และมีความรัก ความชอบในแบบของพวกเขา
สำหรับผู้เขียน ซีรีส์เรื่องแรกที่ทำให้รู้สึกเช่นนั้นคือ Be Melodramatic (2019) ของช่อง JTBC ซีรีส์ที่นำแสดงโดยตัวหลักของผู้หญิง 3 คน ที่หนึ่งในนั้น มีน้องชายเป็นเกย์ ฮโยบง เป็นตัวละครเกย์ที่แสดงให้เห็นถึงชีวิตปกติอย่างเป็นธรรมชาติของเขา ที่มีครอบครัว มีการงาน และมีคนรัก แต่ก็มีฉากที่แสดงให้เห็นถึงสังคมเกาหลี ที่ยังเกลียดกลัวคนรักเพศเดียวกัน หลังจากที่ฮโยบง และแฟนหนุ่มถูกไล่ออกจากร้านอาหาร เพียงเพราะพวกเขาคือคู่รักเพศเดียวกัน
หลังจาก Be Melodramatic ก็มีซีรีส์อีกที่พูดถึง LGBTQ+ มากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็น Itaewon Class (2020) ที่หนึ่งในตัวละครหลัก ฮยอนอี คือผู้หญิงข้ามเพศ และต้องก้าวข้ามความกลัวในการประกาศว่าเธอคือผู้หญิงทรานส์ หรือในซีรีส์ Love In Contract (2022) นอกจากเรื่องราวหลักที่ดำเนินไปแล้ว ยังมีการเล่าเรื่องประกอบในการต่อสู้ของ กวังนัม ที่บทบาทของเขาสะท้อนให้เราเห็นความยากลำบากในการใช้ชีวิตในฐานะเกย์ในสังคม รวมไปถึงประเด็นที่ชายแท้ ยอมเป็นเพื่อนกับเกย์ด้วย
แม้แต่ในละครซากึก หรือแนวย้อนยุคเอง ก็มีการพูดถึงประเด็นนี้เช่นกัน กับ Under The Queen’s Umbrella (2022) ที่นำเสนอภาพการต่อสู้ของหนึ่งในองค์ชาย ที่มีรสนิยมทางเพศชอบแต่งตัวเป็นผู้หญิง และที่ไม่ได้รับอนุญาตให้ยอมรับตัวตนของตัวเองเนื่องจากตำแหน่งของเขาในฐานะเจ้าชาย และการยอมรับของแม่ในการรับมือ และปกป้องลูกชาย
ไม่เพียงแค่ตัวละครชาย แต่เกาหลียังเสนอภาพของ Girl’s love เช่นกัน กับคาแร็กเตอร์ครูประถม โชฮี ใน Home town cha cha cha (2021) ที่แอบชอบเพื่อนผู้หญิงของเธอมายาวนาน และต้องปิดบังความรู้สึกไว้ เพราะพยายามแก้ไขความเจ็บปวดจากประสบการณ์ที่แม่ของเธอไม่ยอมรับตัวตนของเธอ แต่สุดท้ายเพื่อนสาวของเธอก็ยอมรับ และยังคงเป็นเพื่อนกับเธอ หรือใน Nevertheless (2021) ที่แม้เนื้อเรื่องหลักจะเป็นความสัมพันธ์ของชายหญิง แต่ก็มีคู่รักหญิงหญิงที่เปิดเผย ระหว่าง ยุนซอลกับซอจีวาน ที่เริ่มจากเพื่อนสนิท และกลายเป็นคนรักในเวลาต่อมาด้วย และ Mine (2021) ซีรีส์ที่ตีแผ่ชีวิตของเหล่าคนรวย หรือแชบอลของเกาหลี ซึ่งมีตัวละครเลสเบี้ยนอย่าง จองซอฮยอนเป็นตัวหลักด้วย

Home town cha cha cha (2021)
Queerbaiting การขายความ queer ให้เป็นสินค้า
ถึงการให้บทบาทตัวละคร LGBTQ+ และสะท้อนให้เห็นความลำบาก หรือชีวิตของพวกเขาผ่านซีรีส์ แต่ก็ยังมีซีรีส์เกาหลีบางเรื่องเช่นกัน ที่ใช้ประโยชน์ตัวละคร LGBTQ+ เพื่อการดึงดูดความสนใจของคน แต่กลับทำให้ประเด็นทางเพศเป็นเรื่องตลก หรือแค่ต้องการขายซีนนั้นให้เหล่าผู้ชม
มินิซีรีส์ปี 2017 เรื่อง The Boy Next Door ที่นำแสดงโดย ชเวอูชิก และจางกียง ซีรีส์สั้นตอนละ 5-7 นาที ซีรีส์เบาสมอง ตลก และดูได้คลายเครียด เรื่องราวของสองหนุ่มโสดที่มีเหตุต้องย้ายมาอยู่ด้วยกันด้วยความบังเอิญ และมีฉากตลก ขบขัน ทำให้คนเข้าใจผิด และชี้นำว่าพวกเขาทั้งคู่คือคู่รัก โดยที่ในตอนจบนั้นเป็นแบบปลายเปิด ไม่มีการสรุปว่า พวกเขากลายเป็นคู่รักแบบที่ถูกเข้าใจผิดหรือไม่ แม้ว่าในซีรีส์จะมีฉาก come out และสนับสนุนการยอมรับตัวตนออกมาสั้นๆ แต่จากฉากต่างๆ ที่เรียกเสียงฮา สร้างความขบขัน และชี้นำให้คนเข้าใจผิดในความสัมพันธ์ของตัวละคน ในมุมนึงก็ถูกวิจารณ์ และมองว่าเป็นซีรีส์ที่ขายความ Queerbaiting เช่นกัน
อีกเรื่องที่มีฉากสร้างความไม่สบายใจให้กับผู้ชมคือ ซีรีส์ยอดฮิตอย่าง Vincenzo ที่มีฉากของตัวละคร ทนายวินเซนโซที่ต้องแกล้งกันเป็นเกย์เพื่อทำภารกิจให้สำเร็จ ซึ่งในฉากนั้นก็ส่งผลให้เกิดคำวิพากษ์วิจารณ์จากผู้ชม โดยหนึ่งในผู้ที่รับชมฉากนี้ ทวิตว่า เกิดความรู้สึกหลากหลายปนกันในตอนที่ดูฉากนี้ และการเห็นตัวละครเกย์เป็นผู้ที่ทำร้ายคนอื่น ทำให้เกิดความรู้สึกถึงการ homophobic หรือการเกลียดกลัวเกย์ หรือคนร่วมเพศด้วย
นอกจาก Vincenzo แล้ว ก็ยังมีซีรีส์ของ Netflix ที่โด่งดังไปทั่วโลกอย่าง Squid Game ที่มีตัวละครเกย์ ที่ต้องการร่วมเพศกับพนักงานเสิร์ฟ ซึ่งก็ถูกมองว่าทำให้ภาพของ LGBTQ+ เป็นไปในทางลบ และสร้างภาพตัวร้ายที่เป็นเกย์ และอาจเพิ่มความรู้สึก homophobic ให้กับผู้ชมได้
เราเห็นการส่งเสริม LGBTQ+ ที่เพิ่มมากขึ้นในวัฒนธรรมป๊อปของเกาหลี ไม่ว่าจะเพลง ไอดอล หรือซีรีส์ที่ดูเปิดกว้างมากขึ้น ไปจนถึงในเชิงสังคม ที่คนมีความเข้าใจ LGBTQ+ มากขึ้น โดยจากบทความในปี 2021 มีการรายงานผลสำรวจโดยคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติของเกาหลี ว่าชาวเกาหลีใต้ 7 ใน 10 คนเชื่อว่าการเลือกปฏิบัติต่อชนกลุ่ม LGBTQ+ เป็นเรื่องผิด และ 9 ใน 10 สนับสนุนการออกกฎหมายต่อต้านการเลือกปฏิบัติด้วย แต่ถึงอย่างนั้น ในความเป็นจริง กฎหมายต่อต้านการเลือกปฏิบัติก็เป็นหนึ่งในกฎหมายที่ถูกเลื่อนการอนุมัติมาอย่างยาวนาน และล่าสุดยังถูกเลื่อนการพิจารณาออกไป แม้ว่าจะมีการยื่นคำร้องทางออนไลน์เพื่อสนับสนุนกฎหมายนี้มากกว่า 100,000 ฉบับในปี 2021 รวมไปถึงการจัดงาน Queer Parade ในปีนี้ ที่ในตอนแรก กลุ่มผู้จัดถูกปฏิเสธการให้สถานที่จัดงานที่บริเวณ City hall ซึ่งเป็นสถานที่จัดในทุกๆ ปี และให้พื้นที่แก่กลุ่มศาสนา ในการจัดคอนเสิร์ตในวันนั้นแทน ก็ยังแสดงให้เห็นถึงการเลือกปฏิบัติ และไม่ยอมรับ LGBTQ+ ที่ยังมีอยู่ในสังคมเกาหลี
โดยนักเคลื่อนไหวสิทธิ LGBTQ+ ชาวเกาหลีคนนึงก็ให้สัมภาษณ์ในประเด็นนี้เช่นกัน ว่าถึงแม้เราจะเห็นภาพตัวละคร LGBTQ+ ที่มากขึ้น ในวงการโทรทัศน์ แต่การเลือกปฏิบัติก็ยังคงมีอยู่
“ฉันไม่คิดว่าปัญหาได้รับการแก้ไขแล้ว แต่ฉันรู้สึกว่ามีการแสดงภาพ LGBTQ+ ที่ตลกขบขันน้อยลง แต่อย่างไรก็ตาม ส่วนหนึ่งอาจมีสาเหตุมาจากสังคมระมัดระวังเกี่ยวกับการเหมารวมทางเพศ มากกว่าความเกลียดชังที่มีต่อชน LGBTQ+ ที่ลดน้อยลงไปในสังคม”
อ้างอิงจาก
Murell S. (2019). ‘Portrayals of “Soft Beauty”’ Analyzing South Korean Soft Masculinities in Media and in Real Life
https://www.spieltimes.com/tv-shows/new-love-playlist-evolution-of-lgbtq-in-k-drama/#.ZHmS2S8RpQI