เมื่อปีก่อน ฉันเองก็เคยมีสถานะเป็นพลเรือนเช่นเดียวกับคุณ ส่วนใหญ่ใช้ชีวิตเริงร่าและสนุกสนานไปกับอิสรภาพอย่างเต็มที่ อยากไปเที่ยวไหนก็ไป อยากกินอะไรก็กิน อยากจีบผู้ชายคนไหนก็จีบ! แต่แล้ว… วันเวลาเหล่านั้นก็พลันสูญสิ้นไป เมื่อดิฉันจับได้ใบแดง!
ทุกๆ ปี ชายไทยที่อายุครบ 21 ปี หรือกำลังจะอายุครบ 21 ปีในปีนั้นๆ จะต้องเข้ารับการคัดเลือกเพื่อเป็นทหารกองประจำการ ซึ่งมีวาระการประจำการที่หลากหลาย ตั้งแต่หกเดือน, หนึ่งปี และสองปี ขึ้นอยู่กับวุฒิการศึกษาและความสมัครใจ เช่น คนที่เรียบจบปริญญาตรีหรือปวส. (ประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง) จะได้รับสิทธิลดหย่อนวาระประจำการ จากสองปีเป็นหนึ่งปี หรือถ้าหากใจเด็ดสมัครเพื่อเป็นทหารกองประจำการเลย ก็จะได้สิทธิพิเศษเพิ่มขึ้นไปอีก ด้วยโปรโมชั่นที่ลดวาระประจำการเหลือเพียงหกเดือน
ส่วนกลุ่มผู้ถือครองวุฒิการศึกษาที่ไม่ถึงเกณฑ์แรก ถ้าหากสมัครก็จะได้รับโปรโมชั่นลดวาระประจำการครึ่งหนึ่งด้วยเช่นกัน โดยจะเหลือวาระประจำการหนึ่งปี
แต่ถ้าถามฉัน สิทธิลดหย่อนวาระประจำการครึ่งหนึ่งก็ยังไม่หอมหวนเท่ากับการไม่ต้องเป็นทหารเลย ซึ่งโอกาสเดียวที่จะรักษาอิสรภาพในชีวิตไว้ได้คงเดิมก็คือการจับใบดำใบแดง (ใบดำคือนิพพาน ส่วนใบแดงคือยังมีกรรมที่ต้องชดใช้) โดยอัตราเสี่ยงของการจับใบดำใบแดงขึ้นอยู่กับว่า ในปีนั้นๆ แต่ละอำเภอมีโควตาระบุว่าต้องการทหารเข้าไปประจำการจำนวนกี่นาย
สมมติว่าปีนี้อำเภอน้ำปลาหวานยื่นเรื่องมาว่าต้องการทหาร 100 คน แล้วคนที่หวังวัดดวงจับใบดำใบแดงมี 200 คน ก็เท่ากับว่ายังพอมีโอกาสให้ลุ้นบ้าง ยิ่งถ้ามีคนใจเด็ดสมัครใจเป็นเพิ่มอีก เช่น มีคนสมัครใจเป็นทหาร 40 คน ก็เท่ากับว่าจำนวนโควตาตอนจับใบดำใบแดงก็จะลดลงไปอีก สร้างโอกาสเย้ายวนให้นักเสี่ยงโชคอยากเข้ามาลิ้มลอง ซึ่งรายละเอียดเหล่านี้จะถูกแจ้งอย่างครบถ้วนในวันเกณฑ์ทหาร
ฉันเองก็เป็นหนึ่งในนักเสี่ยงโชคกลุ่มนั้น แต่ทุกคนก็คงจะรู้แล้วว่าโชคของฉันเป็นอย่างไร!
วินาทีที่ฉันได้ยินข้อความในเศษกระดาษที่ตัวเองเป็นคนหยิบขึ้นมาจากโฆษกทหาร โลกทั้งใบเหมือนหยุดหมุน เวลาเหมือนหยุดนิ่ง ฉันหันกลับไปมองครอบครัวที่ยืนลุ้นอยู่ด้านหลัง แต่ก็เหลือเพียงพี่สาวที่ยืนยิ้มให้กำลังใจ เพราะพ่อกับแม่ตกใจจนไม่กล้าอยู่ในลานพิธีอีกต่อไป …ฉันเองก็เช่นกัน
การฝึกทหารใหม่สุดหนักหน่วงหรือระเบียบวินัยที่เคร่งครัดไม่ใช่สิ่งที่ทำให้ฉันหวาดหวั่นใจ เพราะฉันบุกป่าฝ่าดงและเดินกลางแดดจ้าเป็นวันๆ เป็นชีวิตปกติ ตามประสาคนที่ชื่นชอบกิจกรรมกลางแจ้งนานา อย่างการเดินป่าและปีนผาหิน อีกทั้งฉันยังปรับตัวเก่งเสมือนกิ้งก่าสาว จึงมั่นใจว่าปัจจัยทั้งสองข้างต้นคงไม่ทำให้ฉันล้มพังพาบ
ทว่า สิ่งที่ฉันคิดไม่ตกคือเรื่องเพศวิถีของฉัน
ฉันมีเพศสภาพตามกำเนิดเป็นเพศชาย แต่ก็มีเพศวิถีที่อ้อนแอ้นอรชรเยี่ยงเพศหญิง แต่ไม่ได้ปรับเสริมเติมแต่งอวัยวะส่วนใดของร่างกาย จึงสามารถเป็นทหารได้ตามปกติ ไม่เหมือนกับกลุ่มสาวประเภทสองที่ทำหน้าอก ไว้ผมยาว หรือผ่าตัดแปลงเพศแล้ว ซึ่งตั้งแต่เกิดมา ฉันก็คบค้าสมาคมอยู่กับเพื่อนสาวพลังสาวเพียงอย่างเดียว ฉะนั้น การต้องไปอยู่ในสังคมที่มีแต่ผู้ชายจึงทำให้ฉันกังวล ว่าพวกเขาจะเข้าใจฉันไหม หรือจะมีทัศนคติต่อฉันแบบไหนกัน
ฉันจึงเลือกที่จะปกปิดตัวตนและเพศวิถีของตัวเองตั้งแต่ก้าวแรกที่ย่างกรายเข้าสู่ค่ายทหารในฐานะทหารใหม่ แต่ด้วยความสาวที่มองจากดวงจันทร์ก็จับได้ คำลงท้ายว่า ‘ครับ’ ที่ฉันพร่ำพูดจึงไม่ช่วยอำพรางอะไร เพื่อนทหารและครูฝึกจึงมักเลียบเคียงถามถึงเรื่องส่วนตัวอย่างรสนิยมทางเพศของฉันอยู่เนืองๆ ซึ่งฉันก็ไม่เคยตอบออกมาเป็นถ้อยคำ ได้แต่เบี่ยงประเด็นไปคุยเรื่องอื่น หรือไม่ก็ยิ้มเจื่อนๆ แล้วปลีกตัวไปทางอื่นแทน
ฉันไม่เคยอายเลยที่จะบอกว่าตัวเองมีเพศวิถีหรือรสนิยมทางเพศแบบใด เพียงแต่ในสังคมทหาร โดยเฉพาะช่วงฝึกทหารใหม่ 10 สัปดาห์แรกที่เป็นสังคมปิด ซึ่งฉันไม่สามารถติดต่อใครจากโลกภายนอกได้ ประกอบกับข่าวคราวที่เคยได้ยินมาถึงการที่ชายหนุ่มจริตหญิงสาวอย่างฉันถูกล่วงละเมิดทางเพศ ฉันจึงคิดว่าปกปิดเรื่องนี้ไว้จะดีกว่า
แต่แน่นอนว่า… ไม่มีอะไรเป็นความลับได้ตลอดไป อยู่มาวันหนึ่ง ทุกคนในหน่วยฝึกทหารใหม่ก็ปฏิบัติกับฉันไม่เหมือนเดิม เพื่อนทหารใหม่และครูฝึกที่เป็นทหารรุ่นพี่ซึ่งไม่มียศเหมือนกันพากันเรียกฉันว่า ‘เจ๊’ แทนคำว่า ‘แว่น’ ที่เคยใช้เรียกฉันตามอุปกรณ์ประกอบใบหน้า และนอกเหนือจากคำเรียกขานที่เปลี่ยนไป พวกเขายังพากันทำตัวอ้อนแอ้น เดินส่ายก้นไปมาเวลาที่ฉันหันไปมอง รวมถึงเดินมาบีบก้นฉันอย่างเต็มไม้เต็มมือ แล้วหันไปหัวเราะใส่กันพลางพูดติดตลกทำนองว่าฉันคงชอบใจน่าดู
วันนั้นเป็นวันที่ฉันไม่อยากคุยกับใครเลย นี่สินะ สิ่งที่ฉันกลัว สุดท้ายแล้วมันก็เกิดขึ้นจนได้! ซึ่งฉันไปสืบทราบมาว่า ข่าวเรื่องรสนิยมทางเพศของฉันถูกเปิดโปงโดยครูฝึกทหารรุ่นพี่ที่ฉันคิดว่าสนิทด้วย และไว้ใจเล่าเรื่องราวส่วนตัวให้ฟัง แต่ฉันก็ไม่ได้เจ็บแค้นอะไร เพียงแค่เสียใจที่เขาเอาเรื่องที่ฉันกล้าเล่าให้เขาฟังคนเดียวไปเผยแพร่ต่อ
ฉันได้แต่ทำใจยอมรับและอดทนกับสิ่งที่ต้องเผชิญ ทั้งคำพูดจาและการแสดงท่าทีล้อเลียน รวมไปถึงการลวนลามถึงเนื้อถึงตัว ทว่า หลังจากนั้นไม่กี่วัน ท่าทีของคนกลุ่มนี้บางส่วนก็เปลี่ยนไป ส่วนหนึ่งอาจเพราะฉันเริ่มแสดงท่าทีไม่พอใจ แต่อีกส่วนฉันว่าเป็นเพราะเพื่อนๆ เริ่มเข้าใจในเพศวิถีของฉันมากขึ้น
อย่าหาว่าฉันเหยียดเลยนะ แต่คนต่างจังหวัดโดยเฉพาะคนที่อยู่ในชนบทอย่างเขตพื้นที่ค่ายทหารที่ฉันสังกัดยังขาดความรู้ในเรื่องของความหลากหลายทางเพศ และไม่เคยสุงสิงกับเพศทางเลือกอย่างใกล้ชิดมาก่อน ทำให้เขาไม่รู้ว่าจะปฏิบัติตัวต่อฉันอย่างไร ซึ่งที่ฉันคิดเช่นนั้นเป็นเพราะว่า ยามที่ว่างเว้นจากการฝึก เพื่อนๆ มักจะมารุมล้อมสนทนากับฉัน ว่าทำไมฉันถึงตุ้งติ้งแบบนี้, รู้ตัวว่าชอบผู้ชายมาตั้งแต่เมื่อไหร่, ชอบไหมเวลาผู้ชายมาแตะเนื้อต้องตัว, หรือทำไมไม่แปลงเพศเป็นผู้หญิงไปเลย ในเมื่อชอบผู้ชาย
คำถามเหล่านี้ย้อนให้ฉันหวนคิดไปถึงสมัยมัธยมศึกษาเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว ก่อนที่ฉันจะมีโอกาสได้เข้าไปเริงร่าในเมืองกรุง ตอนนั้นฉันเองที่กำลังสับสนในเพศวิถีของตัวเอง ว่าฉันเป็นอะไรกันแน่ ก็ถูกกรอบความคิดคล้ายๆ กันนี้เข้าครอบงำจนต้องกินยาคุมและฮอร์โมนเพศหญิง เพราะชุดความรู้ที่ฉันและคนรอบข้างมีคือ ถ้าไม่เป็นผู้ชายก็ต้องเป็นผู้หญิงสิ จนกระทั่งฉันได้ไปเปิดหูเปิดตาในสังคมเมืองที่มีความหลากหลายทางเพศมากกว่า จึงหยุดกินยาคุมและยอมรับเพศวิถีในรูปแบบของตัวเอง เพราะสุดท้ายแล้ว ฉันก็ไม่ได้อยากเป็นผู้หญิงแม้แต่นิดเดียว
เพื่อนทหารคนหนึ่งเคยถามฉันว่า “จะผ่าตัดแปลงเพศไหม” เนื่องจากเขามีภาพจำว่าผู้ชายที่แสดงอาการแบบฉันนั้นอยากเป็นผู้หญิงทุกคน ซึ่งฉันก็ต้องอธิบายให้เพื่อนฟังว่าทุกวันนี้ไม่ได้มีแค่สองเพศหลักๆ อีกต่อไปแล้ว
ถ้าใครไม่อยากแสดงเพศวิถีอย่างผู้ชาย
ก็ใช่ว่าเขาจะต้องอยากเป็นผู้หญิงเสมอไป
เมื่อปฏิกิริยาของเพื่อนทหารใหม่บางส่วนเริ่มเปลี่ยนไป ฉันก็ยืดอกกับความเป็นตัวเองได้อย่างเต็มระดับ ต่อแต่นี้ไป… ฉันมุ่งมั่นว่าจะสาวให้สุดพลัง ทว่า การแสดงออกทางเพศวิถีอย่างเต็มที่กลับเชื้อเชิญให้ครูฝึกทหารรุ่นพี่เข้ามายุ่มย่ามกับฉันมากขึ้น เพราะเขามีกรอบความคิดว่าคนอย่างฉันชื่นชอบการถูกผู้ชายสัมผัส ซึ่งก็จริง (ในบางสถานการณ์) แต่ก็ใช่ว่าเอะอะจะมาแตะเนื้อต้องตัวฉันตามอำเภอใจได้
ปกติแล้วฉันมักกล้าวีนเหวี่ยงใส่เพื่อนทหารใหม่ด้วยกันเท่านั้น เพราะระบบอาวุโสในสังคมทหารเอื้อสิทธิพิเศษให้ทหารรุ่นพี่ทำโทษพวกฉันได้ถ้าเห็นสมควร แต่มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ฉันรู้สึกว่ามันรุนแรงเกินไป ฉันจึงชี้หน้าด่าทอครูฝึกทหารรุ่นพี่อย่างสาดเสียเทเสียกลางดึกคืนหนึ่ง ในช่วงที่ทุกคนหลับกันหมดแล้ว
ชั่วขณะที่ฉันพรั่งพรูความอัดอั้นตันใจต่อการถูกคุกคามทางเพศเล็กๆ น้อยๆ ให้เขาฟังว่ามันทำให้ฉันรู้สึกแย่แค่ไหน ครูฝึกคนดังกล่าวก็พลันแสดงทีท่าตกใจ เขาคงคิดไม่ถึงว่าการที่เขาแกล้งฉันโดยไม่คิดอะไร จะส่งผลกระทบกับฉันขนาดนี้ “พี่คิดว่าเราชอบ” นั่นคือข้อแก้ตัวที่เขาอธิบาย ก่อนจะขอโทษขอโพยและสัญญาว่าจะไม่แกล้งอีกต่อไป
แต่ก็ใช่ว่าทุกคนจะเข้าใจอะไรง่ายดายเหมือนกับครูฝึกข้างต้น เพราะบางคนก็ยังปฏิบัติกับฉันแบบเดิม แม้ว่าฉันจะพยายามอธิบายให้ฟังสักเท่าไรก็ตาม ซึ่งฉันก็ทำได้แค่อดทน เพราะอีกไม่กี่สัปดาห์ การฝึกทหารใหม่ก็จะจบลง ทั้งนี้ เมื่อการฝึกเสร็จสิ้น ทหารใหม่จะสามารถติดต่อกับโลกภายนอกได้อย่างเคย เพียงแค่ออกนอกขอบเขตของค่ายทหารไม่ได้ จนกว่าจะถึงกำหนดลาเยี่ยมญาติในแต่ละเดือนที่จะสลับหมุนเวียนกันไป เพื่อให้มีพลทหารเพียงพอพร้อมใช้งานตลอดเวลา
ซึ่งก็เป็นอย่างนั้นจริง ชีวิตหลังการฝึกสบายกว่าอย่างเห็นได้ชัด ฉันไม่ต้องละเมียดละไมกินข้าวให้เสียงเบาที่สุด, ไม่ต้องเดินต่อแถวก้าวขาพร้อมเพรียงกันเวลาเคลื่อนย้ายกำลังพล, และไม่ต้องถูกยึดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อีกต่อไป
หลังการฝึกทหารใหม่จบลง ทหารใหม่จะถูกจัดสรรปันส่วนไปยังแต่ละกองร้อย ซึ่งเป็นหน่วยย่อยของกองพัน ซึ่งเป็นหน่วยย่อยของกองพลอีกที โดยกิจวัตรประจำวันของทหารกองประจำการอย่างฉันก็คือการเฝ้ารอว่าในแต่ละวันจะมีงานอะไรให้ทำ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นงานที่ใช้แรงงาน เช่น ตัดหญ้า ทาสี ยกของ ฯลฯ
ฉันไม่เคยเกี่ยงงานเลยสักครั้ง ไม่ว่าในวันนั้นๆ จะมีภารกิจอะไร ฉันจะยกมืออาสาไปเป็นคนแรกๆ ตลอด ทั้งตักบ่อเกรอะ กลบบ่อขยะ ฯลฯ ซึ่งในวันหนึ่งระหว่างที่ฉันกำลังช่วยเพื่อนทหารเก็บเศษหญ้าที่ตัดไว้กลางแดดจ้ายามบ่าย ชีวิตของฉันในฐานะพลทหารก็เปลี่ยนไป! โดยมีสาเหตุมาจากความสาวสะพรั่งของฉันเอง
“ผู้หมวดให้ตามเธอกลับไปที่กองร้อยด่วน!” เพื่อนทหารคนหนึ่งตะโกนขณะที่วิ่งแจ้นมาหาฉันที่ทุ่งรกชัฏหลังค่ายทหาร การถูกผู้หมวด (คำที่ใช้เรียกแทนนายทหารยศร้อยตรีกับร้อยโท) เรียกตัวกลับไปที่กองร้อยอย่างเร่งด่วนมีอยู่สองรูปแบบด้วยกัน ไม่ดีก็ร้าย แม้ว่าฉันจะมั่นใจว่าไม่เคยทำตัวอุกอาจ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะตีตนไปก่อนไข้ และคิดเอาเองฝ่ายเดียวว่า ‘ซวยแล้ว!’
เมื่อกลับมาถึงกองร้อย คำแรกที่ผู้หมวดถามฉันคือพิมพ์เอกสารได้ไหม ซึ่งฉันตอบอย่างรวดเร็วว่าได้ เขาจึงบอกให้ฉันเปลี่ยนจากชุดทำงาน ซึ่งเป็นเสื้อยืดของกองทัพ กางเกงขายาวลายพราง และรองเท้าผ้าใบสีดำ เป็นเครื่องแบบทหารเต็มยศ แล้วขึ้นไปทำงานกับเขาที่ฝ่ายอำนวยการ ซึ่งจะแบ่งออกเป็น 4-5 ฝ่าย ขึ้นอยู่กับแต่ละหน่วย เช่น ฝ่ายธุรการและกำลังพล, ฝ่ายยุทธการและการฝึก, ฝ่ายกิจการพลเรือน เป็นต้น
ฉันทำงานอยู่ที่ฝ่ายอำนวยการจนสิ้นสุดวาระปลดประจำการ ซึ่งบรรยากาศที่นี่คล้ายคลึงกับการทำงานสำนักงานที่ฉันเคยทำมาก่อน เริ่มทำงานตั้งแต่เจ็ดโมงเช้า เพราะพลทหารอย่างฉันต้องมาตระเตรียมห้องทำงานให้เรียบร้อย และเลิกงานในเวลาประมาณห้าโมงเย็น ทำให้ฉันไม่ต้องไปรอรับภารกิจจับฉ่ายอีกต่อไป
ครั้นเริ่มสนิทสนมกับผู้หมวดคนดังกล่าว หลังจากที่ช่วยเขาทำงานเอกสารและจัดเตรียมอีเวนต์ต่างๆ ประจำฝ่ายงานได้สักพัก ผู้หมวดก็เล่าให้ฟังว่า ที่วันนั้นตามฉันขึ้นมาเป็นเพราะพลทหารรุ่นพี่ที่เคยทำงานก่อนหน้าทำงานผิดพลาดบ่อยเกินไป “สู้หาคนอย่างหนูมาช่วยงานดีกว่า” เขากล่าว
แวบแรกที่ได้ฟังคำพูดของผู้หมวด ฉันก็อยากจะถามสวนไปตรงๆ ว่า ‘ไอ้คำว่าคนอย่างฉันนี่มันถือเป็นการเหมารวม (stereotype) กันไหมนะ’ แต่ก็พลันฉุกคิดขึ้นเสียก่อน ว่าบางทีฉันก็ไม่ควรมาถกเถียงกับคนที่อุตส่าห์ดึงฉันขึ้นมาทำงานสบายๆ ในประเด็นที่อ่อนไหวเช่นนี้
ซึ่งในภายหลัง จ่าสิบเอกที่นั่งทำงานเคียงคู่กับฉันก็ช่วยชี้แจงให้ฉันเข้าใจมากขึ้น ว่าคำว่า ‘คนอย่างฉัน’ ที่ผู้หมวดพูด เป็นคำกล่าวในทางชื่นชม เนื่องจากงานเอกสารและจัดเตรียมอีเวนต์เป็นงานที่เน้นความละเอียด ต้องประสานงานกับหลายฝ่าย “มันไม่ใช่วิสัยของผู้ชายที่จะมาทำงานจุกจิกแบบนี้ได้ทุกคน” จ่าฯ เล่า
ความสุขสบายจากการทำงานในฝ่ายอำนวยการ ทั้งการไปไหนก็ได้ตามอำเภอใจช่วงพักกลางวัน ทำให้ไม่ต้องทนกินเมนูจำเจที่โรงเลี้ยง (โรงอาหาร) ของหน่วย, การนั่งทำงานในร่ม ไม่ต้องไปออกแรงแบกหาม, และการได้สิทธิในการตวาดใส่พลทหารรุ่นพี่บางคนที่ยังล้อเลียนหรือลวนลามฉันอยู่เนืองๆ ได้โดยไม่ต้องกลัวการลงโทษ เพราะทุกคนรู้ว่าฉันมีผู้หมวดคอยหนุนหลังอยู่ ทำให้ฉันมองย้อนกลับไปถึงวันแรกที่จงใจปกปิดเพศวิถีของตัวเอง
ถ้าวันนั้นความลับของฉันไม่ถูกเปิดโปง ฉันก็คงยังเสแสร้งแกล้งประพฤติตัวสมชายต่อไป และก็คงไม่ได้รับประสบการณ์อย่างนี้ แต่คิดดูอีกที ต่อให้ครูฝึกทหารรุ่นพี่ไม่แฉฉันเสียก่อน ฉันก็คงตบะแตกและเป็นตัวของตัวเองในที่สุดอยู่ดี! แม้ช่วงแรกๆ จะไม่ค่อยราบรื่นนักก็ตาม