หากถามหาว่าคนคนหนึ่งมองหาอะไรในความสัมพันธ์ บ่อยครั้งหนึ่งในคำตอบอาจเป็น ‘ความทุ่มเท’ หรือ ‘ความใส่ใจ’
ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่สามารถแสดงออกได้หลากหลายรูปแบบ การทำตามข้อตกลงที่ให้ไว้ในความสัมพันธ์ รักษาสัญญา การจดจำดีเทลเล็กๆ น้อยๆ รู้ว่าชอบกินอะไร รู้ว่าเกิดวันไหน จำวันครบรอบได้ ฯลฯ แต่ความทุ่มเทนั้นสามารถอยู่ผิดที่ผิดทางในบางบริบทที่สามารถนำไปสู่ผลลัพธ์ที่กระอักกระอ่วน ไปจนถึงอันตรายที่มากกว่านั้น และเมื่อนั้นมันอาจล้ำเส้นเกินขอบเขตไปจนกลายเป็นพฤติกรรมที่เอนเอียงไปสู่การสตอล์กได้
อย่างนั้นแล้วเส้นแบ่งจะอยู่ที่ไหน? แล้วทำไมเส้นเส้นนี้มันข้ามกันง่ายจัง?
เมื่อพูดถึงการสตอล์กแล้วภาพแรกที่เข้ามาในหัวเรามักเป็นใครสักคนแอบเดินตามอีกคนไปยังที่ต่างๆ โดยไม่รู้ตัวเพื่อจับตามองด้วยเหตุผลอะไรสักอย่าง และแม้ว่านั่นจะเป็นหนึ่งในการกระทำที่นับรวมเป็นการสตอล์ก ก็ยังมีพฤติกรรมอีกมากมายที่เอนเอียงไปในทางเดียวกัน
Office for Victim of Crime สหรัฐอเมริกาเขียนในรายงานเกี่ยวกับการสตอล์ก ในปี ค.ศ.2002 ปฏิสัมพันธ์ที่ไม่พึงประสงค์ระหว่างคนสองคนขึ้นไปที่สร้างความกลัวให้แก่เหยื่อไม่ว่าโดยตรงหรือโดยอ้อมก็สามารถนับเป็นการสตอล์กได้แล้ว และภาพจำของการติดตามเหล่านี้ว่ามาจากคนไม่รู้จักเป็นส่วนมากนั้นไม่จริงเท่าที่เราคิด เพราะจากสถิติจากกระทรวงความยุติธรรมสหรัฐอเมริกาพบว่าราวๆ 3 ใน 4 ของกรณีการสตอล์กเหยื่อมักรู้จักกับผู้กระทำ
ฉะนั้นนอกจากภาพจำที่เรามีแล้ว การกระทำที่เราอาจคิดว่าไม่มีพิษมีภัย เช่น การเซอร์ไพรส์คนคุยในที่สาธารณะ หรือการรอคนที่แอบชอบอยู่หน้าที่ทำงาน ติดต่อผ่านการโทรหาหรือแมสเสจซ้ำๆ ไปจนการฝากเพื่อนให้ช่วยจับคู่เราเข้ากับคนคนนั้นหรือการฝากหลอกถามข้อมูล ก็ถือเป็นพฤติกรรมที่เอนเอียงไปสู่การสตอล์กได้ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่การข้ามเส้นจะเกิดขึ้นบ่อย เนื่องจากหลายๆ อย่างที่นับรวมกับเรื่องดังกล่าวถูกทำให้เป็นเรื่องปกติ และบางครั้งถูกทำให้เป็นเรื่องโรแมนติกด้วยซ้ำ
การจีบ ความรัก และความสัมพันธ์นั้นเป็นเรื่องที่ไม่มีหลักตายตัวว่ามันมาจากไหนและเกิดขึ้นได้ยังไง ความโรแมนติกเองนั้นก็เป็นสิ่งที่ยากจะนิยามและยากจะสืบหาได้ว่าแต่ละคนจะเรียนรู้มันมาจากไหน แต่หนึ่งในสิ่งที่มีผลต่อความหมายของความโรแมนติกอย่างปฏิเสธไม่ได้คือสื่อบันเทิง และสื่อบันเทิงเช่นภาพยนตร์โรแมนติกคอมเมดี้และหนังรักจากยุคปี ค.ศ.2000 นั้นมีอิทธิพลต่อการตีความโรแมนติกเป็นอย่างมาก
จาก Say Anything สู่ Wedding Crashers ไปจนถึง Love Actually จุดร่วมกันของหนังรักในยุคนั้นคือการสร้างตัวละครเอก ต่างจากการสร้างตัวละครที่มีลักษณะของตัวแทนความเป็นชายอย่างเหนือจริง เช่น ในหนังแอ็กชั่นสมัยเดียวกัน หนังรักมักสร้างตัวละครชายที่ติดดิน ไม่มีจุดเด่นในด้านใดด้านหนึ่งเป็นพิเศษ แต่สิ่งที่เขามีคือความพยายามและความทุ่มเท และความ ‘ดี’ ซึ่งมันมักนำไปสู่รางวัลบางอย่าง อาจจะเป็นความรักจากนางเอก หรือจุดคลี่คลายของเรื่องที่บอกว่าเขาทำสำเร็จ
นั่นคือแนวคิดที่ก่อกำเนิดการ ‘ตื๊อเท่านั้นที่ครองโลก’ ความเชื่อที่ว่าไม่ว่าเราจะเป็นใคร ฐานะอะไร เคยทำอะไรไว้ในอดีต เราสามารถได้มาซึ่งความรักผ่านความพยายามและความทุ่มเท แม้ว่าพฤติกรรมที่ทำไปจะไม่สมควรขนาดไหน ใครจะโทษเราได้หากเราทำมันไปเพราะความรัก?
ฟังดูธรรมดา แต่หากลองปรับเอาซีนอมตะใน Say Anything ให้เป็นเรื่องในชีวิตจริง แฟนเก่าของคุณยืนอยู่นอกบ้าน เปิดวิทยุเป็นเพลงที่คุณสองคนฟังกันตอนมีเพศสัมพันธ์กันครั้งแรก ฟังดูโรแมนติกหรือไม่? และคิดว่าหากเกิดขึ้นจริงกับตัวเองความรู้สึกที่เกิดคงไม่ใช่ความรักหรือเปล่า?
การสตอล์กนับเป็นหนึ่งรูปแบบของการล่วงละเมิด และต่างจากที่หนังรักบอกกับเรา จากการเก็บสถิติจากหลายสำนัก ผลของมันไม่ได้นำไปสู่ความรัก แต่มักนำไปสู่ความวิตกกังวล โรคซึมเศร้า การปฏิเสธสังคม ความต้องการจบชีวิตตัวเอง และ PTSD เหยื่อจำนวนมากยังต้องย้ายที่อยู่อาศัย และยิ่งไปกว่านั้นเหยื่อการสตอล์กจำนวนมากถูกฆาตกรรม และก่อนฆาตกรรมเหยื่อมักโดนทำร้ายร่างกายก่อน
อีกสิ่งที่แนวคิดการตื๊อเท่านั่นที่ครองโลกมักมองข้ามในเรื่องของความรักคือความต้องการของฝั่งตรงข้าม ความสัมพันธ์ไม่ใช่เรื่องของคนคนเดียว และไม่ใช่เรื่องเพียงของคนจีบคนเดียวเท่านั้นอย่างแน่นอน หลายต่อหลายครั้งการปฏิเสธถูกตีความเป็นอย่างอื่น เป็นการเล่นตัว หรือการทดสอบความพยายามที่ต้องก้าวข้ามให้ได้ ในความเป็นจริง คำว่าไม่นั้นแปลว่าไม่
แล้วเราจะรักยังไงโดยไม่สตอล์ก รวมถึงเราจะแสดงความทุ่มเทยังไงให้อีกฝ่ายสบายใจ? ความตรงไปตรงมาและการเปิดเผยเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี ไม่สืบหาข้อมูลที่อีกฝั่งไม่เปิดเผย ไม่ว่าจะแอบมองหรือให้เพื่อนร่วมกันถามให้ และถึงเขาเปิดเผยข้อมูลเหล่านั้นอย่างเต็มใจก็ตั้งขอบเขตว่าอะไรทำได้หรือไม่ได้ และหากเขาปฏิเสธการสานต่อความสัมพันธ์ในการเป็นคู่รัก สิ่งที่ดีที่สุดที่ทำได้คือการยอมรับคำปฏิเสธนั้นด้วยความเคารพซึ่งกันและกัน
ความทุ่มเทอาจเป็นสิ่งที่มีค่าในความสัมพันธ์จริง แต่การทุ่มเทนั้นมีเวลา สถานที่ ขอบเขต และบริบทของมันและรูปแบบหนึ่งของความทุ่มเทคือการรู้จักขอบเขตและให้ความเคารพต่อขอบเขตนั้นๆ ของคนคนหนึ่ง
อ้างอิงข้อมูลจาก