“นี่เป็นราคาที่ลูกจ่าย อาจจะเป็นราคาที่แพงไปหน่อย แต่แม่จะบอกว่า แม่ไม่ให้ลูกจ่ายคนเดียว เราอเมริกันแชร์ แม่ก็จะร่วมจ่ายกับลูก ในจดหมาย อย่างที่ลูกบอกว่าดีใจที่แม่เดินไปด้วยกัน แม่จะเดินไปกับพี่ เราจะไม่ทิ้งกัน ขอให้ลูกเข้มแข็ง แม่ก็จะเข้มแข็งให้ลูก เราจะสู้ถึงที่สุด แล้วก็จะรอวันที่พี่ออกมา”
เป็นเวลาเกือบ 1 เดือนแล้ว ที่เพนกวิน สมยศ ทนายอานนท์ และหมอลำแบงค์ ไม่ได้รับการประกันตัว จากคดี ม.112 และยังคงอยู่ในเรือนจำ แม้ว่าที่ผ่านมา ทนายจะมีความพยายามหลายต่อหลายครั้ง ในการยื่นหลักประกันที่สูงขึ้น และทำเรื่องขอประกันใหม่ แต่ก็ล้วนแต่ถูกศาลปฏิเสธ
เราชวนแม่สุ สุรีย์รัตน์ ชิวารักษ์ แม่ของเพนกวิน พริษฐ์ ชิวารักษ์ มาพูดคุยถึงการต่อสู้ของลูกชาย ความหวัง และการต่อสู้ของครอบครัว ที่จะรอจนกว่าลูกจะได้ออกมา และราคาที่ครอบครัวของเธอยอมจ่าย ซึ่งตลอดชั่วโมงกว่าของการพูดคุยนี้ ทุกคำตอบของทุกคำถาม เราล้วนแต่สัมผัสได้ ถึงความรักของเธอที่มีต่อลูกชาย และครอบครัว
ในมุมมองคุณแม่ อยากให้เล่าหน่อยว่าเพนกวินเขาเป็นคนอย่างไร
เป็นคนชิลๆ ง่ายๆ ไม่เรื่องเยอะ เป็นคนพวกไทยนี้รักสงบ เป็นคนอารมณ์ดี ร่าเริง ใครอยากให้ช่วยอะไร ครูอยากให้ช่วยอะไร เขาจะยินดีรับใช้ เรียกใช้ได้อีก เขาจะเป็นคนสนุกสนาน ชอบทำกิจกรรม แต่เขาเป็นคนที่คลั่งไคล้มากกับประวัติศาสตร์ความเป็นไทยมากถึงที่สุด เป็นคนที่ชอบอ่านหนังสือ ไปอ่านหนังสือที่หอสมุดแห่งชาติ และถ้าอยากรู้อะไร เขาจะลงไปให้ลึกแล้วเขาจะกลับมาเอง รวมถึงถ้าอยากรู้ สงสัยอะไร ก็จะไปหาคำตอบ ค้นพบจนรู้ อยากทำขนม ชีสเค้ก ก็ไปค้นหาวิธีทำ เริ่มทำทุกอย่างเอง ตอนนั้นบ้าชีวะ ก็เริ่มอ่านเอง อยากรู้ก็ไปดู anatomy ที่ศิริราช เขาเป็นคนอยารู้อะไร ก็จะค้นหาจนได้
เห็นว่าเขาชอบเพลงฉ่อยด้วย
ชอบมาก ตั้งแต่ตอนอยู่สาธิตปทุมวันฯ ก็เป็นมือฉ่อย ชอบขอครูฉ่อยสดเลย เขาชอบ เพราะเป็นอะไรที่มันไทยๆ
เขาเริ่มมีแนวคิดที่ตั้งคำถามกับอะไรหลายๆอย่าง เริ่มมองถึงว่าอยากต่อสู้เพื่อความไม่ยุติธรรมตอนไหน
อาจจะเป็นเพราะเราบอกสอนเขาตั้งแต่เด็ก เราไม่อยากให้เขามีอีโก้ เราสอนเขาว่า “คนเรามีความชำนาญไม่เหมือนกัน มีความสามารถไม่เหมือนกัน สมมติเรานั่งอยู่ข้างถนน เราเคยเจอลุงป้าน้าอาที่เขาทำความสะอาดถนน เราก็ชี้ไปว่า พี่พีท (ชื่อจริงๆ ของเพนกวิน) ทำอย่างนี้ได้ไหม ทำได้อย่างสะอาดเหมือนเขาไหม เราทำได้อย่างเขาไม่ได้ ทุกคนก็ต้องทำหน้าที่เหมือนกัน คนแต่คนก็จะเก่งไม่เหมือนกัน” เขาก็คงจะซึมทราบ เพราะเขาก็จะปฏิบัติ
เขาก็มีแนวคิดมองคนเท่ากันตั้งแต่เด็กๆ เราจำได้ตอนอนุบาล เขากลับมาจากโรงเรียนแล้วพูดกับเราว่า “มี๊ครับ เด็กก็มีสิทธิเด็กนะ” เราก็ถามว่าสิทธิเด็กคืออะไร เขาก็พูดว่า “เด็กต้องได้รับการเลี้ยงดู ได้เรียนหนังสือ” เราก็ถามว่างั้นอย่างนั้น แม่ทำอะไรให้กิน มาชีวิตรอดไป ให้เรียนหนังสือที่ไหนก็ได้ หรือเปล่า เขาก็บอกว่า “ไม่ได้ครับ” เราก็ไม่คิดว่ามันจะเป็นวันนี้ แต่มันก็อาจจะเป็นเพราะเขาอ่านหนังสือเยอะ เขาอ่านหนังสือได้ตั้งแต่ก่อนเข้าโรงเรียน เราสอนตัวอักษรเขาตั้งแต่ยังเดินไม่ได้ พอเริ่มรู้ตัวอักษร พ่อเขาก็สอนสะกดคำ เขาก็เริ่มอ่านป้ายได้
เราก็บอกเขาว่า “พี่ ถ้าอ่านหนังสือได้ เดี๋ยวแม่จะซื้อหนังสือให้อ่าน” แล้วเขาก็จะอ่านหนังสือ แต่หนังสือที่เขาชอบอ่านจะไม่เหมือนกับเด็กคนอื่นๆ เริ่มต้นเขาอ่านรามเกียรติ์ อ่านจนรู้ว่า “มี๊ เล่มนี้เขาเขียนผิด มี๊ซื้อมาได้ยังไง” เขาชอบอ่านหมด ทั้งประวัติศาสตร์ชาติไทย ประวัติศาสตร์โลก อย่างที่บอกถ้าอยากรู้อะไร ก็จะค้นหา และก็จะสามารถบอกได้เลยว่าเหตุการณ์นี้เคยเกิดขึ้นแล้วเมื่ออดีต ประเทศไหนทำอะไร ซึ่งเพนกวินเสียเงินอยู่สองอย่าง อ่านหนังสือกับเรื่องกิน แต่หนังสือเยอะกว่า
จุดเริ่มต้น ที่เขาเริ่มเคลื่อนไหวจริงๆ คือตอนไหน
เขาไปทำการศึกษาเพื่อความเป็นไทย ตั้งแต่มัธยม เขาก็เคยมาบอกเหมือนกันว่า “มี๊ เพนกวินควรจะเข้ากลุ่มไหน” เราก็บอกลูกให้ไปฟังแนวคิดของเขาว่าเข้ากับแนวคิดเราไหม ถ้าไม่ชอบก็อาจจะไปช่วยเขาก็พอ เขาก็ค่อยๆ ไปลองทำ และเขาก็มีโอกาสไปทำเรื่องเกี่ยวกับเด็กชายขอบ เขาก็มาบอก “มี๊ครับ ถึงแม้พ่อแม่จะจ่ายค่าเทอมให้กวิน แต่เราก็ยังใช้ภาษีรัฐ ใช้สวัสดิการรัฐ เงินของประเทศ แล้วมีหลายคนที่ไม่มีโอกาสแบบนั้น เราควรที่จะจ่ายคืน ทำอะไรให้คนเหล่านั้นด้วย เหมือนเราได้ประโยชน์ ถึงแม้ว่าเราจะเป็นคนจ่ายค่าเทอม” เขาก็คงเริ่มเห็น
เขาก็เคยบอกว่า “มี๊ครับ ถ้าชาตินึง เพนกวินไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสังคม เปลี่ยนแปลงโลกได้ เพนกวินเสียชาติเกิด เราก็ไม่เคยคิด ณ เวลานั้นว่าจะมีวันนี้ ก็เลยบอกเขาว่า “ก่อนที่พี่จะเปลี่ยนแปลงใครเนี่ย เปลี่ยนแปลบ้านก่อนไหม ช่วยแม่จัดบ้านก่อนดีไหม” แต่ก็ไม่คิดว่าเขาจะมุ่งมั่นขนาดนี้ คือเขาเป็นคนอย่างที่บอกว่าถ้าอยากทำอะไร เขาจะค้นหา เขาจะไป แต่ก่อนพักนึงเขาคิดว่าอยากจะเรียนหมอ เขาก็ไปศึกษาว่า ต้องเรียนที่ไหน ถ้าหมอด้านนี้ควรเรียนมหาลัยอะไร
ที่จริงเขาเคยไปนั่งในศาล เขาอยากรู้การทำงานของผู้พิพากษา คือเขาพยายามค้นหาว่ายังไงถึงจะช่วยคนหมู่มากได้ พ่อก็ไปส่งเขาที่ศาล เขาก็ไปนั่งฟังคนเดียว ไปหลายๆครั้ง ตอนที่ศาลท่านกำลังพิจารณา เขาเคยอยากทั้งทำหนัง ทำละคร เขียนบท ก็ลองไปซื้อหนังสือมาศึกษา แต่ลองแล้วเขาก็บอกว่าไม่ใช่ คือเราบอกเขาด้วยว่าก่อนที่จะไปทำอะไร อยากให้ลองไม่อยากให้จินตนาการเองว่าอาชีพนี้มันสวยหรู เพราไปแล้วมันไม่ใช่ มันเสียเวลา เราก็จะปล่อยให้เขาได้ลอง
สมัยมัธยม เพนกวินไปชูป้ายประท้วงนายกฯ วันนั้นเขาเล่าให้แม่ฟังไหม ว่าเขาจะไปทำอะไร
คุยกัน เพราะเราจะถามอยู่แล้วว่าจะไปไหน เขาก็บอกว่า จะไปยื่นหนังสือ เราก็ถามเขาว่า ทำไมไม่ไปยื่นกับกระทรวงหรือหน่วยงานต่างๆ เขาบอกเราว่า ยื่นไปก็ไม่มี feedback แล้วนี่เป็นโอกาสที่จะได้เจอนายกฯ เขาก็ยังบอกเราว่าถ้าเสร็จแล้ว ก็จะไปเรียนพิเศษต่อ เราก็โอเค เพราะมันไม่ได้ตรงกับเวลาเรียน แต่เราก็แนะนำว่า ลูกควรใส่ชุดนักเรียน เพราะเราห่วงว่า ถ้าจะเกิดอะไรขึ้นชุดนักเรียนอาจจะช่วยได้ระดับนึง ยังเห็นได้ว่าเป็นเด็กนักเรียน
แต่วันนั้นก็มีคนโทรมาว่า คุณแม่เพนกวินหรือเปล่า เพนกวินถูกจับ เราก็ตกใจ ช็อค แต่ถามว่าถูกจับที่ไหนก็ไม่มีใครรู้ เราก็ไปตามหาแถวๆ เซ็นทรัลเวิร์ลที่ลูกโดนจับ ว่าอยู่ที่ไหน เราก็ไปตามที่ สน.ปทุมวัน ถึงเจอลูก ปรากฏว่าคนตกใจคือแม่ ลูกนิ่งมาก ไม่ตื่นตะหนกตกใจแพนิคอะไรทั้งสิ้น นิ่งมาก แล้วเขาวางแผนอย่างดีมาก เราก็บอก “พีท ทำไมไม่บอกแม่ ทำไมไม่โทรหาแม่” เขาก็บอกว่าสเต็ปของเขา ในการวางแผนของเขา ถ้าอย่างงั้นอย่างงี้จะทำอะไรยังไง เราก็คิดว่า ลูกคนนี้โอเคอยู่
หลังจากวันนั้น คุยอะไรกับเขาไหมคะ เรื่องการต่อสู้ของเขาต่อไป
เราบอกเขาว่า จะไปไหนทำอะไรให้บอกแม่ ให้แม่รู้ แม่จะตามเก็บถูก (ขำ) เราก็จะถามเป็นระยะๆ ก็เป็นห่วงเรื่องความปลอดภัย มันยังไม่ซีเรียสอะไร เขาก็ยังไม่ได้ทำอะไรที่หนักๆ เราก็เลยโอเค แต่ก็มีความกังวลว่า เรามีหน้าที่เรียน สิ่งที่เขาต้องรับผิดชอบคือเรื่องนี้ เขาก็ถามว่า “มี๊จะเอาเกรดเท่าไหร่” เราก็ดีลกัน เขาก็พยายามรักษาเกรดไม่ให้ต่ำกว่านั้น แล้วเราก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะเขาทำตามข้อตกลงได้ แต่เราก็บอกเขานะว่า ถ้าเกิดตกลงอะไรกันไว้ แต่ถ้าทำไม่ได้ เราก็พูดคุยกันได้ เราไม่อยากให้ลูกฝ่าฝันเสี่ยงเพื่อทำให้ได้ตามข้อตกลง
ที่บ้านเราจะคุยกันได้เสมอ เลี้ยงกันตั้งแต่เล็กแล้วว่า เวลามีอะไร ลูกก็มีสิทธิถูก แม่ก็มีสิทธิผิด ถ้าแม่ผิดแม่ก็ขอโทษ เราจะเถียงกันด้วยเหตุผลว่าทำไมแม่ถึงอย่างงี้ ลูกถึงคิดอย่างงั้น อาจจะด้วยข้อมูลไม่เหมือนกัน ตั้งแต่ประมาณประถม เขาเคยบอกว่า “มี๊ครับ แต่ก่อนเพนกวินเคยคิดว่าการคิดไม่เหมือนผู้ใหญ่อ่ะเป็นสิ่งที่ผิดมาก แบบผิดตกนรก ไม่ควรทำอย่างยิ่ง” เราก็ถามกลับแล้วตอนนี้ลูกคิดยังไง เขาก็บอกว่าเขาไม่ได้คิดแบบนั้นแล้ว ตั้งแต่นั้นมาเราเราก็พูดคุบกันด้วยเหตุผล และมันทำให้เข้าใจกันมากขึ้น
คุณแม่บอกที่บ้านคุยกันเสมอ แล้วกับน้องสาว เพนกวินสนิทกับเขาไหม
สนิทกันมาก คือนานๆ เพนกวินจะกลับมาบ้านที เราก็ดีใจลูกกลับมา เราก็อยากจะใช้เวลา นอนคุยกัน แต่แป๊บนึงน้องมา สองคนเขาก็เดินกันไปอยู่ในห้องคุกันอยู่สองคน เขาบอกแม่ว่า พี่น้องจะคุยกัน อย่างสัปดาห์ก่อน เราเพิ่งไปเยี่ยมเขา เพราะมีโอกาสที่ตำรวจจะเพิ่มข้อกล่าวหา แล้วมีโอกาสที่จะพาผู้ต้องหามาอยู่ที่ห้องกระจก เราคุยกันทางอินเตอร์คอน ก็พาน้องไปด้วย คุยกับเราได้สักพักนึง เขาก็บอก “มี๊กับป๊าออกไปก่อน ขอคุยกับน้องสาว” เขาสนิทกันมาก เพราะความสนิทมันดีกับเราตรงนี้ บางทีเรามีอะไรอยากถึงน้อง เราก็ผ่านพี่ หรือเราบ่น อยากถึงพี่ เราก็ผ่านน้อง เพราะเขามีอะไรกันเขาก็จะคุยกันตลอด
ครอบครัวดูสนิทกันมากเลย
ใช่ เราสนิทกันมาก ขนาดเพนกวินตัวขนาดนี้นะ ยังวิ่งมาฟ้องแม่ว่าน้องตี เราก็เอ็นดูแล้วก็ถามว่า แล้วทำไมพี่ไม่หนี เขาก็บอกหนีไม่ทัน แต่อย่างที่บอกเขาจะไม่ทำน้อง เราก็สอนให้พี่น้องรักกัน เราก็เคยถามเขาเล่นๆ ว่า อยากสบายไหม ถ้าอยากสบาย พี่ต้องสอนให้น้องเก่งๆ น้องจะได้ดูแลตัวเองได้ พี่ไม่ต้องดูน้องเยอะ แต่เขาก็มีความรู้สึกว่าเขาต้องดูแลน้อง ส่วนน้องพ้อยเอง เราก็จะบอกเขาเหมือนกันว่าห้ามทิ้งพี่ บางครั้งเรามีปัญหา คุยกับพวกเขาไม่เข้าใจ ทะเลาะกัน ก็จะเป็นอีกคนที่ช่วยคุย เราก็ใช้ความสนิทของเขาให้เป็นประโยชน์
ตั้งแต่ครั้งแรกที่คุณแม่เล่าว่าไปสถานีตำรวจ จากที่เขาชูป้าย จนถึงวันนี้ ประมาณ 5-6 ปี คุณแม่มองการต่อสู้ของเพนกวินตลอด
ก็เป็นห่วง หลังจากที่เขาไปชูป้ายปุ๊บ เขาก็ไปเสวนาที่ธรรมศาสตร์ เราก็ห่วงว่าลูกจะพูดได้ไหม ก็ส่งป๊าเขาไปฟัง พอป๊าไปฟังก็กลับมาบอกว่า “สุ ลูกพูดดีกว่าเราอีก” หลังจากนั้นมาเราก็คิดว่าเขาโอเค เขาดูแลตัวเองได้ เราก็ปล่อย เราก็แค่คอยถามว่ามีอะไรที่แม่ช่วยเหลือได้มั้ย แต่เราดูอยู่ห่างๆ อะไรที่ลูกทำไม่ถูก เราก็จะคอยเตือน และถ้าลูกอยากให้แม่ช่วยอะไร เราก็ช่วย แต่ก็มีบางเรื่องที่เราช่วยแล้วเขาโดนคดี 2 อย่างเลย เราก็เลยเริ่มคิดว่า เราควรจะช่วยดีไหม
อันนั้นคุณแม่คือช่วยอะไรบ้าง
ตอนเขาจะไปแขวนกระเทียม-พริก ไล่นายกฯ เขาแค่โทรมาถามเรา “มี๊ครับ เพนกวินอยากได้กระเทียมกับพริก” ช่วงนั้นมันมีงานเกษตรแฟร์ เราก็แนะนำให้เขาไปซื้อกระเทียมที่งาน ส่วนพริก เราก็มานั่งร้อยให้อยู่หลายวัน แสบมือเลย พอร้อยเสร็จก็ให้ลูกไป และยังบอกเขาว่ากระเทียมมันแพง ถ้าทำเสร็จแล้ว เอากลับมาให้แม่ทำกับข้าวด้วย ตอนหลังเขาก็โทรมาหาแม่ว่า “มี๊ครับ มี 2 เรื่อง เรื่องแรกคือไม่สามารถเอากระเทียมกลับมาให้มี๊ได้แล้ว เรื่องที่สองคือ เมืองไทยตลกดีนะครับ มีกระเทียมเป็นของกลาง” ก็คือตอนนั้นลูกก็ถูกจับ
ส่วนอีกเรื่องคือ เขาอยากได้โบว์ขาว เขาก็เอาผ้ามาถามว่าตัดยังไงด เราก็ช่วยตัดให้เป็นโบว์ แต่คดีนี้ที่ถูกโบว์ขาว เขาก็โดนอีก เราเลยบอกว่าหรืแม่ไม่ควรไปช่วยอะไรแล้ว ไปช่วยก็ถูกจับ
คือถ้าอะไรที่เขาขอความช่วยเหลือ หรืออยากได้เราก็จะให้ หรืออะไรที่เราไปเห็นว่า ที่ลูกทำแล้วมันไม่ดี กิริยามารยาทหรือบางอย่าง เราก็จะคอยเตือน ว่าพูดแบบนี้ไม่ดีนะ เขาก็จะโอเคแล้วก็จะไปขอโทษกันเอง อย่างที่บอกคือเราจะดูเขาอยู่ห่างๆ อย่างห่วงๆ และที่บ้านเราจะไม่เลี้ยงลูกแบบพ่อแม่รังแกฉัน เขาจะบอก “มี๊ บ้านอื่นเขายังนู่นนี่นั่น” เราก็บอกว่าเราคุยกันด้วยเหตุผล เรารักเขามาก เขารู้ว่าเรารักมาก แต่แม่ไม่ตามใจ
การเคลื่อนไหวของเขา ที่ดูมีความเสี่ยงขึ้นเรื่อยๆ จากที่เขาเริ่มขึ้นมาเป็นแกนนำ มีมวลชนที่มาชุมนุมเยอะขึ้น แล้วมีการตอบโต้ของรัฐที่รุนแรง คุณแม่มองยังไงบ้าง
เราเป็นห่วงความปลอดภัย แล้วก็คอยเตือนเสมอเรื่องความปลอดภัยว่าอย่าประมาท คนจ้องคนระวังไม่เหมือนกัน ลูกอย่าโลกสวย ต้องมีสติ ทำอะไรก็ต้องวางแผนดีๆ ถ้าเราว่างก็จะไปอยู่ห่างๆ ตอนแรกเราไม่เคยไป แต่เราก็จะคอยดูว่าลูกทำอะไร ลูกบอกแม่นะ แม่ดูอยู่ห่างๆ ก็จะพยายามไปคอยดูรอบนอกโอเคไหม เพราะว่าบางทีเขาเห็นว่าเพนกวินเป็นเด็ก จะมาทำอะไร เราก็กลัวลูกจะโดน แต่ปรากฏว่าเขาเก่งกว่าเราอีก
ครอบครัวก็ยังคุยกันเสมอใช่ไหม ตลอดการเคลื่อนไหวของเขา
เราคุยกันแต่เราจะไม่ค่อยได้เจอกัน เวลาคุยกันก็จะไม่ค่อยได้โทร พ่อเขาบอกว่าเวลาจะโทรไปอย่าโทรหา หรือไปหาลูก เพราะลูกจะเป็นอันตราย เราก็ใช้วิธีอื่น ก็คิดว่าทำไงดีเราอยากรู้ว่าวันนี้ลูกยังมีชีวิตอยู่ แล้วแม่ไม่ได้เล่นพวกโซเชียลมีเดีย ก็คอยถามน้องอยู่เรื่อย จนน้องเอามือถือแม่มา แล้วก็ไปทำไรสักอย่างไม่รู้ ก็บอกว่าต่อไปนี้ มี๊เข้าตรงนี้ กดตรงนี้ คอยดู ทีนี้เราต้องคอยดูว่าลูกโพสต์อะไรไหม สมมติถ้าไม่ลงครึ่งวัน หรือวันนึง เราก็กังวล
เราจะเช็คว่าทุกวันลูกยังมีชีวิตอยู่ไหม จริงๆ เราไม่คิดว่าเราต้องมาทำอย่างนี้ เราอยากเจอลูกทำไงดี รู้ว่าลูกมีม็อบตรงนี้ ซึ่งเราพอไปได้เราก็ไป ลูกสาวบอกว่า “มี๊เข้าไม่ถึงหรอก” เราก็บอกว่าไม่เป็นไร เรายังได้เห็น ถ้าแม่เข้าไปใกล้หน่อย โบกมือให้พีทรู้ว่าแม่มา แค่นั้นเอง แม่ไม่เข้าไปยุ่ง แค่อยากรู้ว่าเขาโอเค เหมือนเราเห็นของที่เรารัก แล้วเราก็กลับ เรารู้ว่าเขาเหนื่อย เราก็จะห่วงเรื่องกินอยู่ กินบ้างไหมลูก นอนบ้างไหม
ในแง่นึง การต่อสู้ของเขา ก็แลกมากับครอบครัวของเราเหมือนกัน แต่ครอบครัวก็ตัดสินใจว่าจะสนับสนุนเขาใช่ไหม
สนับสนุน เพราะว่าเราคิดว่าลูกเราไม่ได้ทำอะไรผิด คือแต่ก่อนเราก็ไม่ได้คัดค้าน แต่เราอาจจะไม่ได้สนับสนุนแบบออกมาเย้วๆ อย่างที่บอกว่าเป็นห่วงอย่างห่างๆ อะไรที่ซัพพอร์ตได้ซัพพอร์ต ถ้าลูกขอความช่วยเหลือ คือเราจะไม่เข้าไปก้าวก่ายเขา แม่ไปคิดอย่างที่เขาคิดทำไม่ได้หรอก แต่ถ้าลูกต้องการความเห็น ถามเราจะตอบ พยายามจะหาให้ หาข้อมูลให้ มันก็ต้องแลกในสิ่งที่เขาตั้งมั่น อย่างที่เขาบอกว่า “ชาตินึงถ้าพนกวินไม่ได้ทำเพนกวินเสียชาติเกิด”
เราก็คุยกับน้องเขา น้องเขาก็สนับสนุนพี่เขา 1000% พ่อก็สนับสนุน มีแม่คนเดียวนี่แหละช้าสุด ก็สนับสนุนโดยที่เราไม่อยากให้ลูกเป็นกังวลว่าที่บ้านไม่โอเค เพราะเขาจะเป็นกังวลเรื่องความรู้สึกเพราะเขารักเรา แม่ไม่อยากจะเป็นภาระ เมื่อหันมาเห็นเราทีไรจะรู้สึกว่ามั่นคง ว่าโอเค ก็อย่างที่บอกว่าไปให้ถึงฝัน ทำให้ดีที่สุด สิ่งที่ลูกเลือกแล้ว แม่ไม่บังคับ แต่ลูกต้องรับผิดชอบในสิ่งที่ลูกเลือก แต่ก่อนมันไม่ได้ยิ่งใหญ่ ไม่ได้ต้องรับผิดชอบเยอะขนาดนี้ แต่ตอนนี้ก็ต้องเพิ่มมาอีก เราก็บอกเขาว่า “พี่ครับ พี่ไม่ได้ดูแลแค่ชีวิตของลูก พี่ดูแลมวลชนทุกๆคนคน หลายคนทั้งน้องๆเล็กๆ ลุงป้าน้าอา คนที่เข้าออกมาสนับสนุน ออกมาร่วมขบวนการณ์ พี่ต้องคิดถึงเขามากๆ เพราะเขาก็มีคนที่เขารักอยู่ที่บ้าน เขาก็บอกว่าเราว่า “เพนกวินไม่ทิ้งมวลชน” เราไม่อยากให้ลูกเราเป็นคนเห็นแก่ตัว แต่จริงๆแล้วมันไม่ใช่นิสัยเขาเลย ถ้าเราทำมันจะด่าเราด้วย
แต่ว่าอย่างที่บอกเราแลกแล้ว ลูกเขียนจดหมายมาว่า ราคานี้เค้าคงคิดมานานแล้ว เขาไม่เคยบอก แต่เขาก็เตือนเราเป็นระยะ เขาไปบอกพ่อว่า “ถ้ากวินเป็นอะไรไป ขอให้พ่อแม่ภูมิใจในสิ่งที่เขาทำ” เขาบอกแม่ไม่ได้ เขารู้ว่าแม่ไม่รับ แต่เขาก็บอกเราอยู่เรื่อยๆว่า “มี๊ครับ การต่อสู้ต้องมีการสูญเสีย ต้องมีการเสียสละ” แต่เราก็บอกเขาว่า เราไม่พร้อมที่จะสูญเสียเขา เราต้องเสียสละขนาดนี้เลยหรอ
มันก็เป็นราคาที่เขาจ่าย และเราจ่ายแพงมาก แล้วเราไม่อยากให้บ้านไหนจ่ายอีก มันไม่ง่ายนะ อย่างที่ลูกพูดจริงเลยว่ามันเป็นบาดแผลที่ไม่เห็นจากข้างนอก ไม่เป็นเราไม่มีใครรู้ และมันเป็นความเจ็บปวดที่มองไม่เห็น มันขยี้ใจสุดๆ เราไม่รู้จะเยียวยายังไง คือเราก็ใช้เวลาของเรา เราก็พยายาม แต่บางจุดเราก็ยังคิดถึง ก็ถึงบอกว่าครอบครัวอื่นอย่าโดนเลย มันเป็นการจ่ายที่มากพอแล้ว เราจ่ายเผื่อคนอื่นแล้ว
การที่เค้าโยนหินมาเรื่อยๆ เพื่อให้ชินและทำใจกับการต่อสู้ของเขาหรือเปล่า
บางทีเราก็ไม่เก็ทนะ พอมันผ่านไปแล้วเราถึงเก็ท เค้าก็เป็นแบบนี้ ให้พ่อแม่ไม่ต้องช็อค ค่อยๆให้แม่เริ่มทำใจ วันนั้นบ่นอะไรซักอย่างเรื่องเป็นห่วงลูก พ่อเขายังบอกว่า “สุยังทำใจไม่ได้อีกหรอ” เราก็งงว่าทำใจเรื่องอะไร อเขาก็บอกว่า “ลูกบอกพี่ว่าถ้าเกิดอะไรขึ้นให้ภูมิใจในสิ่งที่เขาทำ” เขารู้อยู่แล้วว่าแม่ทำใจไม่ได้ ไม่มีทาง และไม่มีวันทำใจได้ แค่ลูกถูกจับชีวิตเรายังแย่มาก เรายังคิดถึง แต่ก็ยังดีที่เขาคงรู้ เพราะเราสนิทกัน เขาคงรู้ว่าเราคงต้องดาวน์ขนาดไหน เค้าก็เขียนมา บางอย่างเราอ่านมันก็กินใจ เราก็รู้แล้วว่าลูกจะสื่ออะไร อย่างเช่น ที่ว่าไม่เคยปล่อยมือเขา สู้ไปด้วยกัน หลายๆเรื่องเรารู้แล้วว่าลูกสื่อ ลูกเค้ายอมจ่ายนะในราคาที่ต้องจ่าย เราก็บอกว่า “เราก็ยอมจ่ายนะ เราอเมริกันแชร์ลูก” เราก็ยอมจ่าย ซึ่งเราจ่ายมานานมากแล้วด้วย แต่เราก็โอเคถ้ามันจะไปถึงตรงนั้นและทุกคนในบ้านก็โอเค เพราะทุกอย่างที่ทำแม่ก็จะถามน้องด้วย เพราะมันจะกระทบกับน้อง กระทบกับครอบครัวด้วย
ที่แม่เคยเล่าว่า เพนกวินพูดว่า ถ้าได้ออกมาเดี๋ยวก็ต้องมีอีกหลายคดี พอแม่ได้ยินแล้วรู้สึกยังไงบ้าง
เค้าคงเห็นว่าสภาพที่เราไปเจอวันนั้น สภาพหลังจากที่เศร้าใจไปหลายวัน ร่างกายและหน้าตามันคงฟ้อง เขาก็พูดให้เราสบายใจ “แค่นี้ เดี๋ยวกวินก็ต้องโดนจับอีกตั้งหลายครั้ง” ตอนนั้นเราก็ไม่ได้แย้งอะไรออกไป มองตากันเราก็รู้ว่าเค้าพูดให้เราชิล แต่จริงๆมันมันไม่ชิลหรอก ตอนแรกเราก็คิดว่าช่างมันเถอะแค่เข้าคุก เราคิดเข้าข้างตัวเองว่า เขาไม่ค่อยได้นอน ไปนอนในนั้น 2-3 วัน ให้เต็มอิ่ม แต่พอหลังๆเราคิดว่ามันนานไปแล้ว กลับออกมาได้แล้ว
เราเห็นเขาก็สงสาร ถามเขาเรื่องความเป็นอยู่ เขาไม่ได้พริวิเลจอะไรเลย เขายังใช้ชีวิตแย่กว่าบางคนที่เข้าไปในนั้น บางคนที่มีพริวิเลจ แต่นี่ห้องก็แคบ สงสารพี่สมยศด้วย พี่สมยศบอกมันดิ้น เแต่ก่อนเขาอยู่ด้วยกัน แต่ตอนนี้แยกแล้ว แต่พ่อเขาบอกว่าลูกไม่ดิ้น พอเขาไปนอนด้วยกัน พ่อก็เข็ดเลย แต่ถึงอย่างนั้น เราก็ยังอยากที่จะนอนเวลาลูกกลับมา ให้เขาพัวพันอยู่แถวๆ นี้
เราเห็นความไม่เป็นธรรมของรัฐ ที่กระทำต่อลูกเราอย่างไรบ้าง
ไม่เข้าใจทำไมต้องมาทำร้าย จับกุมอะไรกับเด็ก ที่เรียนก็ยังไม่จบ อายุก็แค่ 20 นิดๆ แล้วเด็กเขาไม่ได้มีเจตนาที่จะทำไม่ดี ไม่ได้จะทำความเสียหายให้กับบ้านเมือง แล้วทำไมถึงต้องใช้ความรุนแรงขนาดนี้ การจับเขาเข้าห้องขังโดยไม่ได้ประกันตัว เขายังไม่ได้ถูกตัดสินว่าผิด ในขณะเดียวกัน คนบางคนถูกตัดสินว่าผิดแล้ว ก็ยังมีสิทธิ์ได้ประกันตัว มีชีวิตอยู่ข้างนอกสุขสบาย แต่ลูกเราทั้งๆ ที่ยังไม่ได้มีการตัดสิน และสิ่งที่ทำทุกคนก็ได้เห็นประจักษ์ว่าไม่ได้ทำความเสียหายอะไร
แล้วลูกยังเป็นเยาวชนยังต้องเรียนหนังสือ คุณไม่อยากได้อนาคตของชาติหรอ หรือคุณบอกว่าชีวิตคนนี้ไม่มีค่า อานนท์ หมอลำแบงค์หรือพี่สมยศเขาก็มีครอบครัว พี่สมยศเค้าก็มีลูกมีครอบครัวที่รัก หมอลำแบงค์ก็มีคนที่รัก เพนกวินก็มี แล้วเพนกวินก็ยังเรียนหนังสือ เราก็อยากให้เขาได้เรียนหนังสือ ตอนนี้เข้าไปคุกจนบัดนี้ เมื่อวันก่อนที่เจอกัน อาทิตย์หน้าจะสอบมิดเทอมแล้ว เราก็บอกเขาว่าจะติดต่ออาจารย์ให้สอบข้างใน แต่เขาก็บอกเราว่า เขายังไม่เคยได้รับชีทเรียนส่งเข้าไปเลย เราก็งงว่า ชีทเรียนมันมีปัญหาอะไร ทำไมเขาถึงไม่ได้อ่าน ต้องตรวจอะไรที่ไหน
เราก็รู้สึกว่ามันไม่ค่อยเป็นธรรม อย่างที่อื่นเขาใช้คำว่าสองมาตรฐาน แม่ว่ามันยิ่งกว่าสองมาตรฐานอีก มาตรฐานขึ้นอยู่กับว่าสังคมพริวิเลจคุณยังไง เราคิดว่ามันไม่ยุติธรรม มันเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีกับคนในสังคมกับเด็กรุ่นใหม่ เพราะเขาเติบโตมาแล้วเค้าเห็นอย่างนี้ อะไรที่เคยรู้ในหนังสือกับสิ่งที่ปฏิบัติถ้ามันขัดแย้งกัน เด็กมันเชื่อที่ปฏิบัติ เด็กก็จะงง เราจะเทรนด์คนรุ่นใหม่ก็ต้องใช้เวลาในการสร้าง ควรทำเป็นตัวอย่างให้เขาได้เห็นว่าความยุติธรรมมันเป็นแบบไหน
พอเราเห็นสิ่งที่ลูกเราทำ ประเด็นที่ลูกเราพูด ประเด็นที่ลูกเราขับเคลื่อนมันอิมแพ็คต่อสังคมมากๆ รู้สึกอย่างไร
ก็เข้าใจ แต่อย่างที่บอกว่าก่อนที่เราจะเข้าใจ หรือโอเคอะไร เราต้องไปหามาก่อน ว่าทำไมลูกถึงทำแบบนี้ เนื้อหามันคืออะไร เรื่องจริงมันคืออะไร พอเราเข้าใจก็ไม่ได้ขัดแย้งอะไร แล้วสิ่งที่ทำ เขาก็บอกว่าเขาทำเพื่ออนาคต พอเราฟังเราก็หาข้อมูลมาประกอบ ก็เห็นว่ามันเป็นสิ่งที่ถูกต้อง สิ่งที่ดี ลูกไม่ได้ทำเพื่อตัวเอง ถ้าลูกไม่ได้ทำ ลูกก็อยู่ของลูกสุขสบาย บ้านเราก็คงนัดกินข้าวกันได้ ซึ่งเราไม่ได้กินข้าวกันมาจะครบปีแล้ว หรือเพนกวินก็อาจจะหาทุน ไปเรียนต่อ
แต่เขาเลือกที่จะทำ และอย่างที่เขาบอกว่าให้เราภูมิใจกับสิ่งที่เขาทำ เพราะมันเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ส่งผลกับหลายชีวิตในปัจจุบันและหลายชีวิตที่กำลังจะเกิดในอนาคต มันเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ มันเป็นทุนกับทุกคน ไม่ว่าคนนั้นจะเห็นด้วยหรือไม่ คุณได้ประโยชน์นี้หมด แต่แค่มีคนกลุ่มหนึ่งยอมเสียสละในสิ่งที่เขาทำ จริงๆเราอยากให้การเสียสละ คือการเหนื่อย แต่เราไม่อยากให้เสียสละอย่างอื่น
ก่อนหน้านี้เห็นว่าแม่ไม่ค่อยอยากให้สัมภาษณ์ ทำไมครั้งนี้ถึงตัดสินใจว่าอยากให้สัมภาษณ์เรื่องของลูก
เหตุผลที่ไม่อยากให้สัมภาษณ์เพราะว่า หนึ่ง เรากลัว เราไม่ใช่คนเก่งอะไร และสองเรื่องการงาน ขนาดยังไม่สัมภาษณ์ แค่ไปหาลูกที่ สน.สำราญราษฎร์ เราก็มีผลกระทบเยอะแยะมากมายแล้ว ทีนี้พอจะให้สัมภาษณ์ อย่างที่บอกว่าที่บ้านเราจะคุยกัน ลูกสาวก็ถาม “มี๊จะทนได้หรอ จะรับได้หรอ ถ้าออกไปแล้วมี๊ถูกด่าอีก” เราก็บอกลูกว่าแม่ไม่เล่นเฟซบุ๊กหรืออะไร เขาก็บอกว่า แค่แค่ในไลน์ เพื่อนมี๊ด่ามา มี๊ยังเศร้าเลย เราก็เลยยังไม่ทำ
เพนกวินก็ไม่เคยบังคับ เราก็ถามเขา เพราะเรากลัวมันจะส่งผลกระทบ หรือเสียหาย แต่เขาก็บอกว่า มี๊ตัดสินใจเอง แต่ครั้งนี้ อย่างที่บอกว่าเพนกวินถูกตัดสินอย่างไม่ยุติธรรม เป็นการตัดสินที่กระแทกใจ เราก็รู้สึกว่ามันไม่ได้แล้ว เราจะปล่อยลูกไปผจญสิ่งต่างๆ ด้วยตัวคนเดียวโดยที่ไม่มีเราอยู่ มันไม่ได้แล้ว ถ้าเราไม่ออกมาช่วยลูก เราก็ตายตาไม่หลับ เราก็จะรู้สึกว่าเราเป็นแม่ประเภทไหน มีพี่ป้าน้าอาน้องๆ ทุกคนเค้าออกมาช่วยลูกเราหมด แล้วทำไมเราไม่ออกมา และมันก้าวข้ามความกลัว ความกังวลต่างๆ ที่เราต้องเจอ
เราก็คุยกันก่อนที่แม่จะให้สัมภาษณ์ ถ้าจะเกิดแบบนี้กับเรา น้องบอกโอเค อย่างมากก็แค่ขายบ้านนี้ แล้วไปอยู่บ้านเล็กๆ ห้องเล็กๆ คือพอลูกโอเค เราก็เลยถึงตัดสินใจว่าจะออกมาช่วยลูก อีกอย่างหนึ่งคือ เราเห็นเด็กเพื่อนๆ ลูก หรือเด็กที่มาทำกิจกรรม แล้วเขามีปัญหากับผู้ปกครองที่บ้าน คุณพ่อคุณแม่ไม่เข้าใจ ว่าทำไมเด็กถึงทำ เราก็รู้สึกสงสาร เด็กเขาก็เหนื่อยบางทีเค้าก็มาปรึกษา เราก็บอกว่าที่บ้านเราโอเค
เราก็ถูกเพื่อน คนรู้จักบอกให้ไล่ลูกออกจากบ้าน เราตอบทันทีว่าไม่ เราก็อยากจะบอกพ่อแม่ทุกคนว่า อย่าทิ้งลูกไม่ว่าคุณจะเห็นด้วยกับสิ่งที่ลูกทำหรือไม่ คุณไม่ควรทิ้งลูก คุณอยู่ข้างข้างเขา แล้วค่อยๆ ไปกับเขา เรียนรู้กับเขาแล้วค่อยๆ คุยกัน
เขาปรึกษาเรา เราก็เสนอความคิดเราเข้าไป เขาจะเก็ทหรือไม่เก็ทก็เป็นอีกเรื่อง แม่รู้สึกว่า เด็กควรจะมีความสุขในบ้าน ไม่ใช่เหยียบบ้านไปแล้วร้อน ถ้าร้อนเขาก็ออก แล้วเขาจะอยู่ไหน ถ้าไปเจอเพื่อน หรือทางที่ไม่ ชีวิตเขาอาจจะเสียไปเลย
มันต้องมองเป็นภาพระยะยาวไม่ใช่เพราะแค่ไม่เห็นด้วยกับเหตุการณ์นี้ เพราถ้าเหตุการณ์จบแล้ว จะมองหน้ากันยังไง ถ้าคุณทิ้งเขาในตอนที่เขาต้องการคุณ ไม่ว่าเขาจะสำเร็จไหม ต่อให้เขาทำสำเร็จ แล้วคุณทิ้งเขา คุณก็จะไม่มีเขาเหมือนกัน แต่ถ้าเขารู้ว่ามีคนที่รักอยู่ที่บ้าน รอเขาอยู่ เขาต้องทำทุกวิถีทางเพื่อที่จะกลับไปหาคนที่เขารัก แล้วเขาก็จะทำไม่ใช่แค่เรื่องนี้ ในอนาคตเวลาที่เขาทำอะไรก็จะนึกถึงครอบครัว อย่างลูกเรา เขาบอกว่าครูสอนแย่ อยากโดดเรียน แต่เขาก็สงสารมี๊ที่จ่ายค่าเรียนแพงๆ ให้ เค้าจะคิดถึงลิมิต เพราะรู้ว่าพ่อแม่รัก
แม่ไม่อยากแก่แบบที่ลูกให้อาหารนก วางอาหารไว้ให้ก็กิน แต่เราอยากให้เขาเล่นกับเรา อยู่กับเรา ถ้าเราไม่ฟัง ไม่สนใจความคิดเขา แก่ไปเขาก็จะเลี้ยงเราแบบนี้เหมืนกัน จะทำอะไรก็ไม่สนใจ และครอบครัวแบบนั้น ก็จะทำให้เด็กไปเป็นต้นของครอบครัวของเขาอีก แล้วมันก็จะถ่ายทอด อะไรที่มันไม่ดีให้มันจบที่เรา
พอคุณแม่มาร่วมกิจกรรมเดินทะลุฟ้า ก็ได้เจอแม่คนอื่นๆ ทั้งแม่ของไมค์ แม่ของไผ่ แม่ๆ แชร์เรื่องลูกอะไรกันบ้าง
แม่พี่ไผ่นี่เจอเป็นครั้งแรก พอเจอกันแม่ก็บอกกับไผ่ว่า เมื่อแม่ๆ มาเจอกันเนี่ย ก็จะเกิดเหตุการณ์เม้ามอยลูกๆ นะ แต่เราเจอแม่พี่ไผ่แล้ว พอฟังเขาพูด เราก็ได้เรียนรู้ สำหรับแม่พี่ไมค์ เราไม่ค่อยได้เจอกันหรอก เจอแค่หนเดียว แต่เราก็โทรศัพท์คุยกัน บางทีเขาก็โทรมาให้กำลังใจ เราก็คุยว่าเขาเลี้ยงลูกยังไง พอฟังก็รู้สึกว่าเค้าเลี้ยงลูกดี ทัศนคติเขาดีจัง แสดงว่าเด็กพวกนี้ที่เขามาเป็นอย่างนี้เพื่อสังคมได้ เค้าถูกเลี้ยงมาอย่างดี
พ่อแม่พี่ไผ่เขาเจอมาเยอะกว่าเรา เขายังสู้ได้ยังอยู่ได้จนถึงทุกวันนี้ เราเจอแค่นี้จิ๊บๆ ถึงจุดหนึ่งเราก็ต้องให้กำลังใจตัวเอง เราก็ต้องต่อสู้ เรื่องของเรามันขี้ปะติ๋ว ของเขาลำบากกว่า เรารู้หัวอกคนเป็นแม่ตอนลูกอยู่ในคุกว่ามันทรมาน ทรมานสุดๆ เราก็ได้เรียนรู้ดี
ถ้าให้สิ่งหนึ่งกับเพนกวินในตอนนี้ คุณแม่อยากให้อะไรกับเขาที่สุด
อยากให้สิ่งหนึ่งกับเพนกวินตอนนี้.. อยากให้อิสรภาพกับเขา แต่มาทำให้ไม่ได้ แม่อยากกอดหอม วันนั้นเค้าก็ฝากทนายมาบอกเหมือนกัน ว่าถ้าถามว่าเพนกวินอยากเจอใครมากที่สุดแล้วอยากทำอะไรมากที่สุด เขาอยากเจอแม่ อยากกอดแม่ แม่คงรู้นะ เราฟังแล้วก็ร้องไห้อยู่ตรงนั้น ตอนนี้เราก็แข็งแรงขึ้นแล้ว แต่ตอนนั้นเราก็สงสาร เรารู้ว่าลูกรู้สึกยังไง ปกติเขาเหนื่อย เขาก็มักจะขอเรากอด ขอนอนตัก คอยดูแลเขาตลอด เราก็ดีใจ และมีความสุขที่ได้ดูแลเขา
เบื้องหน้าเขาดูสู้อย่างดุดัน แต่เบื้องหลังเขาเหนื่อยๆ มา ก็มาขอกำลังใจจากที่บ้าน
ใช่ เขาก็มาขอกำลังใจ อยากกินฝีมือมี๊บ้าง เขาก็มาอ้อน บางทีเขาเหนื่อย เราก็กอด หอมเขา และเขาเป็นเด็กดีอย่างนึงคือเขาไม่อาย เคยถามเหมือนกันว่า พี่เป็นผู้ชายโตแล้ว เวลาที่แม่มากอดหอมข้างถนน อายไหม เขาก็บอกไม่อาย แลเรามองตากันก็รู้ เขาโกหกเราไม่ได้เลย ล่าสุดที่ไปเยี่ยม เราส่องกระจกทึบๆ เราเห็นปฏิกิริยาเขาบางทีเราก็รู้ว่าเครียด นั่งก้มหัวจะถึงพื้น ซักพักเขาก็เริงร่า หรือทำเป็นเริงร่าให้เราเห็นหรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่เราก็จะดูลักษณะเขาได้ ว่ากำลังเครียด
แต่เพนกวินเป็นคนที่ฟื้นกำลังใจข้ึนมาได้ เขาเคยบอกเราว่า “ชีวิตก็แบบนี้แหละครับมี๊ ไม่ตายก็สู้กันต่อไป มี๊จะไปเครียดทำไมตอนนี้ เดี๋ยวถึงเวลาเกิดเรื่องมันก็ต้องเครียดอยู่ดี เครียดตอนนู้นเลยดีไหม” เขาก็จะให้ข้อคิดเราหลายๆ แบบ เราไม่ได้มองเขาเป็นแค่ลูกนะ เขาเป็นเหมือน soulmate หรือคนร่วมชีวิตกับแม่ เขาเป็นคู่คิดเราด้วย
ตอนที่เขาออกจากคุกครั้งแรก แล้วต้องไปขึ้นเวที วันนั้นเขาออกจากคุกไม่มีอะไรเหลือเลย รองเท้าไม่เหลือ แม่ซื้อรองเท้าแตะไปให้เขาที่ม็อบ และเพราะเราแยกกันตั้งแต่เขาออกจากโรงพยาบาล มันก็บอกไม่ถูกเนอะ อยากเจอลูกก็ได้แค่นี้ แต่เราไม่สามารถบังคับลูกได้ แล้วเราก็จะไม่บังคับด้วย เราก็คิดว่าไม่รู้จะบังคับทำไม แต่เจอกันเราก็จะกอด แสดงความรักกันตลอด เขาก็หอมกอดกันกลม ไม่อายสื่อ เราก็ซบเขาบ้างเดี๋ยวนี้เค้าโตกว่าเรา(หัวเราะ) ตอนเล็กๆเค้าก็ซบเราตอ เราก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ถึงจะมีแบบนี้อีก เราไม่รู้ว่าจะมีชาติหน้าไหม แล้วชาติหน้าเราจะได้เจอเขาไหม เราบอกเขาว่า ไม่รู้ว่าเราจะได้เจอกันอีกหรือเปล่า แต่ชีวิตที่เหลือของเรา เราอยากจะมีความสุขกับเขา วันนึงที่เราไม่อยู่แล้วแล้วเขาคิดถึงเรา จะได้คิดถึงภาพดีๆ เราก็คิดถึงเขา
เห็นจดหมายของเพนกวินที่เขียนออกมา ถ้าเกิดให้คุณแม่ตอบจดหมายนั้น แม่สุจะตอบว่าอะไร
ตอบเหมือนเดิมว่าโอเคราคานี้ เป็นราคาที่ลูกจ่าย อาจจะเป็นราคาที่แพงไปหน่อย แต่แม่จะบอกว่าแม่ไม่ให้ลูกจ่ายคนเดียว เราอเมริกันแชร์ แม่ก็จะร่วมจ่ายกับลูก ในจดหมาย อย่างที่ลูกบอกว่าดีใจที่แม่เดินไปด้วยกัน แม่จะเดินไปกับพี่ เราจะไม่ทิ้งกัน ขอให้ลูกเข้มแข็ง แม่ก็จะเข้มแข็งให้ลูก เราจะสู้ถึงที่สุด แล้วก็จะรอวันที่พี่ออกมา คุณจะไม่ได้จ่ายคนเดียว เราทั้งครอบครัวยอมจ่าย แต่เราไม่อยากให้คนอื่นต้องจ่ายอย่างเรา มันเจ็บปวด