การประท้วงเรียกร้องประชาธิปไตย รวมตัวชุมนุม ยิงแก๊สน้ำตา การปะทะกับเจ้าหน้าที่ เป็นภาพที่เราเห็นมาตลอดในช่วงปีที่ผ่านมาในฮ่องกง
ซึ่งหนึ่งเหตุการณ์สำคัญ ที่สร้างความเปลี่ยนแปลงอย่างมากในฮ่องกง คือการประกาศใช้ ‘กฎหมายความมั่นคงในฮ่องกง’ โดยจีนแผ่นดินใหญ่ ที่ทำให้หลายคนมองว่าเป็นจุดจบของ 1 ประเทศ 2 ระบบ และจะทำให้ผู้ที่เห็นต่างทางการเมือง ถูกจัดการได้ง่ายมากขึ้น
หลังการประกาศกฎหมายนี้ ไม่เพียงแค่ในฮ่องกงที่มีความเปลี่ยนแปลง แต่นานาชาติเองต่างก็ออกมาแสดงความเห็น จุดยืนต่อฮ่องกง และจีน ไปถึงบริษัทเทคโนโลยีต่างๆ ที่ก็ออกมาเทคแอคชั่นด้วย
กฎหมายความมั่นคงในฮ่องกง มีอะไรบ้าง ?
กฎหมายความมั่นคงฮ่องกง เป็นกฎหมายที่จะจัดการกับพฤติกรรมที่สุ่มเสี่ยงต่อความมั่นคงในฮ่องกง แต่ก่อนที่ตัวกฎหมายนี้จะมีการผ่านบังคับใช้ ไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดของกฎหมายตัวนี้ออกมา แม้กระทั่งชาวฮ่องกงส่วนใหญ่ ก็แทบจะไม่รู้อะไรเกี่ยวกับกฎหมายที่จะมาควบคุมชีวิตของพวกเขาเลย
หลังรัฐบาลปักกิ่ง ผ่านการบังคับใช้กฎหมายนี้ รายละเอียดต่างๆ ก็เริ่มมีการเปิดเผยออกมาว่า กฎหมายนี้ มีทั้งหมด 66 ข้อ ที่ระบุว่าการกระทำ 4 ประเภท ถือว่าผิดกฎหมาย ได้แก่ การแบ่งแยกดินแดน, การโค่นล้มบ่อนทำลาย, การก่อการร้าย และการสมรู้ร่วมคิดจากภายนอก หรือการแทรกแซงจากต่างชาติที่เป็นภัยอันตรายต่อความมั่นคงในประเทศ โดยเชื่อว่าโทษสูงสุดของข้อหาทั้งหมด คือ ‘การจำคุกตลอดชีวิต’
ภายใต้กฎหมายนี้ กองกำลังตำรวจฮ่องกง และกระทรวงยุติธรรม จะจัดตั้งหน่วยงานเพื่อจัดการกับอาชญากรรมต่อความมั่นคงของชาติ ทั้งอำนาจของตัวตำรวจฮ่องกงเอง ยังเพิ่มขึ้นจากกฎหมายฉบับนี้ด้วย โดยตำรวจได้รับอนุญาตให้ดำเนินการค้นทรัพย์สินส่วนตัวโดยไม่จำเป็นต้องมีหมายจับ จำกัดการเคลื่อนไหวของผู้ต้องสงสัย กักขังของพวกเขา สกัดกั้นการสื่อสาร และกำหนดให้ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตลบข้อมูล
นอกจากนี้ หากกฎหมายความมั่นคงนั้น ขัดแย้งกับกฎหมายท้องถิ่น ก็จะถือว่ากฎหมายความมั่นคงอยู่เหนือกว่า
และสภาประชาชนแห่งชาติจีนยังมีอำนาจในการตีความกฎหมายความมั่นคงนี้ด้วย รวมถึงผู้ต้องหาที่ถูกจับคุมภายใต้กฎหมายนี้ บางคดีเอง อาจจะถูกพิจารณาคดีอย่างเป็นความลับ ไม่มีคณะลูกขุน และตัวผู้พิพากษาเองจะสามารถถูกเลือกได้โดยผู้บริหารระดับสูงของฮ่องกง ซึ่งขึ้นตรงต่อปักกิ่ง หรืออาจส่งคดีไปอยู่ภายใต้อำนาจของแผ่นดินใหญ่ได้ด้วย ทั้งในบางคดีเอง อาจจะไม่มีการประกันตัว และระยะเวลาในการคุมตัวผู้ต้องสงสัยนั้นยังไม่มีจำกัดเวลาด้วย โดยกฎหมายระบุเพียงว่า ต้องได้รับการจัดการใน “เวลาที่เหมาะสม”
กฎหมายนี้ยังไม่เพียงกระทบกับชาวฮ่องกงเพียงเท่านั้น แต่มาตรา 38 ในกฎหมายยังระบุว่า ไม่ว่าผู้กระทำความผิดเป็นชาวฮ่องกงหรือชาวต่างชาติ ก็สามารถถูกดำเนินคดีได้ทั้งสิ้น หากเข้าไปในฮ่องกง หรือจีนแผ่นดินใหญ่ ขณะที่มาตรา 34 ระบุว่าชาวต่างชาติอาจจะถูกส่งกลับ หากพวกเขาฝ่าฝืนกฎหมายด้วย
ดังนั้นแปลว่าไม่ว่าชาวฮ่องกง หรือชาวต่างชาติ หากฝ่าฝืนการกระทำบางอย่างภายใต้กฎหมายนี้ ก็มีสิทธิจะถูกดำเนินคดีได้หมด เรียกได้ว่ายังมีรายละเอียดยิบย่อยหลายอย่างจากกฎหมายนี้ เช่นผู้ที่ดำเนินคดี จะไม่สามารถรับราชการได้ หรือบริษัทที่มีส่วนเกี่ยวข้องจะต้องเสียค่าปรับ ที่เรียกได้ว่า ล้วนแต่สร้าง ‘ความกลัว’ ให้แก่ผู้ที่คิดฝ่าฝืน
เกิดอะไรขึ้นแล้วบ้างกับชาวฮ่องกง หลังมีการประกาศใช้กฎหมายนี้
หลังประกาศใช้กฎหมายนี้ไม่ถึง 24 ชั่วโมง ในฮ่องกงก็ได้มีการจับกุมประชาชนภายใต้กฎหมายนี้ โดยมีรายงานว่ามีคนมากถึง 360 คน ที่ถูกจับกุม รวมทั้งคนที่เข้าร่วมการชุมนุมในวันครบรอบการคืนเกาะฮ่องกง และคนที่ถือธงเป็นคำว่า ‘Hongkong Independence’ ด้วย
ซึ่งในกลุ่มผู้ที่ถูกจับกุมนั้น มี 10 รายที่ถูกตำรวจฮ่องกงเก็บตัวอย่าง DNA จนก่อให้เกิดการถกเถียงกันว่าจำเป็นหรือไม่ เนื่องจากปกติแล้ว การเก็บข้อมูล DNA จะถูกนำมาใช้กับผู้ต้องสงสัยเพื่อสอบสวนความผิดอย่างการข่มขืน หรือการทำร้ายร่างกายที่รุนแรง แต่ทางเจ้าหน้าที่ก็รับรองว่าเป็นการเก็บข้อมูลที่ถูกต้องตามกฎหมาย และอำนาจ และ 10 รายที่ถูกจับกุมจากพฤติกรรมบ่อนทำลาย หากพบความผิดจริง อาจถูกจำคุกนานถึง 10 ปีได้ด้วย
ทั้งการศึกษา และนักเรียนเอง ก็ยังถูกกฎหมายนี้เข้ามาควบคุมด้วย
โดยมีการรายงานว่า หนังสือของฝ่ายสนับสนุนประชาธิปไตยในฮ่องกงถูกถอดจากห้องสมุดสาธารณะ และระบบค้นหาออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นหนังสือของโจชัว หว่อง นักเคลื่อนไหวฝ่ายประชาธิปไตย และนักการเมืองคนอื่นๆ ที่มีความคิดเห็นต่างจากจีนแผ่นดินใหญ่ ซึ่งหนังสือเหล่านี้จะถูกนำไปพิจารณาว่า มีเนื้อหาที่เกี่ยวข้องและละเมิดกฎหมายความมั่นคงหรือไม่
ขณะที่ในระบบการศึกษาเอง สำนักการศึกษาก็ได้ออกคำสั่งให้ทุกโรงเรียนตรวจสอบหนังสือในหลักสูตรด้วย โดยแถลงการณ์กล่าวว่า “หากอุปกรณ์การสอนมีเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรม 4 ข้อภายใต้กฎหมายใหม่ นอกเสียแต่ว่าจะถูกใช้เพื่อสอนให้ตระหนักถึงกฎหมายนี้ หากมันเกี่ยวข้องกับอาชญากรรมร้ายแรง หรือขัดศีลธรรม อุปกรณ์เหล่านั้นต้องถูกจำกัด” และในกฎหมายใหม่นี้เอง ยังมีส่วนที่ระบุถึงการบรรจุ การศึกษาความมั่นคงแห่งชาติในโรงเรียนและมหาวิทยาลัย
นอกจากด้านระบบการศึกษาแล้ว ตัวนักเรียนเอง ก็ถูกจำกัดสิทธิเช่นกัน จากที่ก่อนหน้านี้เราเคยเห็นภาพนักเรียนเข้าร่วมชุมนุม อารยะขัดขืนด้วยการหยุดเรียนเพื่อเข้าร่วมประท้วง แต่ล่าสุด รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ได้ออกมากล่าวว่า นักเรียนในฮ่องกงจะถูกแบนจากกิจกรรมทางการเมืองในโรงเรียน รวมถึงการร้องเพลงเนื้อหาประชาธิปไตย การโพสต์สโลแกนสนับสนุนประชาธิปไตย การบอยคอตชั้นเรียน ไปถึงการจับมือทำโซ่มนุษย์ที่เป็นการแสดงถึงการเคลื่อนไหวประชาธิปไตยด้วย
ด้านสื่อเอง ก็มีความกังวลที่จะถูกกำกับจากรัฐ เพื่อไม่ให้มีเนื้อหาที่ผิดกฎหมายนี้ ไปถึงกลุ่มการเมืองฝั่งประชาธิปไตยของโจชัว หว่องอย่างเดโมซิสโต ที่ออกมาประกาศยุบพรรค และแกนนำลาออก เพราะเชื่อว่าเป็นเรื่องยากที่เดโมซิสโตจะดำเนินการต่อไปเหมือนที่ผ่านมา แต่สมาชิกพรรคต่างก็จะเรียกร้อง และสนับสนุนประชาธิปไตยด้วยวิธีต่างๆ ต่อไป
เมื่อกฎหมายความมั่นคง ส่งผลถึงแอพพลิเคชั่น และเทคโนโลยี
การประกาศใช้กฎหมายความมั่นคง ยังตามมาด้วยการติดตามข้อมูลทางเทคโนโลยีของผู้ใช้ต่างๆ ซึ่งตัวกฎหมายนั้น ทำให้รัฐบาลขอข้อมูลจากบริษัทเทคโนโลยี เจ้าของโปรแกรมและแอพพลิเคชั่นต่างๆ แต่ถึงอย่างนั้น กระแสของบริษัทเหล่านี้กลับไม่เห็นด้วยกับกฎหมายตัวนี้ และไม่ให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ฮ่องกง
โดยตอนนี้ มีบริษัทเทคโนโลยีระดับโลกอย่าง Microsoft, Zoom, Facebook, WhatsApp, Google, Twitter และ Telegram ที่ประกาศว่า หยุดการพิจารณาคำร้องของรัฐบาลฮ่องกง ระงับความร่วมมือกับรัฐบาลด้วย และจะไม่ส่งข้อมูลต่างๆ ให้ โดย Telegram ระบุว่า “ความเป็นส่วนตัวสำคัญต่อชาวฮ่องกงในช่วงเวลานี้ และจะไม่ส่งข้อมูลผู้ใช้ให้รัฐบาลฮ่องกงจนกว่าจะมีความเห็นร่วมกันต่อความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในฮ่องกงในระดับนานาชาติ”
ขณะที่โซเชียลมีเดียอย่าง TikTok ที่แม้จะอยู่ใต้บริษัทสัญชาติจีนเอง ก็ประกาศจะออกจากตลาดฮ่องกง จะไม่ให้ข้อมูล และยืนยันว่าบริษัททำงานเป็นอิสระจากรัฐบาลจีนด้วย แต่ถึงแม้ว่าบริษัทเหล่านี้ จะไม่ให้ความร่วมมือ แต่ความกลัวที่จะถูกติดตามข้อมูล และเสรีภาพในการโพสต์ข้อความต่างๆ ของประชาชนก็ถูกกำกับ ถึงกับมีรายงานว่า มีประชาชนที่ไล่ลบโพสต์เก่าๆ เพราะความกังวลด้วย
นานาชาติ กับความคิดเห็นต่อกฎหมายความมั่นคงฮ่องกง
ไม่เพียงแค่ชาวฮ่องกงเอง ที่มองว่ากฎหมายนี้ลิดรอนสิทธิ และเสรีภาพของประชาชน แต่นานาชาติ หลายประเทศก็ออกมาแสดงความคิดเห็นต่อกฎหมายตัวนี้ โดยในการประชุมคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ ได้มีการพูดคุย และโต้เถียงกันถึงประเด็นนี้ และมี 52 ประเทศ ซึ่งเป็นพันธมิตรกับจีน นำโดยคิวบา ที่ร่วมสนับสนุนกฎหมายนี้ ขณะที่สหราชอาณาจักร ที่เคยปกครองฮ่องกง และ 26 ประเทศก็อยู่ในฝั่งที่ไม่เห็นด้วย และประนามการประกาศใช้กฎหมายนี้
โดยจะสังเกตได้ว่า 53 ประเทศที่เข้าข้างจีนนั้น ล้วนแต่เป็นประเทศโลกที่ 3 ในแอฟริกา และตะวันกลาง ซึ่งส่วนหนึ่งได้รับการสนับสนุนเงินกู้จากประเทศจีน รวมไปถึงประเทศที่มีการปกครองในระบอบเผด็จการที่เป็นพันธมิตรที่แน่นแฟ้นกับจีน อย่างเกาหลีเหนือด้วย ขณะที่อีกฝั่งนึง ส่วนใหญ่คือประเทศที่พัฒนาแล้วในยุโรปด้วย
ซึ่งประเทศที่ไม่สนับสนุนกฎหมายฉบับนี้ ก็ได้ออกมาตรการบางอย่างเพื่อสนับสนุนประชาชนฝ่ายประชาธิปไตยในฮ่องกง โดยอังกฤษเอง ก็ได้ประกาศว่ายินดีที่จะขยายสิทธิพิเศษทางวีซ่า และเปิดทางในการให้สัญชาติกับชาวฮ่องกงหลายล้านคน เช่นเดียวกับ ออสเตรเลียเอง ที่ประกาศระงับสนธิสัญญาส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนกับฮ่องกง และจะหามาตรการให้วีซ่ากับชาวฮ่องกงที่เรียน หรือทำงานในออสเตรเลียเพิ่ม
ขณะที่ไต้หวันเอง ก็ได้เปิดสำนักงานระหว่างไต้หวัน-ฮ่องกง เพื่อช่วยเหลือชาวฮ่องกง ทั้งในด้านการให้คำปรึกษา การบริการช่วยเหลือด้านการศึกษา การจ้างงาน การลงทุน และผู้ที่จะย้ายถิ่นฐานมาด้วย ส่วนด้านสหรัฐฯ เองก็ได้คว่ำบาตร และผ่านร่างกฎหมายลงโทษธนาคารของจีนที่ทำธุรกิจกับเจ้าหน้าที่ที่มีความเกี่ยวข้องกับกฎหมายความมั่นคง
แต่แม้ว่าจะมีการกดดัน คว่ำบาตร และการเพิ่มมาตรการเพื่อช่วยเหลือชาวฮ่องกง แต่แน่นอนว่า ผลกระทบจากการประกาศใช้กฎหมายนั้น จะทำให้ฮ่องกงไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ทั้งล่าสุดจีนเองก็ได้เปิดสำนักงานเพื่อปกป้องความมั่นคงแห่งชาติของรัฐบาลประชาชนกลางในเขตบริหารพิเศษฮ่องกง’ แล้ว ซึ่งสำนักงานนี้เอง จะเก็บข้อมูลข่าวกรอง, สืบสวนและดำเนินคดีเกี่ยวกับอาชญากรรมต่อความมั่นคงของชาติ โดยเจ้าหน้าที่ของสำนักงานจะไม่ถูกผูกมัดด้วยกฎหมายท้องถิ่นด้วย
ซึ่งไม่เพียงแค่เสรีภาพของพวกเขา แต่ความเป็นเอกลักษณ์ของฮ่องกงก็จะหายไป ส่งผลกระทบต่อความน่าดึงดูดใจในฐานะที่เป็นศูนย์กลางธุรกิจ และโรงไฟฟ้าชั้นนำระดับโลกอย่างที่ฮ่องกงเคยเป็น
อ้างอิงจาก
bbc.com/world-asia-china-53336191 (2)