เพนกวิน พริษฐ์ ชิวารักษ์ อยู่ในเรือนจำมาตั้งแต่ 9 กุมภาพันธ์ 2564
รุ้ง ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล อยู่ในเรือนจำมาตั้งแต่ 8 มีนาคม 2564
เราต่างคุ้นเคยกับ เพนกวิน และรุ้ง ในฐานะแกนนำคณะราษฎร นักปราศรัย นักเคลื่อนไหวที่ออกมาเรียกร้องประชาธิปไตย และการเปลี่ยนแปลงในสังคม แต่ในอีกมุมนึง เพนกวิน และรุ้งเป็นลูกชาย และลูกสาว เป็นพี่ชายคนโต และน้องสาวคนเล็ก ของครอบครัว ทั้งยังเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย ที่กำลังศึกษาอยู่ และอยู่ในวัยเพียง 20 ต้นๆ
ในซีรีส์ ‘Never Forgotten ไม่ลืมเพื่อนเรา’ ชิ้นแรก The MATTER มาร่วมสนทนากับแนวร่วมธรรมศาสตร์ และการชุมนุม เพื่อนของเพนกวิน และรุ้ง อย่างณัฐ – ณัฐชนน ไพโรจน์, สมาร์ท – ภัทรพงศ์ น้อยผาง และซัน – วัชรากร ไชยแก้ว ให้ทั้ง 3 เล่าถึงเพื่อนๆ ในมุมที่เราอาจจะไม่รู้จักมาก่อน ความฝันของเพื่อนทั้ง 2 อุดมการณ์เคลื่อนไหว และเบื้องหลังการทำงานแต่ละครั้ง ซึ่งล้วนแต่เป็นบทสนทนาที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ และความคิดถึง ที่หวังว่าคนอื่นๆ จะได้รู้จัก และไม่ลืมเพนกวิน และรุ้ง
จากอุดมการณ์เคลื่อนไหว นำสู่การเป็นเพื่อนกัน
เราเริ่มพูดคุยกับน้องๆ ด้วยคำถามที่ว่า มารู้จักรุ้ง และเพนกวินได้อย่างไร ซึ่งทั้ง 3 คนก็บอกว่า ทุกคนต่างเริ่มจากการเคลื่อนไหว ที่มีอุดมการณ์เหมือนกัน จนได้มาร่วมงาน และกลายเป็นเพื่อนที่มากกว่าแค่ทำงานด้วยกัน โดยซัน ซึ่งเป็นนักศึกษาที่เรียนอยู่วิทยาเขตท่าพระจันทร์ ก็เล่าว่า เขารู้จักทั้งคู่ผ่านสหภาพนักเรียน นิสิต นักศึกษาแห่งประเทศไทย (สนท.)
“เราทำพรรคกับเพื่อน ที่ มธ.ท่าพระจันทร์ เพื่อนก็ชวนไปสมัชชาใหญ่ สนท.ก็มีโอกาสรู้จักกันตอนประชุม จริงๆ ก็เคยเจอตอนแฟลชม็อบที่ท่าพระจันทร์ แต่ก็ยังไม่รู้จักกัน พอรู้จักผ่าน สนท. รุ้งก็ชวนมาทำแนวร่วมฯ แล้วก็มารู้จักกับกวิ้น
จริงๆ ภาพกวิ้นที่เคยเห็นในสื่อ กับภาพในหัวตอนที่เจอ ต่างกันนะ ในสื่อดูเป็นคนน่าจะต้องวิชาการ แข็งๆ ดูหัวรุนแรงประมาณนึง แต่พอมารู้จักจริงๆ มันก็ไม่ใช่แบบนั้น มันมีด้านที่เป็นมนุษย์อื่นๆ อีกมากของเพนกวิน ส่วนรุ้ง เราก็มารู้จักรุ้งในเวอร์ชั่นมุ้งมิ้ง แล้วก็ต้องทำตัวให้คุ้นชินกับวัฒนธรรมของรุ้ง อย่างการยื่นแขนมา แล้วพูดว่า ‘ง่า ขอความรักหน่อย’ จับแขนเราแล้วเหวี่ยงๆ ไปมาแปปนึง”
ด้านสมาร์ทเอง เขาก็มารู้จักทั้ง 2 คน ตอนสมัครเข้ามาทำพรรคโดมปฏิวัติ “ผมมาทำพรรคจริงๆ ช่วงหาเสียงเลือกตั้งสมาชิกสภา ช่วงนั้นที่มาทำงานเขาถ่าย MV เพื่อโปรโมทการหาเสียง เพนกวินก็เดินมาทัก มาแนะนำตัว ผมก็คิดว่าเพนกวินต่างจากภาพสื่อ เพราะตอนที่เขาปรากฏตัวตอนนั้น ปกติเราเห็นกวิ้นเป็นเด็กมัธยมที่ดูหัวรุนแรง เห็นอะไรไม่พอใจก็จะโวยวาย แต่พอรู้จักจริงๆ เขาเป็นคนที่มีเหตุผล และหลักการสูง ทั้งยังใจเย็นสูงมาก ยิ่งหลังๆ ได้รู้จักกันมากขึ้นก็แตกต่างจากที่คิด”
ทั้งสมาร์ทเองจริงๆ ก็เป็นรุ่นน้องของทั้งรุ้ง และเพนกวิน แต่เขาก็บอกว่าพอสนิทกันไปเรื่อยๆ ก็กลายเป็นเพื่อนกันไปเลย “จากเรียกพี่กวิ้นๆ ก็เป็นไอกวิ้น ไอเหี้ยกวิ้น ไอตี๋ อะไรพวกนี้ มีวิวัฒนาการไปเรื่อยๆ” ซึ่งณัฐชนนเองก็เสริมเหมือนกันว่า เขาก็เคยเริ่มจากการเรียนเพนกวินว่าพี่เช่นกัน
“ส่วนรุ้งเข้าพรรคมาก่อนผมแปปนึง แต่ก็อยู่ในช่วงเดียวกัน รุ้งก็ทักทายผม แต่ช่วงแรกเราไม่ได้คุยอะไรกันมาก จริงๆ รุ้งเป็นคนนุ่มนิ่มนะ ถ้ารู้จักรุ้งก่อนจะเคลื่อนไหว จะเห็นว่าต่างจากตอนนี้มาก คนละขั้วจากภาพในสื่อ ดูหน้าสื่อเหมือนจะเป็นหญิงแกร่ง แต่จริงๆ อีกทรงนึงเลย ก็รู้จักกันมาเรื่อยๆ แรกๆ ก็เหมือนกวิ้น จากที่เรียกพี่ ตอนนี้ก็เป็นเพื่อน มีวิวัฒนาการการเรียกใหม่ๆ เหมือนกัน” สมาร์ทบอกกับเรา
ณัฐชนนนี้ มีสตอรี่ที่ค่อนข้างยาวกว่าคนอื่น โดยเขาเล่าว่าพอเข้ามาในมหาวิทยาลัย สิ่งนึงที่เขาตั้งใจไว้ คืออยากเคลื่อนไหวกับเพนกวิน “ผมพื้นเพเดิมตั้งใจมาเรียนธรรมศาสตร์เลย ผมอยากมาเคลื่อนไหว อยากเปลี่ยนแปลง เราเข้ามารัฐศาสตร์ มธ. เพราะอยากเคลื่อนไหว แต่พอเข้ามาก็ไม่มีสัญญาณอะไรว่าเราจะเคลื่อนไหวได้เลย (ขำ) จนได้มีโอกาสเจอเพื่อนคนนึง เพื่อนก็บอกว่าเรารู้จักเพนกวิน ตอนนั้นผมรู้จักเพนกวินแต่ชื่อ ว่าเป็นนักเคลื่อนไหว ตอนนั้นเราเลยมีปณิธาณว่า เราจะทำอย่างไรให้ได้เจอกับคนๆ นี้ แต่มันก็ไม่เคยมีการประชาสัมพันธ์ว่ากลุ่มเขาทำงานยังไง เราจะไปร่วมด้วยได้ยังไง จนกระทั่งมีเหตุการณ์ที่กวิ้นไปยื่นหนังสือ ตอนนั้นมีกฎห้ามจู๋จี่กันในที่สาธารณะของมหาวิทยาลัย ผมก็อยู่ปี 1 เราก็คิดว่าเราจะไปร่วมกับเขาให้ได้”
“ช่วงสภานักศึกษา ตอนผมปี 1 ก็มีพรรค 4 พรรค ในนั้น 3 พรรคมาจีบผมไปทำงาน แต่ผมยังไม่มั่นใจ จนมีเพื่อนคนนึงมาชวนว่าไปทำพรรคโดมปฏิวัติไหม มีเพนกวิน มีกลุ่ม สนท. เราก็เลยบอกว่า ‘ไปครับ อันนี้ทำ’ เราก็ไปร่วมงานกับเขางานแรก จำได้ว่าเป็นงานที่เพนกวินอวยพร อ.สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ตอนนั้นผมยังไปในฐานะมวลชน ดีใจมากที่เจอเพนกวิน เราก็เดินเข้าไปทักเลย สวัสดีครับ ผมเป็นกำลังใจให้นะครับพี่ ขอจับมือด้วย และก็ไปขอเซลฟี่
“ผมก็สมัครเข้าพรรคไป ทำกิจกรรมมาเรื่อยๆ เคลื่อนไหวด้วยกันมาเรื่อยๆ จนผมขึ้นปี 2 ผมได้รับเลือกให้เป็นหัวหน้าพรรค เราก็เจอรุ้งสมัครเข้ามา เจอกันครั้งแรก รุ้งก็เป็นคนเหนียมอาย ซึ่งจริงๆ มันเป็นคนขี้อายประมาณนึง และเราก็รู้มาว่า รุ้งเคยอยู่อีกพรรคหนึ่ง แต่ก็ย้ายมา ทั้งยังเป็นคนที่เริ่มจากศูนย์จริงๆ มีความเชื่อ และหัวใจที่แน่วแน่ผ่านประสบการณ์ชีวิตว่า คนต้องเท่ากัน เพราะอยากไปกินข้าวร้านนึง ไปเที่ยวที่นึง แล้วเห็นว่าตัวเองไปได้ แต่เพื่อนไปไม่ได้ ก็รู้สึกไม่มีความสุข อยากให้คนเท่ากัน นี่คือสิ่งที่รุ้งคิดในตอนแรกเลย รุ้งไม่ได้คิดถึงกฎหมาย การเมือง หรือมากกว่านี้ คิดแค่ว่าอยากให้เพื่อนไปกินข้าว ไปเที่ยวด้วยกันได้ หรือคนที่แค่เงินจากที่บ้านส่งเพื่ออยู่หอ ยังลำบาก มีชีวิตที่ดี รุ้งเลยอยากเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลง ณ ตอนนั้น
รุ้งเป็นคนสดใส และนำความสดใสมาให้เพื่อนๆ นี่คือสิ่งที่ทั้ง 3 คนพูดเป็นเสียงเดียวกัน ณัฐเล่าอีกว่า “รุ้งอยู่ปีเดียวกับผม แต่ทุกคนทรีตรุ้งเป็นน้อง และรุ้งก็เรียกทุกคนว่าพี่หมด ซึ่งเราเรียนรุ่นเท่ากัน แต่จริงๆ รุ้งแก่กว่าผม เพราะไปแลกเปลี่ยนมา ตอนนั้นมันเรียกผม พี่ณัฐๆ แล้วรุ้งจะเป็นคนที่ชอบทำเสียงงุ้งงิ้ง มีโควทประจำตัว อย่าง ‘ขอความรักหน่อย’ ‘ง่า เราน่ารักไหม’ ตอนนั้นทุกคนในพรรคส่วนใหญ่เป็นผู้ชาย ดูป่าเถื่อน เจอรุ้งมาทำแบบนี้ ทุกคนทำตัวไม่ถูก พูดหยาบคายกับรุ้งไม่ได้ แต่ในมุมมองรุ้งก็พยายามบอกว่า จริงๆ ไม่ต้องเกร็งใจเลย รุ้งก็เป็นคนที่เข้ามาด้วยความสดใส”
“เวลาเทศกาลต่างๆ รุ้งก็ชอบตกแต่ง คริสตมาสต์รุ้งก็จะไปหาต้นคริสมาสต์มา รุ้งจะมีรถแคมรี่สีดำคันโปรด เมื่อก่อนตอนรุ้งยังอยู่ รุ้งก็จะขับรถไปไหนมาไหน ซื้อดาว ซื้อไฟ รุ้งเป็นหนึ่งในคนที่นำพาความสดใสมาให้เพื่อน รุ้งก็ยังใหม่ ช่วยอะไรได้ก็ช่วยเท่าที่ทำได้ รุ้งอยู่ฝ่ายสมาชิกสัมพันธ์ คือช่วยให้เพื่อนๆ ได้สามัคคีกัน สนิทกัน มันเป็นคนที่ทำงานเก่งมาก”
อีกเรื่องนึงที่เพื่อนๆ บอกว่าเป็นเอกลักษณ์ของรุ้ง คือรุ้งชอบแบ่งของกิน และเป็นคนที่จัดของกินให้เพื่อนๆ ได้ดีมาก โดยซันเล่าถึงเหตุการณ์นึงว่า “รุ้งเป็นสวัสดิการ แล้วปกติอาหารจะแรนดอมมาก แล้วแต่รุ้งเลย หลังๆ มันจะชอบเซอร์ไพรส์ ไม่บอกว่าซื้ออะไรมา วันนึงก็มีพี่คนนึง ที่เป็นมุสลิมที่เคร่งประมาณนึง เขาก็มาร่วมกับพวกเรา แล้ววันนั้นอาหารมันเปลี่ยน เพราะพอรู้ว่าคนในวงมีมุสลิม รุ้งซื้อไก่ทอด เลือกทุกอย่างเป็นฮาลาล ขนมขบเคี้ยวก็เปลี่ยนเป็นขนมฮาลาลหมดเลย รุ้งแบบห่วงเรื่องอาหารการกินเพื่อนตลอด ชอบสั่งอาหารมาให้กินตลอด”
ณัฐบอกอีกว่า “เวลาเพื่อนๆ สัมภาษณ์ถึงรุ้ง ก็มักจะตอบว่ารุ้งใจดี ชอบแบ่งของกินให้ กวิ้นกับเบนจาก็เป็นหนึ่งในคนที่พูดถึงรุ้งแบบนั้น ว่ารุ้งช่วยเพื่อนเสมอ ไม่ว่าเพื่อนมีปัญหาอะไร บางทีไม่ต้องขอ รุ้งก็มาช่วยแล้ว กวิ้นก็เหมือนกันนะ เป็นคนที่มีน้ำมาก”
“แต่รุ้งเป็นคนเร็วมาก เข้าถึงเร็วมาก” ซันเสริม
“รุ้งเป็นคนคิดไวทำไว ส่วนกวิ้นเป็นคนคิดมาแล้ว กวิ้นเป็นคนที่ทำงานหนักนะ บางทีเลยไม่ได้มาสนใจอะไรพวกนี้ แต่มันก็สนใจนะ บางทีอยู่ๆ กวิ้นก็ซื้อของมาฝาก หรืออะ ขาดอันนี้ใช่ไหม ให้ เป็นคนมีน้ำใจ และทำให้ทุกคนรักกันมาก” ณัฐบอก
ความรักสัตว์ของรุ้ง การไม่ถูกกับแมวของเพนกวิน และความฝันของเพื่อนทั้งสอง
เล่าถึงเรื่องความเป็นรุ้ง และเพนกวินไป น้องๆ ก็บอกกับเราว่าพี่ มีเรื่องที่ต้องเล่า อยากเล่าเรื่องนี้ ซึ่งถือเป็นเรื่องตลกในกลุ่มเพื่อน ที่เกิดขึ้นจากความรักสัตว์ของรุ้ง แต่มีคนที่ซวยคือเพนกวิน ที่ทั้ง 3 ต่างเล่าย้อนไป ขำไปให้เราฟัง
ณัฐชนนเริ่มเรื่องว่า “มีเรื่องนึงอยากเล่ามากๆ ตอนนั้นที่อยู่ที่บ้านวิหารหลังแรกของพรรค (บ้านเช่าที่ใช้อาศัย และประชุมพรรคแถวมหา’ลัย ที่น้องๆ เรียกกันว่าบ้านวิหาร) รุ้งจะเป็นคนที่เข้ามาในบ้านประจำ มีแมวที่ไหนไม่รู้มา รุ้งก็จะซื้ออาหารมาให้ เอาแมวมาเลี้ยงในบ้าน แมวตัวนั้นชื่อ ‘เลนิน’ เป็นแมวไทยสีส้มลายขาว รุ้งรักมากขนาดที่ไม่ใช่แมวที่บ้าน แต่มาที่นี่รุ้งก็จะเอาอาหารมาให้ตลอด ซื้ออาหาร ซื้อกะบะแมว ทั้งๆ ที่รุ้งก็ไม่ได้อยู่บ้านนี้”
สมาร์ทเล่าต่อว่า “บ้านหลังนี้ ก็จะมีห้องนึงเป็นห้องไอกวิ้น วันนึงหลังจากเลี้ยงได้ซักพัก แมวมันไปขี้ในห้อง ไปขี้ใส่กระเป๋าเพนกวิน เป็นกระเป๋าใหม่ที่แม่กวิ้นเพิ่งซื้อให้ ไอกวิ้นโกรธมาก แต่ผ่านไป 2-3 วัน เพนกวินมันไม่ยอมซัก กลิ่นก็เหม็น พอถามสาเหตุ มันบอกเพราะว่า มันซักกระเป๋าไม่เป็น (ทุกคนขำ) พวกเราก็บอกให้กวิ้นขี่มอไซต์ไปซื้อผงซักฟอกมาซัก มันก็ไม่ไป มาบอกว่าขี่มอไซต์ก็ไม่เป็น (ทุกคนขำอีกรอบ) สุดท้ายก็เป็นณัฐก็ต้องเป็นคนพาไปซื้อ กลับมามันซักกระเป๋าไป หน้าก็เหมือนจะร้องไห้ไปด้วย”
“ตอนนั้นไอเหี้ยกวิ้นเกลียดแมวมาก โคตรเกลียด แล้วไอรุ้งก็จะบอกว่า อย่าทำน้องๆ เวลากวิ้นมาถึง มันก็มักจะบอกว่า เลนินไปไกลๆ อย่ามายุ่ง” ณัฐบอก ซึ่งทำให้เราถามเสริมไปอีกว่า “แล้วตอนนี้หล่ะ เพนกวินยังไม่ชอบแมวอยู่ไหม ?” ซึ่งเพื่อนๆ ต่างก็ขำออกมากันอีกรอบ พร้อมบอกว่า มันมีเรื่องต่อมาอีก
“เลนินมันเป็นแมวจร มันก็ไปไหนของมัน และออกจากบ้านไป พอเราย้ายไปเปิดอีกบ้าน เป็นบ้านโดม 1 มีวันนึงพวกผมไปศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ก็เจอแมวตัวนึง เป็นแมวเด็กตัวเท่าฝ่ามือ ตัวสีเทา รุ้งก็เดินไปถามแมวเสียงเล็กๆ ‘กลับบ้านด้วยกันไหม หน้าตาเหมือนอยากไปด้วยกัน’ แล้วก็ไปถามพี่ทนาย เขาก็บอกแมวจร เอาไปได้เลย แมวก็กระโดดขึ้นรถ รุ้งก็ชอบ ลักกลับเลย เอามาที่บ้านโดม 1 ซึ่งเป็นบ้านที่ตัวเองไม่ได้อยู่อีกแล้ว”
“เราก็เรียกแมวตัวนี้ว่า ‘เทา’ วีรกรรมของแมวตัวนี้ที่ทำให้เหี้ยกวิ้นโกรธคือ ตอนนั้นเราก็ให้เทาไปอยู่ห้องเพนกวินก่อน เพราะห้องอื่นมีคนเยอะ และตอนนั้นกวิ้นไม่อยู่ที่ห้อง พวกเราก็ไปเล่นแมวในห้องกวิ้นกันนะ แต่เรื่องก็คือ มันเป็นแมวจร กินนู่นนี่มาสารพัด แล้วมันพยาธิออกจากตูด ออกมาอยู่ตรงหมอนไอกวิ้น ออกมาแบบทีละตัวบนหมอนที่กวิ้นนอนทุกคืน แล้วคืนนี้กวิ้นดันต้องกลับมานอน พวกเราแบบ ‘ชิบหายแล้ว ไอเทาเป็นพยาธิ’ สุดท้าย เราก็ต้องพาเทาไปหาหมอ กลับมาอาการก็ดีขึ้น แต่ก็ยังมีพยาธิอยู่ เพนกวินกลับมา โมโหแมวอีก บอกว่า ‘ตัวที่แล้วก็ขี้ ตัวนี้ปล่อยพยาธิ แมวไอรุ้งอีกแล้ว แมวมันที่มาอยู่ในห้องที่มันไม่ได้อยู่’ (ขำกันอีกครั้ง)”
“ตอนนี้รุ้งก็ซื้อแมวมาใหม่อีกตัวแล้ว ตัวสีเหลืองๆ แมวสก็อตติชช็อตแฮร์ ชื่อมัฟฟิน จำได้ว่าวันนั้นผมไปรอหน้าบ้านมัน มันเดินมาพร้อมกรงแมว แม่รุ้งก็ถามว่า แมวใคร รุ้งไม่ตอบ บอกแมวเพื่อน (ขำ) แม่ก็ถามว่าซื้อมาใช่ไหม ซื้อเท่าไหร่ รุ้งก็บอกของเพื่อนๆ ซึ่งรุ้งเป็นคนที่ดูแลแมวดีมาก แบบ VIP แมวอยู่สบาย รุ้งรักสัตว์มาก เจออะไรก็เลี้ยง”
สมาร์ทเสริมว่า รุ้งเคยเลี้ยงเม่นแคระ 2 ตัว ชื่อ ‘อุ่น’ กับ ‘ข้าว’ เวลาเรียกจะได้เรียกพร้อมกันว่า ‘อุ่นกับข้าว’ ทั้งณัฐยังบอกอีกว่า นอกจากเม่นยังมีหนูตะเภา หนูแก๊สบี้ด้วย ซึ่งพอตัวนึงตาย รุ้งก็ร้องห่มร้องไห้
การเลี้ยงสัตว์เป็นสิ่งที่รุ้งชอบมาก ซึ่งสมาร์ทยังบอกว่า มันเป็นถึงความฝันนึงของรุ้งเลยด้วย “ครั้งแรกที่มันออกจากคุก หนูมันก็ตาย แม่รุ้งบอกข่าวตอนอยู่โรงพยาบาลพระราม 9 ร้องไห้ที่โรงพยาบาลเลย จริงๆ รุ้งมีความฝัน อยากเปิดบ้านเป็นสวนสัตว์ เคยคุยกับรุ้งว่าเรามีความฝันเดียวกัน รุ้งบอกน่าสนใจมาก ขอแจมด้วย เพราะผมก็ชอบเลี้ยงสัตว์เหมือนกัน และอีกความฝันนึงของรุ้ง ที่เพื่อนๆ อาจจะยังไม่รู้คือ รุ้งอยากเลี้ยงคาปิบาร่า เพราะชอบมาก ภาพหน้าปก หน้าจอต่างๆ เคยเป็นรูปคาปิบาร่า แล้วรุ้งเคยพูดเล่นๆ ว่า ‘ไม่น่าไปเที่ยวเลยหวะ ถ้าเก็บเงินไม่ไปเที่ยวป่านนี้น่าจะเอาเงินมาเลี้ยงคาปิบาร่าได้ไปแล้ว’”
นอกจากเรื่องการเปิดบ้านเป็นสวนสัตว์แล้ว ณัฐยังบอกว่า รุ้งยังมีความฝันอีกอย่าง “รุ้งอยากเป็นนักแข่งรถ หลายคนไม่รู้ว่ารุ้งเป็นคนขับรถได้ตีนผีมาก แต่ขับปลอดภัยนะ ผมเองขี่มอเตอร์ไซค์ ตอนนั้นเราไป สภ.คลองหลวงกัน เราประท้วงกันเสร็จแล้ว ขากลับผมถามรุ้งว่า ‘วัดป่าว’ มันก็บอก ‘ได้ มาดิ’ เราก็เปิดก่อน เราขี่มอไซต์ซอกแซกได้ รุ้งยังออกจาก สภ.ไม่ได้ เราก็ไปแล้วครึ่งทาง แต่รุ้งก็ค่อยๆ ตามมา จนถึงสะพานเชียงราก ลงสะพานรุ้งเหยียบไม่เห็นฝุ่น ถึงหอก่อน รุ้งสุดยอดมากเรื่องขับเร็ว แต่มันขับปลอดภัยนะ ไม่เคยชน ไม่เคยเฉี่ยว หรือสะกิดอะไร ขับรถเก่งมาก เลยมีความฝันนี้ มันชอบบ่นอยากเอารถพ่อมาขับ เครื่องยุโรปน่าจะมันส์”
พูดถึงความฝันรุ้งแล้ว มาถึงความฝันของเพนกวินบ้าง ซึ่งเพื่อนๆ ต่างก็ขำตั้งแต่เราเริ่มถาม และสมาร์ทก็บอกกับเราว่า “เยอะเลย ไอกวิ้นเปลี่ยนความฝันทุกปี อยากเป็นอาจารย์ อยากเป็นผู้พิพากษา อยากเป็นนักประวัติศาสตร์ เคยอยากเป็นเจ้าเมืองล้านนาด้วย”
ณัฐเล่าอีกว่า “จริงๆ กวิ้นอยากเป็นหลายอย่างมาก แต่สิ่งที่เป็นรูทของกวิ้น มันบอกว่า อยากทำอะไรที่ทำแล้วเปลี่ยน ประวัติศาสตร์ต้องจารึกชื่อมัน เป็นเป้าของมันว่าเด็กเรียนหนังสือประวัติศาสตร์ ‘ในนั้นต้องมีชื่อกู’ มันชอบประวัติศาสตร์มากๆ เขียนรายงานอะไรเต็มตลอด”
“ตอนมัธยม ที่มันแข่งเพชรยอดมงกุฎรอบชิง มันก็เขียนประวัติศาสตร์ล้านนาใส่ในคำตอบ เขียนถึงกษัตริย์คนนึง ซึ่งเป็นการเขียนที่ไม่ได้ตามกรอบการสอนของกระทรวงฯ เลย มันชนะเลย” สมาร์ทเสริม
“กวิ้นเป็นคนที่มีความฝันในจุดนึง และพัฒนาตัวเองมาได้ไกลมาก ผมอยู่กับมันมา 3 ปี เคลื่อนไหวด้วยกัน ก็เห็นพัฒนาการ จากวันที่ไม่รู้ ก็รู้ จากวันที่ว้าวุ่นใจ อารมณ์ร้อนกลายเป็นสุขุม จากวันที่หยิ่งทะนง เป็นถ่อมตัว เป็นคนที่สมควรแล้วที่จะได้ชื่อว่าคนที่เกิดมาเป็นนักปฏิวัติ
“ผมมีโอกาสได้รับข้อความจากเพนกวินตอนอยู่ในเรือนจำ มันก็พูดถึงเพื่อนๆ ทุกคนว่า กูเกิดเป็นนักปฏิวัติ ยอมตายกับการปฏิวัติ อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด นี่คือสิ่งที่เพื่อนพูด คือความฝันของเพื่อน ฝันสูงสุดคือให้คนไทยเท่ากัน” ณัฐบอก
เบื้องหลังการปราศรัยของเพื่อน และการแบ่งเวลาเรียน กับการเคลื่อนไหว
เราคุยกับน้องๆ ถึงเรื่องการทำงานของรุ้ง และเพนกวิน ซึ่งกลายเป็นแกนนำที่อยู่แนวหน้า คอยปราศรัย คอยทำงานต่างๆ ว่ารุ้ง และกวิ้นมีการเตรียมการอย่างไร ซึ่งน้องๆ ก็บอกว่า ทุกคนต่างก็ช่วยกัน “รุ้งให้เพื่อนๆ ช่วยเป็นส่วนใหญ่ รุ้งไม่เคยทำคนเดียวทั้งหมด” ซันบอก “ส่วนใหญ่รุ้งจะรู้ว่าตัวเองจะพูดอะไร อยากได้อารมณ์ประมาณไหน ก็จะไปบรีฟเพื่อนให้ช่วยทำ พอได้ดราฟต์มา รุ้งก็จะดู ปรึกษาเพื่อน แล้วก็แก้ แก้จนวินาทีสุดท้ายก่อนขึ้นเวทีก็มี” ณัฐขยายความ
“ส่วนกวิ้นจะคิดมาแล้ว ว่างปุ๊ปก็จะเขียน วันนี้มีงานปราศรัยโทนไหนดี มวลชนแบบนี้ จะตีแบบไหน แล้วใส่อารมณ์ ความรู้สึก จิตวิญญาณ ความคิด รุ้งก็ทำเหมือนกันนะ” ซึ่งสมาร์ทก็บอกว่า ถ้าปราศรัยที่ต่างจังหวัดที จะเห็นภาพเพนกวินนั่งเขียนบทพูดตั้งแต่ที่สนามบินเลยด้วย
เราถามน้องๆ ต่อ ถึงการชุมนุมที่เป็นเหมือนจุดเริ่มต้นของแนวร่วมธรรมศาสตร์ฯ คือวันที่ 10 สิงหา ที่รังสิต ซึ่งมีการอ่านข้อเรียกร้องถึงสถาบันกษัตริย์ 10 ข้อ และกลายเป็นการขยับเพดานสังคม ซึ่งสมาร์ทบอกว่า ได้มีการพูดคุยกันว่า “10 สิงหา มันเป็นวันเปิดเทอม ซึ่งที่มหา’ลัยอื่นมีม็อบกันแล้ว แต่ทำไมธรรมศาสตร์ยังไม่มี ก็ได้คำตอบว่าเพราะยังไม่เปิดเทอม เราก็มีเวลาเตรียมตัวกันประมาณ 1 เดือน เราก็คิดกันว่าจะพูดอะไรกันดี ที่ที่อื่นยังไม่พูด”
ณัฐเล่าต่อว่า “เราคุยกันว่า ทนายอานนท์เริ่มพูดเรื่องสถาบันฯ ที่ม็อบแฮร์รี่พ็อตเตอร์ งั้นที่นี่ก็ต้องมีประเด็นนี้ ก็วางตัวผู้ปราศรัย แต่ก็ยังไม่รู้ว่าจะเป็นเรื่องอะไร จะไปไกลขนาดไหนดี เราก็คุยกันว่าจะมีแถลงกัน ก็เขียนกันหลายคน ซึ่งแถลงการณ์นี้ คนอ่านไม่ได้เขียน คนเขียนไม่ได้อ่าน ซึ่งรุ้งมาเห็นแถลงเกือบหน้าเวที เพราะวันนั้นรุ้งก็ทำออแกไนซ์ ซึ่งแถลงนี้เสร็จตอนเที่ยงของวันที่ 10 สิงหา”
น้องเล่าว่าที่รุ้งได้มาเป็นคนอ่านแถลงการณ์ เพราะในตอนนั้นรุ้งถูกเลือกให้เป็นหัวหน้าพรรคโดมปฏิวัติแล้ว “ตอนแรกรุ้งเข้ามาผมเป็นหัวหน้าพรรค พอเลือกตั้งใหม่ รุ้งเป็นหัวหน้า เลยต้องออกมาเคลื่อนไหว รับภาระหนักหน่อย โดยมีทุกคนสนับสนุน เราคุยกันว่า ถ้าสมมติมีประกาศ หรือแถลงอะไร รุ้งก็สมควรที่จะออกไปอ่าน เพราะเป็นหัวหน้าของพวกเรา ตอนนั้นยังไม่เป็นแนวร่วมธรรมศาสตร์ เลย เป็นแค่ ‘ธรรมศาสตร์และการชุมนุม’ เราเพิ่งมาใส่แนวร่วมที่หลัง เพราะคิดว่าต้องเป็นกลุ่ม”
สำหรับรีแอค และกระแสสังคมหลังจากวันนั้น น้องๆ เองก็เล่าว่าทุกคนต่างก็หวั่นๆ และกลัวกัน “ตอนแรก พอคนไม่หนี ยังนั่งฟังต่อ พวกเราก็ดีใจ กระโดดกอดกัน วันนั้นมี 4 คนที่พูดเรื่องสถาบัน คือทนายอานนท์ พี่ไมค์ ผม และรุ้ง ผมลงเวทีมาก็ขาสั่นนะ แต่พอรุ้งลงมาพวกเราก็กอดกัน” ณัฐย้อนถึงเหตุการณ์วันนั้น
“วันนั้นตำรวจก็ตกใจนะ พอพูด 10 ข้อนี้ เขาเริ่มขยับ แต่น่าจะทำตัวไม่ถูก และหลังจากนั้นเขาถึงกับมาเฝ้าหน้าธรรมศาสตร์ 3-4 วันเลย” สมาร์ทเสริม
“มันใหม่สำหรับพวกเรา แต่ใดๆ ก็ตามนี่คือการต่อสู้ที่เราต้องเจอในซักวัน และเป็นโครงสร้างสูงสุด เราต้องพูด และเอฟเฟ็กต์มันก็เป็นเรื่องที่ให้สังคมได้ถกเถียง และตกผลึกว่าต้องพูดไหม การเคลื่อนไหวต้องมีประเด็นนี้ไหม และมันก็เป็นปัญหานึงในสังคม ซึ่งผมว่าเรื่องนี้สำคัญ วันที่ 10 สิงหา หลายคนได้ทำหน้าที่ของตัวเองกันได้ดี ที่ทำให้สังคมได้พูดเรื่องนี้อย่างทั่วถึง และเป็นสาธารณะ” ณัฐสรุปถึงการทำงานของพวกเขาในวันนั้น
จากที่น้องๆ เล่า ทุกคนต่างทำงานกันหนักมาก ทั้ง สนท. พรรคโดมปฏิวัติ แนวร่วมธรรมศาสตร์ฯ ไปถึงเรื่องเรียนของแต่ละคน เราถามทั้ง 3 คน ถึงรุ้ง และเพนกวินว่า มีการแบ่งเวลา จัดระเบียบชีวิตกันอย่างไร ซึ่งซันก็เริ่มว่า “ภาพที่ติดตาประจำคือต้องไปไหนซักที่ แล้วรุ้งรีบอาบน้ำ แล้วหัวก็จะเปียกอยู่บนรถ เพราะชอบสระผมตอนเช้า แถมยังเคยไปรังสิต-สาทรกับรุ้ง ภายใน 20 นาทีอีก เพราะขับรถเร็วมาก”
ณัฐพูดถึงการเรียนของทั้งสองคนว่า “คนที่โชคดีคือไอกวิ้น มันมีความรู้มาก อ่านหนังสือก่อนนอนไปสอบก็ยังได้คะแนนดี เป็นคนรู้ คนฉลาด รู้ว่าตอบยังไงให้ได้คะแนนเยอะ แต่สำหรับรุ้ง มีพื้นเพก่อนหน้านี้ไม่ชอบอ่านหนังสือ ไม่ใช่ทางนี้ พอถึงจุดนึงเพื่อนๆ ก็ช่วยกัน จริงๆ เราก็มีวัฒนธรรมภายในองค์กร เราเข้าใจกันว่าต่างคนต่างเคลื่อนไหว ดังนั้นถ้าใครได้เรื่องไหน ไม่ได้เรื่องไหน จะบอกกัน จะได้สอนกันได้ บางทีผมก็ช่วยสอนรุ้ง สมาร์ทก็ช่วย เราก็บอกรุ้งไม่ได้ไม่เป็นไร ยิ่งเราเรียนออนไลน์ ยิ่งช่วยกันได้ง่าย แล้วรุ้งเป็นคนงานเยอะ บางทีต้องไปหลายที่ ไม่ค่อยได้เข้าห้องเรียน รุ้งก็เสียสละตัวเอง จริงๆ รุ้งเป็นคนฉลาด เรียนรู้ไว้ แต่อาจจะขี้เกียจบ้าง”
“ต้องพูดตรงๆ ว่าเพื่อนทำงานหนักทั้งคู่ เราอยู่ด้วยกันมาเราเห็น ขายเสื้อก็ขาย เคลื่อนไหวก็ทำ งานวิจัยก็ทำ โบว์ก็ทำ เช้ามาก็ต้องออกไป มันก็เป็นช่วงเวลาที่หนักหน่วงของเราช่วงนึงเช่นกัน เราเห็นการต่อสู้ที่หนักหน่วงของเพื่อน เราก็ดีใจที่เป็นคนนึงที่ได้เห็น”
การอดอาหาร และสิ่งที่ประทับใจในตัวเพื่อน
มาถึงวันนี้ (4 พฤษภา 2564) เพนกวินอดอาหารเป็นเวลา 50 วันแล้ว ขณะที่รุ้งเองก็อดอาหารมา 36 วันแล้ว จากที่เพื่อนๆ เล่า ทั้งสองเป็นคนชอบกิน ชอบแบ่งอาหาร แต่พอมาถึงจุดนี้ เราถามน้องๆ ถึงการได้เห็นเพื่อนอดอาหารกันนานขนาดนี้ ซึ่งทั้ง 3 ต่างก็เงียบกันไปเกือบ 1 นาที ก่อนที่ซันจะเริ่มต้นพูดว่า “เป็นห่วงเรื่องสุขภาพของมัน”
“เราคิดว่าข้างในก็คงไม่มีอะไรอร่อยหรอกมั้ง เราอยากให้เพื่อนมากินข้างนอกให้อร่อย” สมาร์ทกล่าว ก่อนที่ณัฐจะเล่าถึงเพื่อนทั้ง 2 ว่า “รุ้งชอบกินของดีๆ ของอร่อย รุ้งกินทุกอย่าง อยากกินมากขนาดไหน ถ้าเพื่อนไม่มีตังค์ รุ้งก็จะเลี้ยง ขอให้ได้กินข้าวกับทุกคน กวิ้นก็เหมือนกัน กวิ้นรู้ว่าเพื่อนทำงานเหนื่อย ก็จะพาไปเลี้ยง ถ้าช่วงนั้นเพื่อนไม่มีตังค์ มันก็บอกไม่เป็นไร ได้กินด้วยกันก็พอ กวิ้นเข้าใจว่าในฐานะทีมงาน เข้าใจกลไกทุกอย่าง ว่าคนอื่นๆ แสงไม่ลง แต่ทำงานด้วยกัน เป็นเพื่อนกัน อยู่ด้วยกันต้องดูแลกัน คนไหนเดือดร้อนยังไงก็ช่วยกัน ซึ่งเพนกวินกับรุ้งเป็นหนึ่งในคนที่จะมาช่วย”
“เพนกวินนี่ตัวดีมากเรื่องกิน พี่รู้ไหมว่ากวิ้นรู้จักอาหารอินเดีย ไวน์ทุกประเภท อาหารทุกแบบ กวิ้นรู้วิธีการกินทั้งหมด พาเพื่อนไปกิน เพื่อนสั่งไม่เป็น กวิ้นสั่งให้ มาซาล่าเป็นยังไง แป้งนานแบบไหน แบบชีส แบบเปล่า แบบเนย กินสเต็กก็บอกเพื่อน กินชีส กินอาหารแบบไหนก็บอกเพื่อน อาหารเหนือ อีสาน ใต้ พากินหมด ยิ่งถ้าไปทำงานที่ไหน ต้องพาไปกินอาหารพื้นเมืองที่นั่น”
“นึกถึงตอนมันมากินแจ๋วฮ้อนที่ห้องกู หรือตอนที่กวิ้นพาไปกินลาบควาย ถ้าไปเชียงใหม่ ไปเหนือ ยิ่งต้องพาไปกินให้ได้” สมาร์ทเสริม
“ถ้าไปเหนือกวิ้นยอมไม่ได้เลย เพราะคือบ้านมัน มันรู้อาหารดีกว่าใคร ขายหนักมากๆ ต้องกินลาบเหนือ ดีกว่าลาบอีสาน ไอกวิ้นบัฟลาบอีสานอีก เป็นคนที่ภูมิใจกับอาหารเหนือมากคนนึง
คิดดูว่ามันเป็นคนกินขนาดนี้ แต่ ณ วันนี้มันเป็นคนที่ไม่มีอาหารตกถึงท้องแม้แต่นิดเดียว ในฐานะคนที่เป็นเพื่อน และเห็นมันมาตลอด เป็นห่วงเพื่อนนะ แต่เราก็เคารพในอุดมการณ์ของเพื่อน และมันเป็นหน้าที่ของเราต่างหากที่ต้องเอาเพื่อนออกมาให้เร็วที่สุด
สุดท้าย เราถามน้องๆ ต่อความประทับใจในฐานะเพื่อน ที่มีกับเพนกวิน และรุ้ง ซึ่งทั้ง 3 ต่างก็บอก เหมือนที่บอกเรามาตลอดการสนทนาว่า รุ้ง และกวิ้นเป็นคนที่ช่วยเหลือเพื่อนทุกคนตลอดเวลา
ซันเล่าว่า เขาประทับใจที่เพื่อนทั้งสอง เป็นที่ปรึกษาที่ดี “เรื่องการช่วยเหลือคนอื่นของสองคนเลย แต่ไม่ใช่แค่สองคนนี้ มันมีหลายๆ คนในแนวร่วมฯ ที่เป็นคนที่เข้าหาได้ แต่สิ่งที่ประทับใจในสองคนนี้ คือเวลามีปัญหา เราคุยกับมันได้ตลอดเลย และมันจะช่วยหาวิธีแก้ปัญหา สองคนนี้จะคิดถึงคนอื่นเป็นประจำ จะมองว่าคนนี้ต้องการอะไร อยากได้อะไร และก็ปรึกษาได้ตลอด”
ณัฐเองก็บอกว่า ไม่ใช่แค่รุ้ง และกวิ้น แต่เขาประทับใจในเพื่อนๆ ทุกคน “เราประทับใจเพื่อนทุกคน ในสมอง และมือเปล่าของเพื่อน เพื่อนทุกคนเป็นคนฉลาด รวมถึงรุ้ง กับกวิ้น ฉลาดมาก รุ้งอาจจะไม่เก่งเรื่องนึง แต่ก็พูดได้ว่ารุ้งมีเรื่องที่เก่งไม่เป็นสองรองใครเหมือนกัน รุ้งเป็นคนจัดการทรัพยากรได้เก่งมาก มีหัวใจกล้าแกร่ง ลงมือทำก็เก่งมาก กวิ้นอาจจะเป็นคนซักกระเป๋าไม่เป็น เพิ่งมาลองใช้ชีวิตเองตอนมหาลัย แต่มันก็มีเรื่องที่กวิ้นไม่แพ้คนอื่น คือความรู้ ประวัติศาสตร์ ยุทธศาสตร์ แผนการ ทุกคนมีมือเปล่าเหมือนกัน สู้กันอย่างสันติ ไม่เคยลดละความพยายาม ไม่มีใครมีอาวุธ หรือกฎหมายในมือ แต่ทุกคนยังสู้เพราะมีหัวใจที่แข็งแกร่ง ไม่ว่าสถานการณ์ย่ำแย่แค่ไหน เราไม่ทิ้งกัน แถมรักกัน ผมเคารพในทุกคนมากๆ”
“เราอยู่กับพวกมัน เราเคยชินกับการมีพวกมัน จนบางทีเราละเลยความดีของพวกมันไป นึกย้อนๆ ไปแล้วคนพวกนี้ไม่เคยทิ้งให้เพื่อนอยู่กับปัญหา บางทีไม่รู้ตัวเองช่วยได้ไหม ก็กระโจนเข้ามาก่อนถามด้วยซ้ำ” สมาร์ทบอกความประทับใจของเขา
ณัฐเล่าอีกว่า เขาเคยมีเหตุการณ์ทะเลาะกับรุ้ง และมีเพนกวินที่มาช่วยเป็นตัวกลาง “บางทีเรามองโลกไม่เหมือนกัน เราโตกันมาคนละแบบ ต่างคนต่างคาดหวังไม่เหมือนกัน ตอนนั้นไอกวิ้นก็โดดเข้ามา ไม่อยากให้เพื่อนทะเลาะกัน มาช่วยเคลียร์ สุดท้ายกวิ้นเข้าใจปัญหา และบอกให้เคลียร์กันให้ได้ บากหน้าเข้ามาบอกว่า ‘ถ้ายังตีกันอีก ถือว่ากูหมา’ จับทุกคนมาคุยกันจนจบ มันก็แสดงให้เห็นว่าทุกคนมีหัวใจ จริงๆ ทั้งสองคนนี้คือแค่คนธรรมดาที่ต้องการเปลี่ยนแปลง คนปกติทั่วไปที่เป็นมนุษย์เหมือนเราทุกคน”
“อืม คิดถึงพวกมันอะ” ซันทิ้งท้าย
ติดตามซีรีส์ ‘Never Forgotten ไม่ลืมเพื่อนเรา’ ได้ที่ The MATTER ซีรีส์ที่จะให้เพื่อนๆ ครอบครัว และคนรอบตัว มาเล่า และพูดถึงผู้ต้องขังทางการเมือง ที่ยังอยู่ในเรือนจำในมุมต่างๆ เพื่อที่คนข้างนอกจะได้ไม่ลืมว่า ยังมีคนถูกคุมขังโดยที่ยังไม่ได้รับสิทธิประกันตัว