‘บ้านใหญ่’ เป็นศัพท์ที่เพิ่งมาฮิตก่อนการเลือกตั้ง ส.ส.ในปี 2566 จากอิทธิพลของสื่อมวลชน แต่ก่อนหน้านี้ เหล่านักการเมืองที่ครองอำนาจทางการเมืองยาวนานในพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่ง เคยถูกเรียกในหลายชื่อ ทั้งเจ้าพ่อ-เจ้าแม่ ผู้มีอิทธิพล ฯลฯ
รายการนอกBangkok ตอนสุดท้ายของซีซั่นแรก เชิญสติธร ธนานิธิโชติ ผู้อำนวยการสำนักนวัตกรรมเพื่อประชาธิปไตย สถาบันพระปกเกล้า มาเล่าถึงพัฒนาการของบ้านใหญ่ ที่หลายตระกูลไม่ได้คงอยู่ตลอดไป มีเกิด แก่ เจ็บ แล้วก็ตาย
แต่สิ่งที่เรียกว่า ‘บ้านใหญ่’ กลับไม่น่าจะหายไปง่ายๆ เพราะตัวมันเองก็ปรับตัวไปตามยุคสมัย
ความต่างในการ ‘เลือก’ ของคนนอก-ใน กทม.
เคยได้ยินทฤษฎีนี้ไหม ‘2 นคราประชาธิปไตย’ เป็นทฤษฎีที่เขาอธิบายวิธีการเลือกผู้นำตั้งรัฐบาลของคนไทยแบบง่ายๆ โดยแบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ 1.ประชาธิปไตยของคนใน กทม. กับ 2.ประชาธิปไตยของคนต่างจังหวัด เขาเชื่อว่าคนต่างจังหวัดที่มีประชากรเยอะ ส.ส.เยอะกว่า ย่อมชนะการเลือกตั้ง แปลว่าคนที่อยู่นอก กทม.เป็นคนตั้งรัฐบาล
ในทฤษฎีนี้เชื่อว่าคนที่อยู่นอก กทม.เขาเลือกตั้งกับ ‘ผลประโยชน์เฉพาะหน้า’ จับต้องได้ ใกล้มือ รู้จักคุ้นเคยกัน ฉะนั้นนักการเมืองที่ได้ออกมาเลยมีลักษณะ ‘ใจถึงพึ่งได้’ เพราะคนที่อยู่นอก กทม.ยังมีปัญหาความเดือดร้อนต่างๆ นานาอีก จำเป็นต้องได้รับการพึ่งพาจากคนที่มีทรัพยากรทั้งในทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมที่มากกว่า ที่จะคอยอุปถัมภ์ค้ำชู เป็นที่มาของ ‘ระบบอุปถัมภ์’ ที่เราพูดถึง
ขณะที่คนใน กทม.จะพึ่งพาตัวเองได้ ประชาธิปไตยสำหรับพวกเขาเลยต้องอุดมคติหน่อย คืออำนาจเป็นของประชาชน ประชาชนเป็นเจ้าของประเทศ จึงต้องเลือกคนที่มีวิสัยทัศน์กับประเทศชาติ ต้องเลือกคนที่มีนโยบาย ถ้าเป็นผู้นำประเทศก็จะต้องดูดีมีชาติตระกูล มีคุณธรรม คุณงามความดี
มันก็เหมือนอยู่กันคนละโลก เพราะคนที่พึ่งพาอาศัยได้ ไม่จำเป็นต้องมีคุณธรรมความดี อาจจะแค่รักพวกพ้อง แต่คนที่มีคุณธรรมความดี อาจจะยึดถือตามกฎหมาย ตามหลักการ ยึดถืออะไรที่เป็นอุดมคติ
ปรากฏการณ์ที่เขาเอามาสนับสนุนทฤษฎีนี้คือ ทุกการเลือกตั้ง คนนอก กทม.จะเลือกเสียงข้างมากในสภา เขาก็จะเป็นคนตั้งรัฐบาล ได้นายกฯ ที่เขาชอบ แต่พอบริหารประเทศไป เนื่องจากคน กทม.อยู่ในศูนย์กลางของอำนาจ มีฐานะทางเศรษฐกิจสังคมสูง มีปากมีเสียง เวลาที่รัฐบาลจะอยู่ได้หรืออยู่ไม่ได้ จะถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจหรือจะผ่านกฎหมายสำคัญ แล้วเกิดไม่ผ่าน ถ้าถูกบ่นโดยคน กทม. ก็จะหน้าบาง อาจจะยุบสภาหรือปรับ ครม.เพื่อลดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ กลายเป็นว่าอนาคตจะถูกฝากไว้กับคน กทม. ประชาธิปไตยประเทศไทยเหมือนมีเมืองอยู่ 2 เมือง เมือง กทม.กับเมืองนอก กทม. แล้วก็จะส่งผลต่อการมีรัฐบาลและการบริหารประเทศที่แตกต่างกัน
แต่ทฤษฎีนี้ ต้องบอกว่ามันย้อนไปประมาณ 30 ปีขึ้นไป ยุคที่อธิบายแบบนี้ได้ชัดๆ ก็อาจจะเป็นช่วงปี 2520 กว่าๆ จนถึงก่อนปี 2540
พัฒนาการ ‘ผู้แทนไทย’
ทุกวันนี้คนยังอยากได้ ส.ส.ประเภทใจถึงพึ่งได้อยู่ไหม? มันก็ไม่ขนาดนั้นแล้ว ส่วนหนึ่งเพราะความเจริญที่มีมากขึ้น มีการกระจายอำนาจลงไปท้องถิ่น มีการเลือกตั้งระดับอื่นๆ นอกจาก ส.ส.เยอะแยะ ระดับตำบลก็มีนายก อบต. ซึ่งเป็นหน่วยงานใกล้บ้านดูแลเรา ไม่ต้องเข้าไปยังเมือง ไปหา ส.ส.ที่บ้านเพื่อขอความช่วยเหลือ ความพึ่งพาที่มีต่อ ส.ส.ระดับประเทศก็ลดลง
หลายคนอาจสงสัยว่า แล้วทำไมในอดีต นักการเมืองประเภทนี้จึงเป็นที่นิยม
เวลาไปต่างจังหวัด จะสังเกตได้จากคำที่เขาใช้คือ ‘เลือกผู้แทน’ ตัวแทนแบบไหนที่จะแก้ปัญหาเขาได้ เราจะเห็นกรณีที่อดีต ส.ส.หลายสมัยสอบตก เพราะเวลามีปัญหาอะไรก็ไม่ค่อยเห็นหน้า อีกเหตุผลที่คนมักเลือกนักการเมืองแบบใจถึงพึ่งได้ เป็นเรื่องของความผูกพันระยะยาว ไม่ได้หมายความว่าอยู่ๆ มาเสนอตัวแล้วคนจะเลือก แต่ต้องอยู่ในพื้นที่มานานจนมีความผูกพันเหมือนญาติมิตร หรือรู้สึกเป็นพวกพ้อง
เหตุผลที่ความใจถึงพึ่งได้ไปผูกกับความเป็นเจ้าพ่อ-ผู้มีอิทธิพล เพราะคาแรกเตอร์มันตรง เจ้าพ่อมันพึ่งพาได้เพราะบารมีเยอะ ซึ่งจริงๆ แล้วเรื่องนี้เพิ่งมาช่วง 50 ปีหลัง สมัยก่อนความใจถึงพึ่งได้ไม่ต้องเป็นเจ้าพ่อ เพราะ ส.ส.สมัยก่อนจำนวนมากมีแบ็กกราวน์อย่างอื่น เช่น เป็น ‘ทนายความ’ ชาวบ้านไม่ค่อยรู้กฎหมาย เวลาถูกเอารัดเอาเปรียบ ก็วิ่งไปหาคนนี้ให้เขาช่วยแก้คดีให้ อีกอันซึ่งเป็นที่นับหน้าถือตาคือเหล่า ‘ครูบาอาจารย์’ อดีต ‘ข้าราชการ’ มาจนกระทั่งยุคที่ ‘นักธุรกิจ’ เข้ามาสู่การเมือง
นักธุรกิจในพื้นที่มักจะสร้างตัวมาจากโครงการรัฐ รับสัมปทานทำถนนประปา ใครได้โครงการวางท่อประปามาก็แทบจะครองจังหวัดนั้นยาวๆ เลย ช่วงแรกนักธุรกิจก็จะไปดีลกับข้าราชการ ต่อมาก็เข้าหานักการเมือง ให้คอยอุปถัมภ์ค้ำชู จนเกิดเป็น ‘คอนเน็กชั่น’ ขึ้นมา วันดีคืนดีนักธุรกิจก็รู้สึกว่าการไปดีลกับคนเหล่านี้มันมีอะไรที่ต้องจ่าย ทั้งที่เราก็มีบารมี มีธุรกิจใหญ่โต ลูกจ้างเป็นพัน เราจะยอมเสียอะไรบางอย่างไปทำไม มาคุมเกมเองเลยไม่ดีกว่าเหรอ เขาก็เลยขยับเข้ามา
ตั้งแต่นั้นมา เราจะเห็นภาพนักการเมืองใจถึงพึ่งได้มาโยงกับความเป็นนักธุรกิจในภูมิภาค ซึ่งด้วยความที่ต้องคุมคน สร้างเครือข่าย จะมานุ่มๆ เป็นคุณครู มันก็ไม่ได้ เลยต้องสร้างคาแรกเตอร์แบบนักเลงขึ้นมา
แต่โลกาภิวัตน์ก็เข้ามาเปลี่ยนความสัมพันธ์ของคนในพื้นที่ จะมาใจถึงพึ่งได้แบบเดิมก็ได้แค่กับคนของตัวเองเท่านั้น แล้วคนที่อยู่นอกเครือข่ายล่ะ มันอาจจะเวิร์กกับกลุ่มเขา แต่มันไม่พอจะรักษาฐานอำนาจทางการเมือง ที่เกี่ยวข้องกับคนจำนวนมาก วิธีที่จะรักษาอำนาจไว้จึงต้องเปลี่ยนไปจากเดิม
หัวคะแนน – กลไกรักษาอำนาจ
หัวคะแนน หากใช้ภาษา กกต.ก็คือผู้ช่วยหาเสียงของผู้ลงสมัครรับเลือกตั้ง แต่เป็นผู้ช่วยหาเสียงที่อาจจะช่วยด้วยวิธีทั้งที่ถูกกฎหมายและผิดกฎหมาย เช่น ใช้เงินซื้อเสียง
อีกหน้าที่หนึ่งของหัวคะแนนคือเช็กผลลัพธ์ด้วย เช่น สมมุติไปจ่ายเงินซื้อเสียงมา 100 บ้าน ถ้าคะแนนมาแค่ 20 เสียง แปลว่าหมู่บ้านนี้ไม่เข้าเป้าแล้ว ในอนาคตก็ต้องไปวางยุทธศาสตร์ว่ายังจะไปหมู่บ้านนี้อีกไหม เป็นการ QC ตั้งแต่ต้นจนถึงปลายทาง แต่นอกจากหัวคะแนนที่ทำผิดกฎหมาย ก็จะมีหัวคะแนนนอกฤดูเลือกตั้งด้วย เสมือนคนที่คอยเชื่อมพื้นที่กับผู้แทน จะคอยรับข้อเสนอ ข้อกังวล ปัญหา ข้อเรียกร้องต่างๆ ในพื้นที่เอาไปบอก ส.ส. ซึ่งอันนี้ไม่ได้มีแค่นอก กทม.นะ ใน กทม.เองก็มี เช่น ประธานชุมชน
ปัจจุบันวิธีการเชื่อมคนในเครือข่ายนักการเมืองก็ยังเมหือนเดิม เพียงแต่รูปแบบมันอาจจะพัฒนาไป สมัยก่อนจะมี ‘คืนหมาหอน’ คือศัพท์ที่เรียกการแจกเงินของหัวคะแนนในคืนก่อนวันเลือกตั้ง แต่ตอนนี้แทบไม่มีแล้ว เปลี่ยนเป็นการดูแลในระยะยาวแทน
อนาคต ‘บ้านใหญ่’ ในการเมืองไทย
คนที่เขาสามารถสถาปนาตัวเองในจังหวัดใดจังหวัดหรือเขตเลือก จนสามารถคุมเครือข่ายได้อยู่หมัด เขาก็จะถูกเรียกว่า ‘บ้านใหญ่’ ซึ่งถ้าไปพลิกตำนานกันจริงๆ ก็จะเริ่มจาก จ.ชลบุรี อย่างกำนันเป๊าะ-สมชาย คุณปลื้ม ที่ก่อนจะส่งคนลงสมัครไม่ว่าระดับท้องถิ่นหรือระดับชาติ ก็จะมีการเช็กแถว เกิดการนัดประชุมใหญ่ที่บ้าน เลยเป็นที่มาของคำทักว่า “ไปไหน..ไปบ้านใหญ่ๆ” ใครที่นัดแล้วไม่มา อาจแปลได้ว่าถูกซื้อตัวหรือมีใจเป็นอื่น
ความเป็นบ้านใหญ่มันเป็นแบบนี้ คือความรวมศูนย์และมีสถานที่จริง เป็นสัญลักษณ์ของอำนาจว่า ที่นี่ใหญ่สุด
บ้านใหญ่เป็นศัพท์ที่ถูกใช้กันเยอะในการเลือกตั้ง ส.ส.ปี 2566 สมัยก่อนๆ ยังไม่ค่อยใช้ อาจเพราะเป็นสถานการณ์ต่อเนื่องจากการเลือกตั้งท้องถิ่น คือเลือก อบต. เทศบาล อบจ. จนถึงการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. และนายกเมืองพัทยา โดยเฉพาะการเลือกนายก อบจ ที่จะพูดถึงบ้านใหญ่ค่อนข้างมาก เพราะเป็นสนามเลือกตั้งหลักของบ้านใหญ่ ใครเป็นบ้านใหญ่ คุณต้องได้นายก อบจ. ถ้าแพ้แสดงว่าคุณไม่ใหญ่แล้ว เป็นศึกศักดิ์ศรี
สมัยก่อนบ้านใหญ่ที่สอบตก ส.ส.ถือเป็นเรื่องใหญ่ แต่วันนี้นายก อบจ.อาจจะใหญ่กว่า เพราะด้วยกฎหมายของเรา ไปแก้ทาง ส.ส.ไม่ให้แปรญัตติงบประมาณไปลงพื้นที่ของตัวเอง ทำให้ ส.ส.ไม่สามารถเอางบเอาโครงการไปช่วยเหลือพื้นที่ได้โดยตรง ต่างกับ อบจ.ที่สามารถคิดนโยบาย โครงการ แผนงาน และใช้ทรัพยากรของรัฐไปสร้างบารมีให้ตัวเองได้ในพื้นที่
หลายๆ บ้านใหญ่จึงต้องปักธงนายก อบจ.เพื่อเป็นฐาน แล้วต่อยอดไปสู่ ส.ส. เพื่อเชื่อมกับการเมืองระดับชาติ เพราะหากรวมกลุ่ม ส.ส.ได้จำนวนหนึ่ง ก็จะสามารถไปต่อรองตำแหน่งรัฐมนตรีได้
กทม.มีบ้านใหญ่ไหม?
จริงๆ ก็มี เพียงแต่ด้วยขนาดพื้นที่ กทม.มันใหญ่มาก เลยทำให้ใหญ่เกินกว่าจะมีบ้านใหญ่หลังเดียวที่จะคุมได้ทั้งหมด เลยมีทั้งบ้านใหญ่บางบอน มีนบุรี หนองจอก สายไหม ฯลฯ
ที่แตกต่างจากบ้านใหญ่นอก กทม. ซึ่งพัฒนามาจากนักธุรกิจในพื้นที่ เป็นที่พึ่งพาอาศัย แต่ใน กทม. คนจะรู้สึกว่าคนๆ นี้โอเค คนนามสกุลนี้โอเค แล้วมันส่งต่อความเป็นตระกูลการเมือง ตั้งแต่รุ่นปู่มาจนถึงรุ่นหลาน หรือมีกรณีที่บ้านใหญ่ในต่างจังหวัดส่งคนมาลง ส.ส.กทม. (เช่น เทียนทอง, บรรทัดฐาน) แต่ความเป็นตระกูลการเมืองใน กทม. มันจะมีลักษณะพิเศษ เพราะวิธีการลงคะแนนจะไม่เหมือนคนใน ถ้าเราคิดถึงอารมณ์บ้านใหญ่ จ.ชลบุรีที่เรียกคนมาเช็กแถวได้ หรือเรียกหัวคะแนน, ผู้นำท้องถิ่นมาพิสูจน์ความจงรักภักดีได้ ใน กทม.อาจจะไม่ได้ขนาดนั้น มันต้องเอาต้องคะแนนส่วนตัวไปบวกกับกระแสของพรรค นี่คือความแตกต่างที่ชัดเจน
พัฒนาการเมืองไทย บ้านใหญ่จำนวนมากเกิดขึ้นหลังจากรัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 แม้จะถูกรัฐประหารไป 2 ครั้ง (ปี 2549, 2557) โดนยุบพรรคเปลี่ยนไปหลายชื่อคนก็ยังจะเลือกอยู่ หลายคนก็ได้เป็น ส.ส.ติดกันหลายสมัย เขาก็สถาปนาการเป็นตระกูลการเมืองในในจังหวัดนั้นๆ ขึ้นมา โดยไม่จำเป็นต้องเป็นนักการเมืองแบบใจถึงพึ่งได้ แต่อาศัยกระแสพรรคช่วยเหลือ พอตัวเองอายุมากขึ้นก็ไปขึ้นปาร์ตี้ลิสต์แล้วให้ลูกหลานลงเขตแทน บางคนเป็น ส.ส.มานาน ก็ขยับขยายไปลงท้องถิ่น เอาญาติมาลง ก็สร้างเป็นบ้านขนาดกระทัดรัดขึ้นมา
นี่คือพัฒนาการของบ้านใหญ่ที่มีการเกิดขึ้นและหายไป