“ช่วยออกมาพูดอะไรหน่อยได้ไหม?” เสียง call out หรือการเรียกร้องให้ออกมาแสดงออกอะไรบางอย่าง ในบริบทของการเมืองในช่วงนี้ เป็นการเรียกร้องให้ออกมาแสดงจุดยืนทางการเมือง และพูดถึงเรื่องนี้อย่างชัดเจน ที่เรียกว่า speak up ประเด็นเหล่านี้ถูกส่งต่อจากประชาชน แฟนคลับ ไปถึงศิลปิน ดารา ผู้มีชื่อเสียง เพื่อทวงถามจุดยืนอย่างล้นหลาม
ดารา ศิลปิน หลายคน ออกมาพูดถึงเรื่องนี้อย่างชัดเจน หลายคนพูดอย่างเป็นกลาง หรือบางคนก็เลือกไม่พูดถึงเรื่องนี้ เหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น เสียงจากฝั่งประชาชน แฟนคลับ แตกออกเป็นสองฝั่งอย่างชัดเจน มีทั้งฝ่ายที่บอกว่า นี่คือสิทธิ์ที่เลือกจะพูดหรือไม่พูดก็ได้ หากมันกระทบถึงชื่อเสียง หน้าที่การงาน คนที่เรียกร้องให้ออกมาพูด จะสามารถรับผิดชอบได้ไหม อีกฝั่ง มองว่านี่เป็นเรื่องพื้นฐานความเป็นมนุษย์ จะสามารถอยู่เฉยๆ ได้จริงหรือ
ลองมาฟังมุมมองเรื่องนี้กับ ‘จ๋าย TaitosmitH’ ศิลปินเพื่อชีวิต ผู้เลือกแสดงจุดยืนทางการเมืองอย่างชัดเจน มาดูกันว่าในฐานะศิลปิน จะสร้างสมดุลให้กับชื่อเสียง หน้าที่การงาน และการแสดงออกทางการเมืองได้อย่างไรบ้าง
เวลาศิลปินโดนเรียกร้องให้ออกมาพูดเนี่ย มันคือสิทธิของเราไหมที่จะพูดหรือไม่พูดก็ได้?
ผมเชื่อว่าศิลปินหรืองานศิลปะ ถ้าเราศึกษาประวัติศาสตร์ เราจะรู้ว่าการเมือง ประวัติศาสตร์ต่างๆ นานา มันเชื่อมโยงกับศิลปะมาทุกยุคทุกสมัยอยู่แล้ว จริงๆ ผมโอเคหมดเลย ว่าใครจะอยู่ฝั่งซ้าย ฝั่งขวา หรือจะมีความคิดเห็นทางการเมืองยังไง แต่คนที่เรียกตัวเองว่าเป็นศิลปิน ผมว่าเป็น ignorant ไม่ได้ จะยังไงก็ตามแต่ ต้องแสดงทรรศนะได้ ถามไปก็ต้องตอบได้
ศิลปินไม่ได้จำกัดความว่าเป็นนักร้องหรือนักดนตรี ผมว่าศิลปะทุกแขนงเลย มันไม่สามารถ ignore (เพิกเฉย) ต่อเหตุการณ์ใดๆ ได้ แม้กระทั่งในเรื่องที่มันคาบเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชน อันนี้มันคือเรื่องพื้นฐาน มันคือแก่นหลักของความเป็นมนุษย์ ถ้าพื้นฐานในความเป็นมนุษย์ เรายังไม่เข้าใจ ยังไม่เห็นอกเห็นใจกัน แล้วเราจะสร้างงานศิลปะอย่างแท้จริงได้อย่างไร
ศิลปินมันเป็นกระจกสะท้อนสังคม เป็นกระบอกเสียงที่สามารถพูดได้ แต่เราก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า เราคาบเกี่ยวกับระบบของธุรกิจที่มันเกื้อหนุนกันอยู่ บ้านเรานายทุนอาจจะตัวใหญ่มาก อาจจะพูดยาก เราก็รู้กันอยู่แล้วว่า ทำไมศิลปินดาราพูดไม่ได้ ถูกไหมฮะ?
ทำไมศิลปินถึงควรออกมาพูด? ทำไมแฟนคลับถึงคาดหวังสิ่งนี้จากเรา?
อาจจะเป็นเรื่องของความคาดหวังมากกว่า แน่นอนว่าอินฟลูเอนเซอร์หรือว่าศิลปินเนี่ย ต้นทาง เราอาจได้รับงานมาจากลูกค้าหรือว่าสปอนเซอร์ แต่ว่าปลายทางแล้ว คนที่สนับสนุนเรา มันก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าคือแฟนเพลงหรือประชาชน
ยิ่งเขาต้องการเรามาก เราก็จะมีมูลค่าเพิ่มมากขึ้น แน่นอนว่าเขาจะต้องคาดหวังต่อสิ่งที่เขาสนับสนุนอยู่แล้ว จะต่อสินค้าหรือต่อแบรนด์นั้นๆ ที่เขาสนับสนุนอยู่แล้ว เป็นเรื่องปกติ
ยิ่งเป็นศิลปินแล้วด้วย เราไม่ใช่สินค้า เรามีปากมีเสียง เรามีผู้ติดตาม เรามียอดผู้ติดตาม เรามีสื่อในมือของเรา เฟซบุ๊กอาจไม่ใช่ของส่วนตัวแล้วเหมือนกัน เป็นสื่อที่ศิลปินแต่ละคนมีในมือ เขาก็อยากให้เราจะช่วยเป็นกระบอกเสียงหนึ่ง ไม่ต่างจากสำนักงานข่าวต่างๆ เลย
เราเห็นจ๋ายพูดเรื่องการเมืองอย่างชัดเจนในเฟซบุ๊ก พอพูดออกไปแล้ว มีผลกระทบกับงานบ้างหรือเปล่า?
ช่วงแรกๆ มีแค่งานเดียวจากผู้จ้างแค่รายเดียว ที่ไม่สนับสนุน ถ้าเรายังเรียกร้องประชาธิปไตยอยู่ก็จะไม่จ้างเรา เขาพูดชัดเจนเลยว่า ถ้าเรายังเรียกร้องประชาธิปไตยผ่านหน้า feeds ของเรา ผ่านอะไรก็ตาม ไม่ใช่แค่บนเวที เขาก็จะเลิกจ้างเรา ซึ่งตอนนี้เขาก็เลิกจ้างไปแล้ว แต่มีแค่งานเดียวครับ งานอื่นๆ ก็ยังข้ามปีอยู่ดี (หัวเราะ)
มันต้องแยกกันสองอย่าง ในเชิงของอุดมการณ์เนี่ย ให้ตายยังไงผมก็พูด ต่อให้งานหายแค่ไหนผมก็พูดอยู่ดี แต่ในเชิงของธุรกิจมันเป็นอย่างนั้นไม่ได้ เราจดกับบริษัทใหญ่ ซึ่งเราทำสัญญากับเขา การที่ทำให้เขาขาดทุนเนี่ย ก็เป็นความรับผิดชอบของผม เหมือนผมให้สัญญากับเขาไปแล้ว แล้วอยู่ดีๆ ผมมาทำเขาเจ๊ง ตราบใดที่เราพูดแล้วมันไม่กระทบกับหน้าที่การงาน ผมรู้สึกว่ามันไม่มีเหตุผลที่จะไม่พูด
แล้วมีกระแสตอบรับที่ไม่ดีกลับมาบ้างหรือเปล่า?
มีบ้างจากอีกฝั่งหนึ่ง หรือว่าจากคนใกล้ตัวที่เขาเป็นอีกฝั่งหนึ่ง แต่ยังไม่ได้หนักอะไร คนใกล้ตัวผมอาจจะไม่ได้ขวาสุดโต่ง หรืออาจจะเป็นขวาสุดโต่ง แต่ความสัมพันธ์ที่เราสานกันมา มันมากกว่านั้น ก็เลยยังคุยกันได้อยู่ เรามีช่องว่างให้เขา เรารู้ว่าเขาเชื่ออะไร เราไม่ได้ไปทำลายความเชื่อเขา ไม่ได้ไปจี้ให้เขาเจ็บปวด เราก็คุยในประเด็นที่เราคุยกับเขาได้
ตอนนั้นอะไรทำให้รู้สึกว่า ต้องออกมาพูดเรื่องนี้แล้ว?
ม็อบแรกที่ผมไปเข้าร่วม คือ ม็อบธรรมศาสตร์ รังสิต ณ วันนั้นที่อยู่ตรงนั้น คือ ตกใจ ไม่คิดว่าม็อบหรือว่าประชาชนจะเคลื่อนตัวเร็วขนาดนี้ ในเรื่องของการเมือง หลังจากนั้นก็คอยดูข่าว ตามข่าวทุกวัน เข้าร่วมทุกที่ เพื่อไปฟังเด็กๆ
วันที่รู้สึกว่า ไอ้เหี้ย ไม่ไหวแล้วว่ะ คือวันที่ 17 ใช่ไหมฮะ ที่มีการสลายการชุมนุม (ผู้สัมภาษณ์: จริงๆ คือ 16 ตุลาคม) ที่ราชประสงค์ วันนั้นคือแบบ โกรธมาก วันนั้นผมอัพสเตตัสเลย ด่ากราดเลย ด้วยความโกรธล้วนๆ เพราะว่าทุกครั้งที่ผมไป 50-70% คือ เด็กผู้หญิง คนแก่ ยิ่งวันที่สลายการชุมนุม ถ้าดูคลิปในข่าว จะเห็นว่าแนวหน้าไม่ถึง 20-30 คน น้อยมาก มีแค่ร่ม สู้กับตำรวจ ที่เขามีอาวุธพร้อม
ผมว่ามันเจ็บปวด สะเทือนใจมากๆ จนทำให้คิดว่าผมต้องออกมา ไม่ว่าเหตุผลอะไรก็ตามแต่ วิธีการบางอย่างผมอาจจะไม่เห็นด้วยกับเด็ก หรือเวลาบางอย่างอาจจะรู้สึกว่าเร็วเกินไป ยังไงก็ตามแต่ มันตัดเหตุผลพวกนั้นทิ้งไปเลย ผมรู้สึกแค่ว่าผมกลัวเด็กๆ ไม่ปลอดภัย ผมกลัวเกิดอันตรายกับเขา ผมจะเข้าไปช่วย ระวังความปลอดภัยเท่าที่จะทำได้
อะไรที่ผมรู้สึกว่าเขาใจร้อน อะไรที่ผมรู้สึกว่าเบาได้ไหม ผมจะเข้าไปคุยกับเขา แต่ผมจะไม่อยู่ข้างนอกแล้วสาดสีสาดโคลนใส่เขา ผมรู้สึกว่า เขาพร้อมคุยมาตลอด แต่มันไม่มีใครมาคุยกับเขาเลย ไม่มีใครมาอธิบาย ปรับความเข้าใจ หรือแม้แต่มาประนีประนอมกับเขาเลย กลับกัน กลับใช้วิธีการใช้ความรุนแรงกับเขา มันไม่แปลกที่เด็กจะโกรธและต่อต้าน
ในฐานะศิลปิน รู้สึกว่าคิดไม่ผิดใช่ไหมที่ออกมาพูดเรื่องการเมือง?
ผมคิดเยอะมากเลย คิดแล้วคิดอีก แต่พอคิดแล้ว ไม่ต้องเอาหลักไหนเลย แค่หลักสิทธิมนุษยชน หรือความเป็นมนุษย์ ความเห็นอกเห็นใจ มันก็ไม่มีเหตุผลไหนแล้วที่เราจะไม่ออกมา มีคนโดนทำร้ายร่างกาย การเมืองของประชาชนแบ่งเป็นสองฝั่ง คุณอยู่ตรงกลางก็ได้ ไม่เลือกข้างก็ได้ แต่วันนี้มันชัดมากเลย ฝั่งนี้ทำร้ายร่างกายฝั่งนี้แล้วไม่ถูกจับ ไม่ถูกดำเนินคดี แล้วเราคิดว่ามันเป็นเรื่องการเมืองไม่อยากจะยุ่ง หรอวะ? แล้วถ้าวันนึง ในนั้นมันเป็นลูกหลานเรา เป็นญาติเรา จะเกิดอะไรขึ้น เราจะมาโวยตอนนั้นหรอ เราก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว เพราะระบบมันเป็นแบบนี้ มันไม่ได้ถูกแก้
คิดว่าจะมีอะไรที่ทำให้เราหยุดพูดเรื่องการเมืองได้ไหม?
โดนอุ้มมั้ง แต่ยิ่งเราเป็นศิลปินแล้ว สิ่งที่รัฐน่าจะได้บทเรียน คือ การจับพี่มี่ (แอมมี่ The Bottom Blues) น่าจะได้รับบทเรียนว่าการจับศิลปิน มันไม่ส่งผลดีต่อรัฐเลย เพราะว่าศิลปินมันไม่ใช่แกนนำ อย่างมากสุดก็ได้แค่จรรโลงใจ ให้กำลังใจคน แต่การไปปลุกระดมอันนั้นอีกเรื่องนึง เพราะมันจะเป็นเรื่องของศิลปินก้าวไปสู่การเป็นนักกิจกรรม แต่การจับพี่มี่ครั้งนั้น ทำให้เห็นว่ามึงพลาดมากๆ เลย ในการจับศิลปิน ที่ผ่านมาก็ยังไม่มีการจับศิลปินคนไหนเลย ผมว่ามันไม่คุ้มค่า