“เราถือส้ม แล้วมันหล่นกลิ้ง เราเลยบอกให้หยุด เดินไปดูมันหยุด ส้มหยุด หยุดโดยที่ไม่มีอะไรมากั้น มันหยุดเอง”
กลายเป็นตำนานส้มหยุดที่ฮือฮา ของแม่สิตางศุ์ บัวทอง ดาราและเน็ตไอดอล ที่ใครๆ ต่างก็พูดถึงวลีส้มหยุดนี้ โคฟเวอร์ตาม หรือเอาส้มมากลิ้งกันบ้าง แต่ ณ เวลานี้ แม้ส้มจะหยุด แค่ก็ไม่มีอะไรมาหยุดแม่ได้
The MATTER มาคุยกับแม่สิตางศุ์ ถึงการเข้าวงการ เรื่องราวชีวิต และมุมมอง LGBT ซึ่งตลอดเวลาเกือบ 1 ชั่วโมงนี้ มีทั้งอารมณ์ตลก และเศร้าของคุณแม่ปะปนกันไปในเรื่องราวของเธอ
ตำนานส้มหยุด และชีวิตวัยเด็ก
เราเดินทางมาหาแม่สิตางศุ์ที่บ้าน ในแถบปริมณฑล คุณแม่ต้อนรับเราพร้อมสามี และน้องหมา 2 ตัว แม่เล่าว่าช่วงนี้พอเรื่องส้มหยุดดัง มีคนมาถ่ายรายการที่บ้านแทบทุกวัน และหลังจากคิวของเราเอง แม่ยังมีคิวโฟนอินเข้ารายการ และเตรียมจะไปแจกอาหารต่อด้วย
แน่นอนว่า เราเองก็เริ่มคุยกับแม่ด้วยเรื่องตำนานส้มหยุดที่ฮือฮา คุณแม่ยังบอกกับเราว่า เล่าเรื่องนี้ในรายการไปนานแล้ว และก็งงอยู่เหมือนกันว่าทำไมเรื่องนี้ถึงกลับมาเป็นไวรัล และโด่งดังอีกครั้ง
“เรื่องส้มหยุด เราเอาไปเล่าช่วงที่เราดังมาซักระยะแล้ว ทีนี้มีอาจารย์จิตสัมผัสเค้าขอเช็กดวงแม่ เพราะแม่ดังในข้ามคืน จึงสืบสาวราวเรื่องกันว่าฉันเคยเห็นผี ฉันเกิดในวันพายุมา ก็เลยเล่ากันรายการ Moonnight เราก็เตรียมเรื่องตอนเด็กๆ ที่เคยเห็นผีมายืนนอกมุ้ง และเรื่องส้ม ที่ตอนเด็กๆ บ้านเราเป็นห้องแถว อยู่แถวพรานนก พื้นกระดานไม้เป็นแผ่นๆ และส้มมันหล่น จะกลิ้งลงน้ำ ด้วยความเป็นเด็ก และเราตกใจ เราเลยบอกให้มันหยุด พอเราเดินไปดู มันหยุดจริงๆ
แต่ที่จำได้เพราะเราเห็นผีในบ้านบ่อยมาก จึงเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่เรากลัว แต่ด้วยความเป็นเด็ก เราก็กินส้มนั้นนะ เราก็เล่าในรายการนั้น แต่อยู่ๆ ก็มีคนเอาโคฟเวอร์เสียง จริงๆ ก่อนหน้านี้ มันก็มีเสียงใน TikTok ที่ตลกกว่านี้ แต่ก็ไม่รู้ทำไมอันนี้ดัง อาจจะเพราะดารา เซเลปอยู่บ้านด้วย ยิ่งทำให้เป็นกระแสขึ้นมา เลยเป็นเรื่องน่ารักในช่วงกระแสที่มันตึงเครียด”
เรื่องส้มหยุด เกิดขึ้นในช่วงวัยเด็กของแม่ แม่เลยเล่าเรื่องชีวิตวัยเด็กว่า เธอเป็นคนที่ย้ายบ้านบ่อย ต้องย้ายข้ามจังหวัด และต้องย้ายโรงเรียนด้วย เพราะปัญหาครอบครัว
“พ่อเป็นคนนครศรีธรรมราช เป็นทหาร และตอนเราเกิดเป็นวันที่วาตภัยลงปักใต้ ที่แหลมตะลุมพุก พายุมาวันที่ 25 ฉันเกิดในวันที่ 26 แม่ก็กลัวว่าเราจะเป็นอันตราย เพราะพายุยังไม่สงบ พอเกิด 2 วัน แม่ก็เลยพากลับกรุงเทพฯ เราก็ไม่เคยลงใต้อีกเลย พ่อก็เลยย้ายมาประจำที่ค่ายยานเกราะ ที่บางกระบือ อันนั้นก็มาเกิดเรื่องราวที่นี่
ที่บ้านเราเป็นลูกคนที่ 4 แต่ว่าเป็นลูกชายคนแรก มีพี่สาว 3 คน ตั้งแต่เด็ก เราก็จะมีอาการตอนหัดเดิน เห็นรองเท้าส้นสูง ก็จะไปขอใส่เดินข้างนึง เห็นกระโปรงก็ไปลองใส่ ออกอาการจะเป็นตุ๊ดตั้งแต่เด็ก แม่เราก็กลุ้มใจ เขาก็พยายามจะให้อยู่ในกลุ่มผู้ชาย แต่ตอนเด็กๆ เราติดพี่สาว 3 คน
ช่วงที่เป็นเด็ก พ่อกับแม่ทะเลาะ และก็เลิกกัน ชีวิตครอบครัวเราวุ่นวาย พ่อแม่ไม่ยอมกัน พ่อย้ายค่ายไปสุรนารี ที่นครราชสีมา พ่อก็เอาเราไปอยู่ด้วย 2 ปี เราโดนย้ายโรงเรียนตอน ป.2 ไม่ได้เรียน 1 เทอม หลังจากนั้นแม่ก็มาเอาตัวเรากลับไปอยู่กรุงเทพฯ ทุกคนมีครอบครัวใหม่ แม่เลี้ยงก็มีลูกติด พ่อเลี้ยงก็มีลูกติด แล้วพวกเขาก็มีลูกอีก เด็กเยอะมาก คนก็คิดว่าเราจะต้องมีปัญหา แต่เราไม่มี เราเป็นเด็กที่เก็บตัวอยู่แล้ว ดูแลน้องๆ ดูแลคนในบ้าน
บางคนบอก story เราไม่ซ้ำ เพราะเราย้ายโรงเรียนบ่อย ย้ายบ้ายบ่อย เราเห็นครอบครัวที่มีแต่ปัญหาทะเลาะกัน จะมาแย่งเราไป ถ้าฉันมีสิทธิที่จะพูดตอนนั้น ฉันจะบอกว่า มาย้ายโรงเรียนฉันแบบนี้ไม่ได้ ย้ายโรงเรียนเราบ่อยๆ เราไม่มีเพื่อนสนิท เลยอยากฝากบอกคนที่เลิกกัน ว่าอย่าแสดงความรักลูก ด้วยการแย่งตัวเขาไปนู้นนี้ที ให้ถามตัวเด็กเขาด้วย”
ช่วง Come Out จากเด็กชาย สู่การเป็นคุณแม่สิตางศุ์
จากที่แม่เล่าว่า ตัวเองเริ่มออกอาการจะเป็นตุ๊ดตั้งแต่เด็ก ซึ่งครอบครัวก็รับรู้ แต่ตอนนั้นตัวเองก็ไม่สามารถแสดงออกได้เต็มที่ กว่าจะเริ่มได้แต่งตัวตามใจ อายุของแม่สิตางศุ์ก็เข้าเลข 4 แล้ว
“ครอบครัวเรารู้หมด แม่รู้ ทุกคนรู้ เราก็รู้ แต่ไม่มีใครพูด เราก็เป็นเด็กผู้ชายปกติ ตอนนั้นยังไม่มีคำว่า LGBT มีแต่คำว่า ‘กะเทย’ คำว่าตุ๊ดมามีตอนหนัง Tootsie ของดัสติน ฮอฟแมนฉาย เป็นศัพท์เป็นแสลงจากอเมริกา เมื่อก่อนในไทย มีคำว่า homosexual กับกะเทยเท่านั้น”
เมื่อก่อนตอนอยู่โรงเรียนทวีธา เป็นชายล้วน เราก็ชอบคนนึง มันอยู่คนละโปรแกรม เราอยู่ศิลป์-คำนวณ เขาอยู่ศิลป์-ภาษา หน้าตาน่ารัก มันเป็นเด็กเกเรเหมือนเรา เราอยู่ในแก๊งค์เกเร เราจะโดนทำโทษกับมันทุกวัน เพราะไปโรงเรียนสาย เราก็คิดว่าจะจีบมันยังไงดี พอเราจะไปจีบ มันก็คิดว่าเราจะไปหาเรื่องมัน แม่ไปเตรียมพวกมันไว้ เราก็บอกเพื่อนเราในห้อง เพื่อนๆ ก็รู้ว่าเราเป็น homosexual ก็เป็นเรื่องฮากันมาตอนนี้
พอมหาวิทยาลัย เราเรียนได้ดี ตอนเราเข้ารามปีแรก ทุกคนก็มองว่าให้เรียนนิติ จบมาแม่จะได้ไม่ต้องจ้างทนาย พี่น้องไม่มีใครเรียน ฉันก็ต้องเรียน ถ้าให้เลือกตอนนั้นมันมีแบรนด์ดีไซน์ เพิ่งมาเปิด ฉันอยากเป็นดีไซเนอร์ ทีนี้เราต้องทิ้งฝันส่วนตัว เราทำให้แม่มีความสุขก่อน

cr.ภาพจากเฟซบุ๊ก สิตางศุ์ บัวทอง
ตอนเด็กฉันไม่ต่อสู้กับเรื่องนี้ เพราะฉันหลบอยู่ ฉันมีเหตุผลในการเป็นเด็กผู้ชาย เรียบร้อย ธรรมดา เพราะว่าแม่ฉันอายคน ในสภาพสังคมลูกคนจีน ถ้ามีลูกเป็นตุ๊ด เป็นเรื่องหน้าอาย ตั้งแต่เด็กๆ แม่เราก็จัดเสื้อผ้าอะไรมา เราก็ใส่ตามนั้น ทั้งที่จริงๆ เราหลุดมาตั้งแต่เราจำความไม่ได้ ลองใส่กระโปรง ใส่ส้นสูง แต่เราโตมา เรารู้ว่าแม่เค้าไม่ชอบ กลัวเขาอาย คือเราก็อยากสวย เราก็แอบฝัน เราอยากให้แม่มีความสุข เรายกชีวิตให้คนที่เลี้ยงเรามาก่อน เราอยากแต่งผู้หญิง แต่ถ้าแต่ง ออกสาวแต่เด็ก ถ้าทั้งๆ ที่รู้ว่าแม่จะอายญาติพี่น้อง อายเพื่อนบ้าน อายลูกน้อง เราไม่รู้จะทำไปทำไมเพื่อความสุขเรา
ชีวิตหลัง Come out ของแม่สิตางศุ์ เกิดขึ้นพร้อมๆ กับการออกไปใช้ชีวิตของตัวเอง หลังแม่เสีย ซึ่งช่วงนั้นเอง ชีวิตก็ได้หักเห เปลี่ยนทิศทางไป และต้องเจอกับการต่อสู้ ปัญหาชีวิตที่ไม่เคยเจอมาก่อน
เราเริ่มมาไว้ผมตอนไม่มีแม่ หลังแม่เสีย เริ่มมาแต่งหน้า ก่อนหน้านั้นก็จะแต่งบ้านเพื่อน แล้วไปเที่ยว แต่อยู่บ้านก็ปกติ เป็นลูกชาย ใส่แว่นด้วย หลัง 40 ปี เราเพิ่งมาแต่งเป็นกระเทย ฉันเพิ่งรู้สึกว่ากะเทยมันถูกเหยียบย่ำขนาดนี้เลยหรอ ตอนแต่งเป็นผู้ชายไม่มีใครเหยียบย่ำฉันนะ และเม่เราเองเลี้ยงเราแบบไม่ติดดินเลย ไม่ให้เห็นปัญหาของสังคมกว่า 40 ปี พอไม่มีแม่ คนที่มองโลกในแง่ดี ต้องมาผจญโลกตอนที่โตแล้ว อายุ 30-40 ทำมาแอ๊บแบ๊ว คือเราไม่รู้เรื่องจริงๆ นะแต่ตอนหลังรู้แล้ว”
“หลังจากนั้น ชีวิตเราก็ต่อสู้ ฉันเคยร้องไห้กับถนน เคยเป็นกะเทยที่ไม่มีเงิน มันเจ็บปวดจริงๆ หลังจากนั้นเราใช้ชีวิตที่มันอยู่ในโลกมืด กินเหล้า เที่ยว มีเรื่องยา ตอนนั้นไม่รู้อนาคตจะไปอยู่ตรงไหน จริงๆ ฉันฆ่าตัวตายไปหลายครั้งแล้ว แต่คนก็หัวเราะกันว่าฉันยังไม่ถึงฆาต
เราไม่มีบ้าน เราก็ไปนอนตามห้องเช่าเพื่อน เราเบื่อชีวิตที่อยู่ในกรอบ เราก็คิดว่าชีวิตมันไม่น่าเครียด แต่เราเครียดเพราะมันไม่ชิน ชีวิตเพื่อนๆ ก็เที่ยว แต่ช่วงนั้นเริ่มหันมาสวดมนตร์ นั่งสมาธิ คุยกับหลวงพ่อ เริ่มเข้าวัด ตอนนี้เวลาช้ำใจ เหล้าไม่ใช่คำตอบ จากประสบการณ์เรา เราเข้าวัด หลังจากนั้นก็เริ่มเจอคนดีๆ เจอแฟน ทั้งๆ ที่ช่วงนั้นเรายังมีหนี้สิน จากการเล่นพนันบอล เขาก็มาช่วย ฉันไม่ได้มั่นแบบที่คนเขาพูดกัน แต่ชีวิตผ่านการโดนทำร้ายมาเยอะ ผ่านการกินยาฆ่าตัวตาย โดนผู้ชายหลอก เสียทุกอย่าง”
ก้าวสู่โลกโซเชียลเน็ตเวิร์ก เป็นเน็ตไอดอล
แม้จะดังจากส้มหยุด ดังจากการเล่นหนัง การลงคลิปเต้นสะบัดผมต่างๆ แต่แม่สิตางศุ์เล่าว่า เธอเริ่มเป็นที่รู้จักจากการถ่ายภาพก่อน และก็ไม่เคยคิดเลยว่า ตัวเองจะโด่งดังขึ้นมาจากโลกโซเชียล จนเป็นเน็ตไอดอล หรือนักแสดงอย่างทุกวันนี้
“เพิ่งมาเล่นเฟซบุ๊กไม่กี่ปีมานี้ เรากับแฟนทำอะไรก็ไม่เป็น แต่หลานสาวชวนว่าอยู่บ้านเหงาๆ ให้เล่น เราก็ถ่ายรูปได้วันละรูป ตอนนั้น แอปฯ ก็ไม่มีด้วย พอเล่นได้ 1 ปี ก็เริ่มดังเลย ดังภาพนิ่ง ถ่ายปิดหน้า แล้วเอาไปเทียบกับเน็ตไอดอล พอเช้ามาเปิดหน้า ก็มีคนด่ากันเต็ม มีคนแชร์ ส่วนคลิปนี่หลานอีกคน ก็ถ่ายคลิปที่งานวัด พอเขาแท็กเข้ามาเท่านั้นแหละ 3 ล้านวิว หลานเลยบอก ให้อาทำเองเลย”
เราเป็นที่รู้จักในกลุ่มกะเทยอยู่แล้ว ก่อนมาเป็นเน็ตไอดอล แต่ตอนนั้นเราก็ไม่คิดว่าจะดัง เราก็ไม่รู้เป็นเน็ตไอดอลคืออะไร เค้าบอกเดี๋ยวจะมีคนจ้างรีวิว เราก็ยังไม่รู้เลยรีวิวคืออะไร ช่วงแรกๆ เขาบอกให้เราถ่ายรูป 10 รูป ได้เงิน 1,000 บาท แล้วก็เริ่มมีคนทำคลิป ก็ดังอีก ทีนี้เราเริ่มดังต่างประเทศก็เข้ามา มีคนแชร์ใน weibo ที่จีน กับฮ่องกง ตีกลับมาไทย เราเริ่มออกรายการตอนนั้น ตอนนั้นยังไม่ได้เต้นสะบัดต่อนะ แต่ดังเรื่องคู่รักก่อน”
“พองานมาเยอะๆ เราก็ทำคลิปเต้นกับแฟน ใครจ้างรีวิวเราก็ขายให้ด้วย ช่วงนั้นมีกาแฟนลดความอ้วน เค้าเลือกเราเพราะเราอายุมาก แต่หุ่นยังดี เราทำคลิปเต้นทุกเย็น คนเริ่มตาม เพราะสนุกสนาน เราก็ขายกาแฟนะ เราเป็นคนชอบขายของ ก็มีคนสั่งซื้อ ละคลิปโดนแชร์ไปเรื่องๆ มีคนโคฟเวอร์ที่ฟิลิปปินส์ โคฟเวอร์ยันหน้าแฟนเลย
ลูกค้าก็ขอบางตัวเป็นคลิปเต้น บางตัวก็ขอคิวสามีด้วย มีให้จัดรายการเองเพราะพูดเก่ง และก็เริ่มมีงานหนัง ซึ่งก็สนุกดี แต่ว่าแฟนไม่ค่อยชอบ อย่างพี่พจน์ อานนท์ก็ชอบขอคิวคู่ เพราะคู่เราฮา แฟนเขาก็ไปถ่ายฉากเดียว เพราะแฟนเขาเหนื่อย เขากินนอนเป็นเวลา แต่งานแสดงเลือกเวลาไม่ได้ ต้องอารมณ์เดิม แต่เราแก่แล้ว เราก็ได้โอกาสนี้ คนเราสำคัญที่โอกาส”
ถึงจะอยู่ในวงการ มีงาน มีคนรู้จัก แต่ตลอดเวลาสิ่งที่มาพร้อมการมีชื่อเสียง คือการถูกบูลลี่ ไม่ว่าจะเรื่องรูปร่าง หน้าตา หรือโดนต่อว่าลับหลัง แม่สิตางศุ์เล่าให้เราฟัง ถึงการต่อสู้ของเธอด้วยน้ำตา
“การต่อสู้ตั้งแต่เข้าวงการนี้มา โดยทั้งบูลลี่ โดนทั้งแกล้ง ต่อหน้าดี ลับหลังด่า เรานั่งร้องไห้หน้าพระ ช่วงที่โดนบูลลี่ เราก็ร้องเพลงครึ่งหนึ่งของชีวิตหน้าพระ ทั้งช่วงนั้นสามีเข้าโรงพยาบาล แฟนคลับต้องโอนเงินมาเยี่ยม เพราะไม่ค่อยมีงาน โดนคืนงานหมด
เราไม่ยอมกลับบ้านนอก ตอนนั้นเรากินกล้วยบนหิ้งวันละ 2 ลูก เปิดไลฟ์ขายของ 10 นาที ต้องรับยอดเลย เพราะต้องไปเยี่ยมสามี แต่ฉันไม่ยอมแพ้ คนที่ตามแม่ก็จะรู้ แฟนคลับก็โอนเงินมาช่วยเรา วันละเป็นหมื่น จนเราต้องบอกให้หยุด เราไม่รับแล้ว เรื่องนี้ฝังใจ แต่พอผ่านไป เราเริ่มย้ายจากห้องเช่า มาอยู่บ้าน เราก็ยังโดยแกล้งนะ ไม่รู้จะพูดยังไงกับคนที่มาถล่มเรา นอกจากขอบคุณนะคะ ที่มาดูถูกกัน ถ้าวันนั้นฉันหมดแรง กลับบ้านนอก ไม่ยอมอยู่ต่อ ก็ไม่มีวันนี้ ฉันยอมอยู่ให้โดนด่า โดยที่ไม่มีเหตุผลในการด่า”
มุมองต่อสิทธิ และ LGBT ในไทย
ด้วยความที่จบด้านกฎหมายมา ในด้านนึงคุณแม่ก็เป็นที่ปรึกษากฎหมายให้กลุ่มกะเทย และก็ยังติดตามเรื่องกระบวนการ กฎหมายผลักดันสิทธิ LGBT ในไทยมาตลอด ซึ่งแม่เองก็มองว่า ประเทศไทยควรจะผลักดันกฎหมายนี้ให้ออกมาบังคับใช้ได้จริงจังแล้ว ในฐานะที่แม่เองก็เป็นเพศที่ 3 ที่ประสบปัญหา และต้องการกฎหมายรับรอง
“เราเป็นที่ปรึกษากฎหมายให้กับกลุ่มกะเทยอยู่แล้ว พอเราเริ่มเล่นเฟซบุ๊ก ก็มีคนชวนเราเข้ากลุ่ม แต่เราไม่ชอบเป็นทนาย ในกลุ่มกะเทยก็จะมีพวกผู้ชายเข้ามาหลอกเอาเงินกะเทย เราก็คอยรับปรึกษา ให้ไปดำเนินการแบบนี้ๆ
สถานการณ์ของ LGBT ในไทยก็ดีขึ้นนะ แต่ดีขึ้นในระดับกลาง เหมือนคนจะยอมรับ แต่ไม่หรอก ตอนนี้จะผ่านกฎหมาย ยังต้องเสนอเป็นขั้นตอน ขอกลุ่มตัวอย่างคู่รัก LGBT ซึ่งคู่รักเหล่านี้ที่ยังมีชีวิตรัก และใช้ชีวิตครอบครัวกันจริงๆ มันมี ถ้าคุณพร้อมจะรับ ไม่ต้องไปดองกฎหมายไว้ จะต้องพิจารณาใหม่หรอ
ทีนี้บางคนบอก แค่รักกันพอแล้ว ไม่ใช่นะลูก พอรักกันแล้ว เราใช้ชีวิตล่มหัวจมท้าย มันจะมีเรื่องทรัพย์สินงอกมา อันนี้เป็นปัญหา พออยู่กันจนมีบ้าน มีที่ดิน ก็ไม่มีการรับรองสถานภาพทางสังคม พี่น้องแต่ละฝ่ายต่างหากที่เป็นทายาท รักกันแทบตาย แต่ถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งตาย สมบัติที่เราหามาร่วมกัน อีกครึ่งนึงจะหลายเป็นของทายาท (พี่น้องของอีกคน) ตามกฎหมาย เขารู้ แต่เขาไม่กล้ายอมรับ ว่ารักแท้ในหมู่กะเทยมีจริง เค้าก็ยังมองเห็นค่าแค่ชายจริงหญิงแท้”
แม่เล่าว่าเทียบกับสมัยแม่เด็กๆ สถานการณ์การเปิดรับดีขึ้น แต่แม่ก็ยังมีความฝันอยากเห็นการเปิดรับในทางกฎหมายที่มากกว่านี้ด้วย
“สมัยก่อน ถ้าใครไม่ชอบเขาสามารถที่จะเอาอะไรปา ไล่ ไม่ต้องมาผ่านหน้าบ้าน มองเป็นเสนียด ถ้าไปแจ้งความก็ถูกมองว่าตลก ไม่มีใครรับรองสิทธิกะเทย เค้าก็รับแจ้งไปอย่างนั้น สังคมไม่ยอมรับ กะเทยรุ่นแม่ทุกคนมีความอดทนสูงมาก โดนเหยียบย่ำกันมาหมด
“รุ่นแม่มีหนังเรื่องนึง ชื่อเพลงสุดท้าย สมหญิง ดาวรายเล่นดีมาก ปีนั้นสมหญิงไม่ได้รางวัลผู้แสดงนำฝ่ายหญิง เพราะเป็นกะเทย แต่พอยุคนี้ รายการแบบ The Face เอากะเทยไปประกบกับผู้หญิง โดยที่ไม่ได้ดูคำหน้านาม เห็นไหมว่าสังคมมันเปลี่ยน โชคดีที่ฉันไม่ได้ช้ำใจตายไปเมื่อตอนนู้น และยังอยู่รอดมาเห็น
อีกอย่างหนึ่ง แม่อยากเห็น กฎหมายคู่ชีวิต กฎหมายคู่รัก อะไรก็แล้วแต่ ที่คนเพศเดียวกัน เขากินอยู่กันด้วยความบริสุทธิ์ใจ ขอกฎหมายรับรองเขาเถอะ เพราะเขาก็เสียภาษีเต็มขั้น เป็นราษฎรคนนึง แล้วยังบอกว่าบ้านเมืองนี้ปกครองด้วยรัฐธรรมนูญ หลักสิทธิมนุษยชนกะเทยอย่างฉันก็ไม่ได้ครบอยู่แล้ว ตั้งนานแล้ว แค่กฎหมายที่รับรอง ให้เรากินอยู่ ยังไม่มี
เวลาแม่โพสต์เรื่องนี้ จะมีคนส่งรูปคู่มายืนยันเยอะมากในคอมเมนต์ พร้อมแสดงตัว เราอยู่ด้วยกันยังไม่อายใคร แล้วทำไมต้องอายที่จะออกกฎหมายตัวนี้”
อนาคต และเป้าหมายที่อยากทำ
คุยเรื่องชีวิต การต่อสู้ มุมมองต่างๆ ของคุณแม่กันมาแล้ว สุดท้ายเราคุยกับเธอว่า ในอนาคตแม่มีแผนการในชีวิตยังไง มีอะไรที่ตั้งใจไว้ว่าอยากจะทำบ้าง ซึ่งแม่ก็ตอบสิ่งที่เราไม่ได้คาดคิดมาว่า เธอตั้งใจจะทำสถานปฏิบัติธรรม เพราะประสบการณ์ชีวิตที่ผ่านมา
“โครงการที่ยาก คือเราอยากทำสถานปฏิบัติธรรม ในลักษณะบำบัด ผ่อนคลาย ว่าจะทำที่ซัก 10 ไร่ แถวบ้านแฟนที่พิจิตร ซึ่งอยากทำสถานที่ให้ดูมาตรฐาน เราจะทำเป็นทัวร์ weekend ให้ผ่อนคลาย ค้างคืนเดียวก็จะมีพระมาเทศน์ มีกิจกรรมทางพุทธศาสนา แต่ก็จะมีผ่อนคลาย อย่างมาสปา นวด คือไปอยู่กับเรา ก็ได้ทั้งความผ่อนคลาย ฟังเทศน์ และได้ไหว้พระ
อยากทำเพราะประสบการณ์ที่เคยอยากฆ่าตัวตายของเรา เพราะตอนเรามีปัญหา เราไม่มีทางออก เราเคยนึกว่าการเที่ยว การดื่มกิน มันเป็นทางเลือก แต่มันไม่ใช่ พอแม่มาเลือกทางนี้ เราก็ซาบซึ้ง เราสวดมนตร์เป็นประจำ เราผ่านมาแล้ว แม้จะผ่านมาอย่างเลือดซิบ
ประสบการณ์มันยังสอนเราว่า ในช่วงที่ไม่มีใคร ฉันยังมีตัวฉันเอง ตอนที่เรายังไม่มีใคร จะให้คนเป็นล้านมากอด มันก็จะไม่มีแรงลุกขึ้นสู้นะ ถ้าตัวเราไม่ลุกขึ้นเอง บางคนบอกที่รักแม่เพราะจำที่แม่เคยพูดไว้ว่า