คนนั้นก็หุ่นสวยสับ คนนี้ก็หน้าสวยเป๊ะ แล้วเราเป็นใครกันนะ ถ่ายรูปยังไงก็รู้สึกว่าตัวเองไม่สวยเหมือนใครเขาเลย จะรูปที่ลงเล่นเอง หรือรูปรีวิวเสื้อผ้าให้ร้านที่เคยซื้อมา ร้านก็ไม่เคยเอาไปแชร์ เพราะเราไม่สวยเหมือนคนอื่นหรือยังไง จากที่เคยมั่นใจในตัวเองก็เริ่มไม่มั่นใจแล้ว
เมอร์วิน ไรด์-เนลสัน (Mervyn Reid-Nelson) ช่างภาพที่ทำงานเพื่อผลักดันความมั่นใจในร่างกายผู้คนเคยพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้เอาไว้ว่า “เรามีรูปลักษณ์ที่แตกต่างกัน แต่เรากลับมุ่งหมายอยากจะเป็นใครสักคน มันเป็นเหมือนกับวงจรอุบาทว์นะ เราต้องการสิ่งที่คนอื่นมี ยิ่งแล้วใหญ่ที่ตอนนี้โซเชียลมีเดียกลายเป็นแรงบันดาลใจหลักให้กับหลายด้านในชีวิตของเรา ความต้องการที่จะเป็นใครสักคนเลยทวีความรุนแรงมากขึ้น เราอยากจะมีผิวเนียนสวยแบบคนนั้น อยากจะมีขาเรียวยาวเหมือนคนนี้ ความคิดเหล่านี้สามารถผุดขึ้นแบบซ้ำไปซ้ำมาในช่วงเวลาแสนสั้นที่เรากำลังไถนิ้วลงบนหน้าจอแบบไม่ทันได้ระวังตัว”
แสงที่ไม่เคยสาดส่องถึงตัวเรา
เราโตขึ้นมากับมาตรฐานความงามที่กัดกินใจกันตั้งแต่ยังเป็นเด็ก เด็กที่น่ารักกว่า ตัวขาว อ้วนจ้ำม่ำ จะได้รับความสนใจมากกว่าใคร โตขึ้นมาหน่อยในชั้นประถม ใครที่หน้าตาตรงตามมาตรฐานก็จะได้รับหน้าที่ถือพานไหว้ครู บ้างก็ได้เป็นนางรำ บ้างก็ได้รับบทเด่นในงานกีฬาสียิ่งชั้นมัธยมยิ่งรู้สึกแย่ โซเชียลมีเดียกลายเป็นเรื่องสำคัญ แสงจะส่องถึงแต่คนที่หน้าตาจิ้มลิ้มน่ารักเท่านั้น ไม่ว่าจะมีกิจกรรมอะไร คนที่ถูกถ่ายรูปลงเพจก็จะเป็นคนที่โดดเด่นกว่าใครเสมอ ช่วงชีวิตมหาวิทยาลัยยิ่งแย่ลงไปกว่าเดิม เพราะถ้าไม่ได้โดดเด่น ก็จะเป็นเพียงคนธรรมดาที่ไม่มีใครสนใจในสังคมที่ใหญ่ขึ้นจนเราแทบกลายเป็นอากาศธาตุ ไม่ถูกยิ้มทักทาย ไม่ถูกรักโดยคนรอบข้าง ใช้ชีวิตแสนธรรมดาไปให้จบ 4 ปี
เมื่อเราเรียนรู้จากประสบการณ์ทั้งชีวิตของตัวเองมาว่า หน้าตาของเราสามารถชี้ชะตาได้ว่าเราจะเป็นใครในโรงเรียนหรือที่ทำงาน เมื่อรูปร่างของเราสามารถบอกได้ว่าคนอื่นจะปฏิบัติกับเราแบบไหน ความกังวลเรื่องรูปลักษณ์ภายนอกเลยกดทับใจเราไม่ให้เราสามารถมีความสุขกับรูปร่างหน้าตาของตัวเองได้เลย
เมื่อมาตรฐานความสวยงามกีดกันเราออกจากสังคม เราก็หยุดถ่ายรูปทั้งที่เคยชอบมันมาก หยุดแต่งตัวทั้งที่เคยสนุกกับมัน หยุดส่องกระจกเพราะไม่อยากจะเห็นตัวเองอีกต่อไป เราเริ่มเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นที่เรารู้สึกว่าเขาสวยกว่า ยิ่งคิดก็ยิ่งช้ำ
ยิ่งเปรียบเทียบ ยิ่งรู้สึกแย่
ถ้าพูดถึงการเปรียบเทียบ ไม่ว่าจะในเรื่องอะไร ทฤษฎีการเปรียบเทียบทางสังคมของ ลีออน เฟสทิงเจอร์ (Leon Festinger) ก็มักจะต้องถูกเอามาพูดถึงเสมอ เขาแบ่งการเปรียบเทียบเอาไว้เป็น 2 ประเภท คือการเปรียบเทียบกับคนที่ดีกว่า เพื่อกำหนดเป้าหมายที่เราอยากจะไปให้ถึง และการเปรียบเทียบกับคนที่ด้อยกว่า เพื่อใช้ประเมินตัวเองว่าเราอยู่ในจุดไหนของสังคม ซึ่งในเรื่องของรูปลักษณ์ภายนอก การเปรียบเทียบที่เกิดขึ้นมักจะเป็นการเปรียบเทียบกับคนที่ดีกว่า
การเปรียบเทียบกับคนที่ดีกว่านั้นส่งผลดีกับเรื่องการงานก็จริง แต่สำหรับเรื่องรูปลักษณ์ภายนอกแล้ว มีแต่จะกัดกินใจของเรา เพราะเมื่อเราเปรียบเทียบตัวเรากับคนอื่น เราจะเริ่มไม่ชอบบางอย่างในตัวเองโดยที่ไม่รู้ตัว จากที่เราเคยพอใจมันมาก่อน เราจะเริ่มคิดว่าเรายังไม่สวยมากพอ เพราะคนอื่นเขาสวยเกินกว่าเราไปไกลโขแล้ว จากที่ไม่เคยคิดจะจัดฟันมาก่อน เพราะรู้ว่าการจัดฟันมีสิ่งที่ต้องแลกมาเยอะ ทั้งราคา ความยุ่งยากในการใช้ชีวิต แต่พอเห็นฟันเรียงสวยสีขาวสว่างของพวกเขามากเข้า เราก็เริ่มมีความคิดว่าหรือเราจะจัดฟันดีนะ เราเองก็อยากยิ้มแล้วสวยแบบพวกเขาเหมือนกัน
ปัญหายอดฮิตจากการเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นคือการให้ชีวิตของคนอื่นมากำหนดเป้าหมายชีวิตของตัวเราเอง แล้วเราจะยิ่งรู้สึกแย่เมื่อเขาถึงเป้าหมายนั้นแล้ว แต่เรายังคงอยู่ที่เดิม ความอิจฉาเริ่มกัดกินใจเรา แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องผิด แค่อย่าปล่อยให้ความอิจฉาทำร้ายความมั่นใจในตัวเองจนหมดสิ้น
ใครว่าเราไม่สวย เราเองก็สวยเหมือนกันเถอะ
เห็นคนอื่นดีไปหมด เราก็อยากจะดีกว่านี้ ดีให้ได้สักครึ่งของเขาก็ได้ ใช่ เราเข้าใจ แต่เมอร์วิน ไรด์-เนลสัน (Mervyn Reid-Nelson) ยังบอกอีกว่า เราสามารถพัฒนาตัวเองให้รูปลักษณ์เป็นที่น่าพอใจขึ้นได้ แต่การพัฒนานั้นต้องไม่ได้เกิดมาจากความคิดที่ว่า ‘ฉันอยากจะมีขาสวยแบบคนนั้น’ เพราะในการพัฒนาตัวเอง เราก็อาจจะล้มเหลวกลางทางได้เหมือนกัน แล้วตอนนั้นเราจะเริ่มกลัวว่าเราจะถดถอยลงไปอีก ดังนั้นเป้าหมายไม่ใช่ ‘ขาสวยแบบคนนั้น’ แต่เป็น ‘การยอมรับในตัวเอง’ ให้ได้แล้วค่อยพัฒนาจะดีกว่า
แล้วการยอมรับในตัวเองจะเกิดขึ้นจากตรงไหน เราแนะนำให้เริ่มจากสิ่งเล็กน้อยอย่างการฝึกคุยกับตัวเองหน้ากระจกก่อน เราอยากให้ลองมองข้อดีของตัวเองแบบแยกกัน ลองส่องกระจก จ้องตาตัวเอง ตาเราก็สวยเหมือนกันนะ สีน้ำตาลใสเชียว ผมเราสวยมากเลย เรียงเส้นมีน้ำหนักมาก ปากก็สวยได้รูป รับกับขนาดของจมูกมาก
เมื่อแยกส่วนเครื่องหน้าของตัวเองแล้วจะทำให้เรารู้สึกว่า ไม่เห็นต้องถูกต้องตรงตามมาตรฐานที่ใครก็ไม่รู้เป็นคนกำหนดเลย เราเองก็มีจุดเด่นของเรา การชมตัวเองหน้ากระจก พูดถึงข้อดีของตัวเองบ่อยขึ้นจะช่วยทำให้เรารักตัวเองได้มากขึ้น เมื่อเรารู้สึกว่า ‘เออ เราก็สวยเหมือนกันนี่นะ’ ก็ค่อยมาเริ่มพัฒนาให้ดูดีกว่านี้ ด้วยความคิดที่ว่า ‘เราสวยอยู่แล้วนะ แต่เราสวยได้มากกว่านี้อีก’ ไม่ใช่เพราะว่า ‘อยากสวยเหมือนคนนั้นจัง’ เพราะมันดีต่อใจกว่าเยอะเลย
โลกใจร้ายกับเราเพราะตัดสินเราจากรูปลักษณ์ภายนอกมามากพอแล้ว หันกลับมาใจดีกับตัวเองหน่อยนะ
อ้างอิงจาก