“ตอนนี้ที่ย่านรังสิตมีปัญหาละเมิดสิทธิแรงงานหญิงรุนแรงมาก โดยนายจ้างบังคับว่าต้องตรวจปัสสาวะก่อน ถ้าใครตรวจเจอ 2 ขีด ต้องออกจากงาน เพราะเขาไม่อยากให้แรงงานใช้สิทธิลาคลอด กระทั่งคนงานหญิงหลายคนต้องตัดสินใจทำแท้งเพื่อจะได้มีงานทำ”
ศรีไพร นนทรีย์ นักเคลื่อนไหวกลุ่มสหภาพแรงงานย่านรังสิตและใกล้เคียง กล่าวที่เวที ‘วิกฤติความเหลื่อมล้ำด้านสิทธิและสวัสดิภาพแรงงานไทย’ ภายใต้งาน ‘มองวิกฤติ-หาโอกาส อนาคตแรงงานไทย’ จัดโดย เครือข่ายรณรงค์รัฐธรรมนูญ (CALL) เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2568
เธอเสริมว่า อีกกรณีที่หนักหนาสาหัสมากในปัจจุบันคือ ‘แรงงานข้ามชาติ’ ประกอบกับกระแสชาตินิยมที่กำลังคุกรุ่น ทำให้แรงงานกลุ่มนี้ได้รับผลกระทบรุนแรง ซึ่งจะส่งผลต่อเศรษฐกิจไทยในที่สุด
เพื่อขยายความประเด็นปัญหาที่กำลังเกิดขึ้นนี้ The MATTER จึงพูดคุย ศรีไพรเพื่อให้เธออธิบายถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้น รวมไปถึงข้อเรียกร้องต่อชีวิตและสวัสดิภาพที่ดีขึ้นของแรงงาน
สถานการณ์ของแรงงานหญิงไทย-ข้ามชาติ ตอนนี้เป็นอย่างไร
สถานการณ์โดยรวมตอนนี้ย่ำแย่มาก คือถ้าเกิดแรงงานข้ามชาติไม่ทำโอทีอยู่ไม่ได้ แล้วค่าจ้างก็ไม่ขึ้น แล้วการเข้าถึงสิทธิอะไรตอนนี้ของแรงงานก็ไม่ง่ายนัก แม้ว่าจะมีสิทธิประกันสังคมก็ตาม เพราะโรงพยาบาลประกันสังคมในขณะนี้ ไม่ค่อยต่างจาก สปสช. คนป่วยเยอะมาก
ในส่วนของคนงานที่ต้องการหางานทำ ก็ค่อนข้างมีจำนวนมาก และอยู่ในภาวะที่เลือกงานไม่ค่อยได้ อย่างแถวย่านรังสิต แถวนวนคร มีโรงงานที่จะเปิดรับสมัครเองน้อย เทียบกับในอดีตเวลาไปสมัครงาน อยากจะไปสมัครงานโรงงานไหน ก็สามารถดิ่งไปที่โรงงานนั้นได้เลย แต่ตอนนี้มันกลายเป็นว่ามีเอเจนซี่ ที่รับนโยบายของโรงงานมา เพื่อรับส่งต่อแรงงานอีกที
อย่างไรก็ตาม พอแรงงานได้เข้าไปทดลองงานครบเดือน นายจ้างก็จะพยายามเริ่มประเมินว่า จะบรรจุหรือไม่บรรจุแรงงานคนไหนบ้าง พอคนไหนมีแววที่อาจจะบรรจุ เขาก็จะส่งไปตรวจสุขภาพ ซึ่งเป็นไปตามกฎหมายแรงงาน ที่จะต้องตรวจสุขภาพ แต่การตรวจสุขภาพมันไม่ได้หมายความว่าเขาจะมีสิทธิตรวจว่าใครตั้งครรภ์ หรือมีเชื้อเอชไอวี
แต่ลูกจ้างเหล่านี้อยู่ในช่วงทดลองงาน ไม่สามารถมีปากมีเสียงได้เลย พอนายจ้างส่งไปตรวจอะไรก็ตาม ลูกจ้างก็ต้องเซ็นยินยอมต่อการตรวจนั้น เพราะถ้าไม่เซ็น อาจจะถูกปฏิเสธ ไม่ผ่านการทดลองงาน คนงานหญิงหลายคนจึงเซ็นยินยอมไป
ขอยกตัวอย่างกรณีหนึ่งว่า มีแรงงานหญิงคนหนึ่งต้องไปตรวจร่างกาย ที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ซึ่งแรงงานคนนี้เล่าให้เราฟังว่า “ถ้าเกิดตรวจ และนายจ้างรู้ว่าตั้งครรภ์ ก็จะไม่ได้งานทำ ก็เลยชิงลาออกก่อน” แรงงานหญิงคนนี้รู้ว่าตัวเองท้อง เพราะมีการตรวจเองก่อนแล้ว และการที่ชิงลาออกก่อน เพราะเธออยากจะทำงานกับที่นี่ไปนานๆ เพราะถือว่าเป็นโรงงานใหญ่และมีความมั่นคง เลยรีบลาออกจากงานก่อน ไม่อย่างนั้นก็จะมีผลว่าเธอไม่ผ่านการทดลองงาน
ต่อมาเธอก็มาติดต่อสหภาพของเรา เพื่อขอยุติการตั้งครรภ์ แต่ในขณะที่ดำเนินการยุติการตั้งครรภ์ เธอก็พยายามหางานทำกับโรงงานเล็กๆ หรือโรงงานไหนก็ได้ที่พอมีรายได้ เพื่อประคับประคองชีวิตไปด้วย เพราะว่าเพิ่งมาจากต่างจังหวัด ไม่ได้มีเงินติดกระเป๋ามากนัก เพราะแม้ว่าเธอจะเข้าสู่กระบวนการยุติการตั้งครรภ์เรียบร้อยแล้ว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ายุติสำเร็จวันนี้ และวันพรุ่งนี้ผลตรวจปัสสาวะจะขึ้น 1 ขีด มันจะต้องรอประมาณ 21 วัน หรือ 1 เดือน ผลตรวจถึงจะไม่ขึ้น 2 ขีด จึงทำให้หลายคนชิงลาออกก่อน
แต่หากต้องการย่นระยะเวลา หลังจากยุติการตั้งครรภ์ไปแล้ว 5 วัน สามารถไปอัลตราซาวด์ ซึ่งส่วนนี้ลูกจ้างต้องจ่ายเอง บางที่ราคาหลักพัน ถ้าถามว่าทำไมไม่ไปตรวจที่โรงพยาบาลรัฐ ก็เพราะโรงพยาบาลรัฐไม่รับ เขารับเฉพาะกรณีมาฝากครรภ์เท่านั้น ส่งผลให้ลูกจ้างก็ต้องไปที่คลินิกหรือไปโรงพยาบาลเอกชน ที่มันมีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง ซึ่งคนงานหลายคนไม่ค่อยมีเงิน
นอกจากนี้ ยังเคยเจอโรงงานบางแห่งที่ให้ไปตรวจสุขภาพก่อนเลย ก่อนที่จะเข้าไปทดลองงาน ถ้าเกิดตรวจสุขภาพ ไปตรวจปัสสาวะ เจอ 2 ขีด จบทันที ไม่ได้เข้าทำงาน ซึ่งขณะนี้แรงงานที่กำลังอยู่ในช่วงทดลองงาน หรือกำลังหางานกำลังประสบกับปัญหานี้หลายคน
แรงงานข้ามชาติเผชิญการเลือกปฏิบัติอย่างไร
ทั้งแรงงานไทยและแรงงานข้ามชาติต่างเผชิญเหมือนกัน แต่แรงงานข้ามชาติจะเจอหนักกว่า เพราะส่วนมากแรงงานข้ามชาติที่มาทำงานในไทย และต้องการยุติการตั้งครรภ์ จะพบกับปัญหาเยอะมาก คือหนึ่งพวกเขาเข้าไม่ถึงสิทธิ เพราะนายจ้างมักยึดใบอนุญาตการทำงาน ยึดพาสปอร์ต จำกัดการเข้าถึงสิทธิต่างๆ
หรือแรงงานข้ามชาติหลายคนที่ทำงานในฟาร์ม มักจะถูกห้ามออกข้างนอกโดยเด็ดขาด เพราะกลัวว่าถ้าออกไปจากพื้นที่ฟาร์มแล้ว จะนำโรคมาติดหมู มาติดสัตว์ที่เลี้ยง และการยุติการตั้งครรภ์ ใช้งบบริการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค ของกระทรวงสาธารณสุข ที่ระบุไว้ว่าให้เฉพาะคนที่มีสัญชาติไทยเท่านั้น ฉะนั้นคนที่เป็นแรงงานข้ามชาติ แม้ว่าจะเข้ามาถูกต้อง แบบมี MOU ก็จะเข้าไม่ถึงสิทธินี้
แต่ในช่วงกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ประกันสังคมประกาศว่าผู้ประกันตนทุกคนจะได้รับสิทธินี้ ดังนั้น ผู้ประกันตนที่เป็นคนไทย ใครจะไปยุติการตั้งครรภ์จะต้องไปที่โรงพยาบาลตามสิทธิก่อน เพื่อไปคุยกับทางโรงพยาบาลว่า “เราท้องไม่พร้อม ต้องการยุติการตั้งครรภ์” ถ้าโรงพยาบาลมีการรับบริการยุติกรณีท้องไม่พร้อม ทางโรงพยาบาลนั้นก็จะดำเนินการให้ แต่ถ้าเกิดโรงพยาบาลนั้นไม่ดำเนินการให้ บอกว่าไม่มีหมอ หรือด้วยเหตุผลใดก็ตาม ก็จะต้องออกใบส่งตัวให้ไปโรงพยาบาลอื่น
ในกรณีของแรงงานข้ามชาติใช้สิทธิจากงบดังกล่าวไม่ได้ แต่ทางเจ้าหน้าที่ประกันสังคมแจ้งว่า ผู้ประกันตนที่เป็นแรงงานข้ามชาติ ก็สามารถใช้สิทธิยุติการตั้งครรภ์ไม่พร้อม เหมือนกับแรงงานไทยได้
แต่ด้วยการที่มันเป็นเรื่องใหม่ ประกันสังคมจึงขอจัดงานสัมมนา หรือขอพูดคุยกับกลุ่มโรงพยาบาลที่อยู่ในเครือข่ายประกันสังคม เพื่อให้เข้าใจการบังคับใช้นี้ร่วมกันก่อน
อย่างไรก็ตาม จนถึงปัจจุบันยังไม่มีแรงงานไทยหรือแรงงานข้ามชาติคนไหน ใช้สิทธิยุติการตั้งครรภ์ได้เลย แรงงานถูกปฏิเสธจากโรงพยาบาลว่า ไม่มีการให้การบริการแบบนี้ และไม่มีการส่งตัว แถมไม่ใช่แค่นั้นคนงานไทยบางคนมีโทรไปสอบถามที่สายด่วนประกันสังคม ซึ่งสายด่วนประกันสังคมแจ้งกลับมาว่าไม่มีการให้บริการนี้ ซึ่งกลายเป็นว่าบุคลากรของตัวเองก็ไม่เข้าใจ แล้วโรงพยาบาลในเครือก็ไม่เข้าใจเช่นกัน
หลังยุติการตั้งครรภ์ แรงงานเหล่านี้เป็นอย่างไรบ้าง
หลายคนพอตัดสินใจไปแล้ว ยุติการตั้งครรภ์ไปแล้ว ก็มีปัญหาเรื่องสุขภาพจิตตามมา เพราะด้วยความเชื่อเรื่องบุญบาป หรือบางคนก็รู้สึกมีความผูกพันแล้ว
หลายคนยังมีเข้ามาปรึกษา ซึ่งเราก็มีการเตรียมกระบวนการการดูแล หลังจากยุติการตั้งครรภ์ เพราะบางคนเขาเหมือนจิตตก คิดวนเวียนอะไรแบบนี้ อาจจะด้วยภาวะหลังยุติการตั้งครรภ์ หรือเป็นเรื่องของความรู้สึกที่เขาไม่สามารถที่จะหลุดพ้นไปได้ หลายคนจึงถูกแนะนำให้เจอกับนักจิตวิทยา ทางองค์กรเราก็เป็นคนออกค่าใช้จ่าย
กฎหมายแรงงานเพียงพอในการคุ้มครองพวกเขาแค่ไหน?
มันไม่เพียงพอ ยิ่งภายใต้สถานการณ์ชาตินิยมเข้ามาแบบนี้ กระแสแบบนี้ ยิ่งทำให้สิทธิและงานของแรงงานข้ามชาติสูญหายไปมาก เดิมทีที่ผ่านมาพวกเขาก็ยืนอยู่ในบ้านเราแบบตัวรีบๆ อยู่แล้ว ไม่รู้สิทธิ และไม่ค่อยมีกระบวนการที่จะบอกพวกเขาเรื่องสิทธิ แม้ว่าประกันสังคมจะมีการประกาศเป็นภาษาเมียนมาก็ตาม แต่มันไม่ทั่วถึง
นายจ้างเองก็พยายามกีดกันที่จะไม่ให้รับรู้สิทธิ และยิ่งมีกระแสเรื่องชาตินิยมขึ้นมา ยิ่งทำให้พวกเขาสูญเสียสิทธิมากขึ้น หนึ่งเขาไม่ค่อยกล้าออกไปไหน กลัวโดนทำร้าย เพราะเวลาออกไปไหน พวกเขาถูกใส่สี ถูกคุกคาม ถูกข่มขู่ แล้วศูนย์การเรียนรู้หลายๆ แห่งที่ NGO เปิด เพื่อให้แรงงานข้ามชาติเรียนภาษาก็ทยอยปิดตัวไป
อย่างในย่านรังสิต ก็มีแรงงานข้ามชาติค่อนข้างเยอะ เอาเข้าจริง ๆ แรงงานข้ามชาติส่วนใหญ่ไม่สามารถพูดภาษาไทยได้ เวลาไปโรงพยาบาลก็จะต้องมีล่ามไปด้วย ล่ามก็คือนายหน้า หรือ เอเจนซี่ พอเราเดินเข้าไปถามว่า “มีอะไรให้ช่วยไหม” เอเจนซี่ก็จะรีบกีดกันเลยว่า “ไม่มี จัดการเองได้”
และอีกกรณีที่เคยเจอ คือ แรงงานข้ามชาติไปโรงพยาบาลด้วยอาการปวดท้องหนักมาก แล้วหมอบอกว่าต้องวางเงินไว้ 25,000 บาทก่อน ถึงจะตรวจให้ ถ้าไม่วางเงินก็ไม่ตรวจ พยาบาลเลยแนะนำให้ไปโรงพยาบาลรัฐบาล จะได้ถูกหน่อย ซึ่งคนปวดโอยๆ อยู่แล้ว ต้องเจอแบบนี้ นี่คือสภาพความเป็นจริงที่แรงงานข้ามชาติต้องเจอ บางคนตกนั่งร้านมาก็ต้องวางเงินก่อนถึงจะได้รับการรักษา
เหตุใดถึงไม่มีการเอาผิดกับนายจ้างที่ละเมิดสิทธิแรงงาน?
จริงๆ แล้วทางกระทรวงแรงงาน ปกติจะมีหน่วยงานที่เรียกว่า พนักงานตรวจแรงงาน ที่มีหน้าที่ต้องเข้าไปตรวจ แต่เท่าที่เคยถามแรงงาน ส่วนมากแล้วพนักงานตรวจแรงงานเวลาไปตรวจ ก็ไม่ค่อยได้ถามลูกจ้างสักเท่าไร หรือก่อนที่จะเข้าไปตรวจโรงงาน ก็มักส่งหนังสือแจ้งล่วงหน้าประมาณ 15 วัน ส่งผลให้พอถึงวันตรวจ นายจ้างก็เตรียมจัดฉากไว้เรียบร้อยแล้ว
หรือเวลาพนักงานตรวจแรงงานต้องการถามไถ่แรงงานข้ามชาติ นายจ้างก็เตรียมพวกนายหน้า มาเป็นล่ามแปล ซึ่งแปลตรง ไม่ตรง พนักงานตรวจแรงงานก็ไม่รู้ เพราะพนักงานตรวจแรงงานยังไม่มีล่ามที่พูดภาษากัมพูชา เมียนมา ลาว
แล้วเคยเกิดกรณีที่นายจ้างจะนำลูกจ้างแรงงานชาวเมียนมาไปตรวจครรภ์ พอลูกจ้างรู้ ก็หนีออกจากโรงงานไปเลย แล้วเราก็ไปตามจนเจอ พร้อมบอกกับเธอว่า “คุณไม่จำเป็นต้องหนี” ซึ่งเธอก็เข้าใจ แต่ด้วยความกลัว กลัวว่าจะถูกส่งกลับ เพราะก่อนที่จะมาไทย เธอจ่ายเงินไปหลายหมื่น ถ้าเทียบเป็นเงินบ้านเขามันเยอะมาก ดังนั้น ถ้าเกิดมาถึงไทย ต้องมีงานทำ ถ้าไม่มีงานทำ กลับไปนี่ล่มจม แรงงานคนนี้เลยเลือกที่จะหนีไป
สหภาพแรงงานฯ ก็มีไปคุยกับนายจ้างเช่นกันว่า “คุณจะเลิกจ้างคนท้องเหรอ คุณละเมิดกฎหมายนะ” นายจ้างปฏิเสธ และพูดว่า “ไม่ได้เลิกจ้าง ไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้น ลูกจ้างหนีไปเอง”
หรือแรงงานบางคนที่หนีสงคราม หนีการปราบปรามมา พวกเขาก็ต้องทำอย่างไรก็ได้ เพื่อไม่ให้ถูกส่งกลับ ยกตัวอย่างเช่น แรงงานเมียนมาคนหนึ่ง บอกว่า กลับบ้านเท่ากับกลับไปตาย เพราะครอบครัวก็ลี้ภัยไปหมด ไปอินเดีย ไปสิงคโปร์ บ้านที่เมียนมาก็ถูกเผา น้องชายถูกยิงตาย ซึ่งสิ่งเหล่านี้กระทบกับการเรียกร้องเพื่อสิทธิตัวเอง เพราะด้วยความกลัวที่จะถูกส่งกลับ
ยกตัวอย่างเหตุการณ์หนึ่ง องค์กรเรามีการเขียนภาษาเมียนมาว่า “ถ้าใครมีปัญหาอะไร สามารถมารับคำปรึกษาที่ห้องสวัสดิการแรงงาน ที่อยู่ตรงโรงอาหาร” ซึ่งทางนายจ้างก็คุยกับแรงงานข้ามชาติว่า “ถ้าเห็นใครคุยกับคนไทย จะเลิกจ้าง”
หลายๆ โรงงานทำแบบนี้ ถ้าเห็นคุยกับคนไทย จะเลิกจ้างแรงงานข้ามชาติคนนั้น ฉะนั้นพอประธานสหภาพแรงงานหรือว่าคนไทย ที่อยากจะทำงานร่วมกับแรงงานข้ามชาติ ไปแจกใบปลิว ใบโนติส อะไรก็ตาม ที่จะช่วยให้พวกเขาสามารถติดต่อเราได้ หรือให้รับรู้เรื่องสิทธิแรงงานขั้นพื้นฐาน แรงงานข้ามชาติบางคนคือวิ่งหนีเลย เหมือนเราเป็นตัวประหลาด เพราะว่าพวกเขาถูกขู่ไว้ ถูกทำให้กลัว
อยากพูดอะไรกับ นายจ้างที่ละเมิดสิทธิ คนที่ยังตีตราแรงงานข้ามชาติ และภาครัฐ
ในความที่เราเองก็เป็นลูกจ้างมาตลอดชีวิตเช่นกัน ก็คิดว่าแรงงานข้ามชาติไม่ว่าประเทศไหนก็เหมือนกัน ถ้าเขาได้รับการดูแล ไม่ถูกละเมิดสิทธิ นายจ้างให้อยู่ ให้กินแบบเป็นธรรม ให้ความมั่นคงแก่ชีวิตคนงาน ก็ไม่มีใครคิดอยากจะลาออก เพราะจริงๆ แล้ว พวกเขาก็แค่มาทำงาน ท่ามกลางสภาวะที่ไทยขาดแคลนแรงงาน
ดังนั้น คิดว่าสิ่งที่นายจ้างควรทำก็คือ การดูแลพวกเขาให้มีความเป็นมนุษย์ ไม่ต้องร่ำรวยเหมือนตัวเองก็ได้ แต่หมายถึงว่าให้พวกเขาได้มีชีวิตความเป็นอยู่แบบคนทั่วๆ ไป ให้เข้าถึงสิทธิแรงงานขั้นพื้นฐาน
ถ้าทำตามนี้ แรงงานข้ามชาติก็จะไม่ทิ้ง ไม่หนีไปไหน เพราะว่าเอาเข้าจริงๆ เหตุผลที่นายจ้างใช้แรงงานข้ามชาติ ก็เพราะเป็นงานที่แรงงานไทยไม่ทำ การที่แรงงานเข้าๆ ออกๆ สำหรับเราไม่คิดว่ามันจะเป็นผลดีต่อธุรกิจ ถ้าอยากให้ธุรกิจมันดี ก็ต้องดูแลคน ทรัพยากรบุคคลในโรงงานของตัวเองให้ดี
ส่วนสิ่งที่อยากจะบอกกับคนที่มีแนวคิดแบบชาตินิยม คือถ้าติดตามสถานการณ์ เศรษฐกิจ การเมือง สังคมในบ้านเราที่ผ่านมา ติดตามข่าวแบบใกล้ชิด ทุกคนจะเห็นว่าไทย เวลาไปทำ Free Trade ที่ไหน ก็ไปลดกำแพงภาษี ลดกำแพงพรมแดนให้กับพวกนายทุนเยอะแยะเต็มไปหมดเลย ทำไมคุณถึงไม่เคยตระหนักเรื่องนี้บ้างว่า นายทุนขายอะไรไปบ้าง เราเสียอะไรไปบ้าง
แต่พอพูดถึงสงครามชายแดน ซึ่งไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องไปยกพื้นที่ให้ประเทศนู้นประเทศนี้ มันไม่ใช่ แต่ต้องดูว่าเราถูกปั่นให้คิดเรื่องชาตินิยม เพื่อผลประโยชน์ของใครหรือเปล่า อยากจะให้ทบทวนตรงนี้
ลองมองคนที่อยู่ใกล้ๆ เรา คนในตลาด ที่เป็นแรงงานข้ามชาติ ไม่ว่าจะชาติไหนก็ตาม พวกเขาก็คือคนทำงานเหมือนกับเรา คนที่ถูกกดขี่เหมือนกับเรา ซึ่งพวกเขาถูกกดขี่หนักกว่าเราอีก เราเคยพูดกันอยู่ตลอดเวลาว่า “แรงงานทั้งผองพี่น้องกัน” คำๆ นี้มันไม่ใช่ชาติใดชาติหนึ่ง เรามารวมตัวกันสู้ เพื่อการมีอยู่มีกินของพวกเราดีกว่าไหม
สิ่งที่อยากจะบอกกับภาครัฐ คือ ภาครัฐมีหน้าที่ดูแลทุกคน ทุกเชื้อชาติที่อยู่ในรัฐอาณาจักรนี้ การเพิ่มความสะดวกในการต่อใบอนุญาตทำงานของแรงงานข้ามชาติเป็นสิ่งจำเป็น ถ้าพวกเขาต่อไม่ได้ นั่นหมายความว่าก็จะทำงานไม่ได้ ต้องทำงานแบบหลบๆ ซ่อนๆ ซึ่งเอาเข้าจริงนายจ้างยังมีความต้องการแรงงานข้ามชาติสูงอยู่