ข่าวฉาววงการสงฆ์ วนกลับมาอีกครั้ง หลัง 15 พฤษภาคม 2568 มีรายงานว่าเจ้าอาวาสวัดไร่ขิง ตกเป็นผู้ต้องสงสัยยักยอกเงินวัด นำไปเล่นพนันคาบาร่าออนไลน์ รวมกว่า 300 ล้านบาท จนเกิดการตั้งคำถามถึงความโปร่งใส และรายได้ของวัดว่ามีเท่าไร นำไปใช้ทำอะไรบ้างกันแน่ เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรก ที่การ ‘โกงเงินวัด’ เกิดขึ้น
#รูปแบบของการโกงเงินวัดที่ผ่านมา
จากข่าวที่ถูกรายงานตลอดหน้าประวัติศาสตร์ จะพบวิธีการโกงเงินวัดได้ในหลากหลายรูปแบบ แบบแรกที่เป็นข่าวใหญ่ช่วงไม่กี่ปีมานี้ คือ ‘เงินทอนวัด’ ที่มีเจ้าหน้าที่สำนักพุทธฯ ร่วมด้วย
เมื่อปี 2560 มีรายงานว่าตำรวจตรวจพบการทุจริตเงินอุดหนุนงบประมาณของ 12 วัด ใน 6 จังหวัด ความเสียหายกว่า 60 ล้านบาท โดยมีเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) เกี่ยวข้องถึง 4 คน รวมถึงอดีตผู้อำนวยการ พศ.
เหตุทุจริตนี้ เกิดขึ้นผ่านกระบวนการทางการ ที่โดยปกติแล้ว ในทุกๆ ปี รัฐบาลจะมีการตั้งงบอุดหนุนวัดทั่วประเทศ โดยเจ้าอาวาสวัดจะต้องเขียนโครงการเสนอของบประมาณกับสำนักงาน พศ. แล้วจึงจะพิจารณาอนุมัติ โดยนำไปทำกิจกรรมได้ 3 ประเภท คือ เพื่อบูรณะซ่อมแซม เพื่อการศึกษาพระปริยัติธรรม และเพื่อการเผยแพร่ดำเนินกิจกรรมทางศาสนา
ขั้นตอนสำคัญที่เกิดการทุจริต คือเมื่อวัดได้รับอนุมัติเงินอุดหนุนแล้ว จะต้องเบิกจ่ายเงิน และนำ ส่งคืนให้แก่เจ้าหน้าที่สำนักงาน พศ. ที่ไปติดต่อเพื่อเป็นค่าสินบน ซึ่งเรียกกันว่า ‘เงินทอนวัด’ ในอัตราส่วนตามที่ได้ตกลงกับเจ้าหน้าที่
ซึ่งเมื่อพบการทุจริตในปี 2560 สำนักงาน พศ. จึงเริ่มดำเนินการตรวจสอบทุจริตเงินทอนวัดร่วมกับ กองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (บก.ปปป.) จนพบเอกสารการทุจริตงบบูรณะและปฏิสังขรณ์วัด ตั้งแต่ปี 2555-2559 เป็นการเบิกจ่ายเงิน อุดหนุนวัด 33 แห่ง และจากการตรวจสอบคดีทุจริตเงินทอนวัดดังกล่าวพบมูลค่า ความเสียหายมากกว่า 270 ล้านบาท
นอกจากนั้น ยังมีกรณีขอรับเงินบริจาคเพื่อก่อสร้าง แต่ไม่ได้สร้าง อย่างในปี 2556 ที่หลวงปู่เณรคำ ฉัตติโก เปิดรับเงินบริจาคเพื่อสร้างพระแก้วมรกต (จำลอง) แต่ไม่ได้รับอนุญาตจากกรมศิลปากรในการจัดสร้าง และเปิดรับเงินบริจาคเพื่อสร้างโรงพยาบาลร้อยเอ็ด โดยไม่ได้รับอนุญาตจากกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งสุดท้ายแล้วทั้งหมดก็ไม่มีการก่อสร้างจนแล้วเสร็จ แต่เงินถูกนำไปใช้ประโยชน์ส่วนตัว
และล่าสุด อย่างกรณียักยอกเงินวัดเข้าบัญชีส่วนตัวเพื่อนำไปเล่นพนันออนไลน์ รวมถึงข่าวต่างๆ จำนวนไม่น้อยที่ยังไม่ได้หยิบยกขึ้นมาพูดถึง ก็จุดชนวนให้คนกลับมาพูดถึงกรณีการโกงเงินวัดอีกครั้ง ว่ามันเกิดขึ้นบ่อยขนาดนี้ได้อย่างไร และวิธีการใดที่จะป้องกันไม่ให้มีการทุจริตต่อๆ ไปได้
#ช่องโหว่ที่ทำให้เกิดการทุจริตคืออะไร
ธารทิพย์ ศรีสุวรรณเกศ นักวิจัยอาวุโสจากสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) สรุปว่า ช่องโหว่สำคัญที่ทำให้เกิดการโกงเงินวัดซ้ำแล้ว ซ้ำเล่า คือ ไทยมีวัดเป็นจำนวนมากกระจายทั่วประเทศ (ข้อมูลจากกองพุทธศาสนสถาน ณ วันที่ 19 พฤษภาคม 2565 มีจำนวนวัดในไทย รวมทั้งสิ้น 43,005 วัด) และวัดยังมีกิจกรรมที่ล้วนเกี่ยวข้องกับเงินอยู่หลายประการ
เพียงแค่เงินที่ได้รับอุดหนุนจากภาครัฐ ก็มีมูลค่าเฉลี่ยกว่าปีละ 3,000 ล้านบาท แล้วยังมีเงินที่ได้จากการทำบุญ กล่องรับบริจาค กฐิน ผ้าป่า และอีกหลายกิจกรรม ซึ่งเมื่อยิ่งเป็นเงินสด (เช่น เงินทำบุญหยอดตู้) ก็อาจไปอยู่ที่ไหนไม่รู้ ตรวจสอบไม่ได้
ขณะที่งานวิจัยเรื่อง การบริหารการเงินของวัดในประเทศไทย: ความสอดคล้องตามหลักธรรมาภิบาล โดย ผศ.ดร.ณดา จันทร์สม คณบดีคณะพัฒนาการเศรษฐกิจ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ เมื่อปี 2555 (ในขณะนั้นประเทศไทยมีวัดจำนวนทั้งสิ้น 37,075 วัด) ได้ทำการสำรวจวัดจำนวน 490 แห่งใน 15 จังหวัด
พบว่า วัดมีรายได้เฉลี่ยปีละ 3.2 ล้านบาท โดยมาจากเงินบริจาคเพื่อวัตถุประสงค์เฉพาะด้าน เช่น งานซ่อมเเซม เฉลี่ยประมาณ 2 ล้านบาท รองลงมาคือ รายรับจากการสร้างเครื่องบูชา เฉลี่ยประมาณ 1.4 ล้านบาท เเละเงินบริจาคในโอกาสพิเศษเฉลี่ยประมาณ 1 ล้านบาท
ขณะที่รายจ่ายอยู่ที่ประมาณ 2.8 ล้านบาท โดยมากเป็นค่าก่อสร้างเเละซ่อมเเซม รองลงมาเป็นค่าบำรุงรักษาสถานที่เเละอุปกรณ์ ทั้งนี้ เมื่อคูณกับรายได้ของวัดกับจำนวนวัดที่่มีอยู่ในประเทศไทย คาดกันว่าแต่ละปีจะมีเงินหมุนเวียนในวัดประมาณ 1-1.2 แสนล้านบาท
แต่การบริหารจัดการการเงินจำนวนมากของแต่ละวัด แทนที่จะอยู่ภายใต้การดูแลของผู้เชี่ยวชาญหรือนักบัญชีมืออาชีพ กลับเป็นหน้าที่ของเจ้าอาวาสวัด ซึ่งถ้าหากรู้ไม่เท่าทัน ก็อาจมีผู้ไม่ประสงค์ดีจะใช้เป็นช่องทางในการกระทำความผิด (หรือหลายครั้ง เจ้าอาวาสอาจกระทำผิดเอง)
แม้กฎหมายจะกำหนดให้วัดต้องมีการจัดทำบัญชี แต่ก็ไม่ได้มีเป้าหมายเปิดเผยสาธารณะเป็นหลัก และไม่ได้ถูกตรวจสอบอย่างจริงจัง โดยงานวิจัยเรื่อง กระบวนการทุจริตในวงการพระพุทธศาสนา จากมหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม ในปี 2562 ชี้ว่า หลักๆ แล้วการทุจริตเกิดจากความบกพร่องในทางปฏิบัติของระเบียบที่เกี่ยวข้อง ทั้งการจัดการบัญชี การตรวจสอบเงิน
และเมื่อขาดการตรวจสอบ จึงมีกลุ่มบุคคลอาศัยช่องว่างนี้กระทำการทุจริต ดังเช่นเหตุการณ์ ‘เงินทอนวัด’ ที่ทอนกันอยู่โต้งๆ แต่กว่าจะพบการกระทำผิด ก็เกิดความเสียหายหลักร้อยล้านบาทแล้ว
งานวิจัยดังกล่าว สรุปว่า กระบวนการทุจริตในวงการพระพุทธศาสนา เป็นการทุจริตแบบเป็นกระบวนการ และเกิดจากระบบอุปถัมภ์และสมประโยชน์ ที่เป็นปัจจัยทำให้ลงมือทุจริตนั่นเอง
#ข้อเสนอเพื่อการเงินวัดโปร่งใส
จากหลายแหล่งข้อมูล เคยได้มีการเสนอข้อเสนอแนะเพื่อปฏิรูปการจัดการการเงินของวัด เพื่อให้มีความโปร่งใส ตรวจสอบได้ และไม่เกิดการทุจริต ดังต่อไปนี้
- ด้านกฎหมาย ควรปรับปรุงแก้ไขให้ทันสมัยมากขึ้น เนื่องจากบทบัญญัติที่ใช้อยู่นั้น ประกาศออกมาตั้งแต่ปี 2511 จึงอาจไม่มีความทันสมัยและเหมาะสมกับการจัดการในยุคปัจจุบัน
- การกำหนดให้จัดทำบัญชีเพียงอย่างเดียวนั้น ไม่เพียงพอ จะต้องกำหนดให้มีการเผยแพร่และรายงานสู่สาธารณะด้วย
- หน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะ พศ. ควรกำหนดให้วัดได้มีการจัดทำรายทางการเงินเป็นประจำทุกปี และนำส่งให้สำนักงาน พศ. รวบรวม และมีการตรวจสอบโดยผู้สอบบัญชีรับอนุญาตเป็นประจำ
- พศ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ควรเร่งพัฒนาบุคลากรที่จะมีความรู้ความสามารถในการบริหารจัดการทางด้านการเงินให้แก่วัดให้มีระบบการทำงานที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
ผศ.ดร.ณดา ระบุว่า การบริหารจัดการเงินนั้นไม่ใช่เรื่องยาก แม้เม็ดเงินจะมาจากหลายหลายช่องทาง แต่ยืนยันว่าสามารถบริหารอย่างเป็นระบบ โปร่งใส เพื่อปิดช่องไม่ให้กลุ่มบุคคลเข้าไปหาประโยชน์กับวัดได้
อ้างอิงจาก
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JMND/article/download/227494/162327/805523
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jmb/article/view/276650
https://tdri.or.th/2021/03/anti-corruption-temple-frauds/