หรือเราไม่เคยหมดรักกัน…?
หนึ่งในความคิดฟุ้งซ่านที่นานๆ เกิดขึ้นที… ถ้าวันนั้นไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้น วันนี้ ‘เรา’ อาจจะยังรักกัน ยังคงได้อยู่ในความสัมพันธ์ที่เคยมี ป่านนี้จะเป็นยังไงนะ หลายครั้งที่ใจของเราล่องลอยกลับไปสู่ความรักครั้งก่อน ต่อให้หัวใจเราอาจจะร้าวหน่อยๆ แต่แน่นอนว่าทุกครั้งที่เรานึกไปถึงห้วงความสัมพันธ์ครั้งนั้น หัวใจเรามักจะอาบด้วยความรู้สึกอบอุ่น
ความรู้สึกที่ทั้งเสียดายแต่ก็สวยงามนี้เกิดขึ้นนานๆ ครั้งก็ดีแหละ แต่วันดีคืนดีโลกก็อาจจะเล่นตลกกับเราโดยการให้คนเคยรักสองคนบังเอิญกลับมาเจอกันอีกครั้ง เพลง ‘ถ่านไฟเก่า’ ของพี่เบิร์ดและเพลง ‘ขอ’ ของวง Lomosonic ดังขึ้นวนเป็นเพลงประกอบอยู่ในหัว จะให้ทำอย่างไรในเมื่อหัวใจมันห้ามกันยาก ไม่ว่าจะเลิกรากันด้วยดีหรือไม่ การกลับมาเจอกันหรือมีปฏิสัมพันธ์กันอีกครั้งย่อมทำให้หัวใจดวงน้อยๆ ของเราสั่นไหว
มีกฏเหล็กของโลกข้อหนึ่งกล่าวว่า “เรื่องที่จบไปแล้วก็ให้มันจบไป” รักครั้งเก่าคือเรื่องราวที่เอาไว้จดจำไม่ใช่รื้อฟื้น แต่เชื่อว่าในหลายความสัมพันธ์ที่สิ้นสุดลง ในใจของเรายังคงสงสัยเสมอว่า รักครั้งนั้นมีจริงหรือเปล่า เมื่อเรารักใครแล้ว เราจะหมดรักได้จริงหรือ บางทีใครอีกคนอาจจะยังรักเราเหมือนกันรึเปล่า เรามีทางที่จะแก้ไขอะไรบางอย่างได้ไหม นี่เราทิ้งสิ่งล้ำค่าไปแล้วหรือเปล่า คำถามนับล้านนี้ แง่หนึ่งก็ยุติได้ง่ายๆ ด้วยการตัดใจตามคำแนะนำ
แต่ตัดใจมันง่ายเมื่อไม่ต้องเจอหน้าไง หลายครั้งพอได้เจอหน้ากัน แถมเหตุการณ์ต่างๆ พาไป ไม่แปลกที่เราจะเผลอไผลและกลับไปสู่ความสัมพันธ์ของรักครั้งเก่าอีกหน ทำไมถ่านไฟเก่าจึง ‘คุง่าย’ และ ‘คุแรง’ แล้วเมื่อถ่านไฟเก่าของเราทำท่าจะกลับมา เราจะลองใหม่ดีไหม
การกลับมาของอดีตอันหวานฉ่ำ
ทุกคนมีโมเมนต์ที่บอกว่า ไม่เอาแล้วโว้ย มันจบไปแล้ว เราเข้มแข็งแล้ว
แต่วันหนึ่ง เมื่อเรากลับไปเจอใบหน้าและรอยยิ้มนั้นอีกครั้ง แม้กาลเวลาจะผ่านไปเนิ่นนานแค่ไหน ใครคนนั้นเปลี่ยนแปลงไปมากเท่าไหร่ แต่สุดท้ายก็จะมีบางอย่างที่กระตุ้นความรู้สึกของเรา บางอย่างที่ทำให้เรา ‘รัก’ คนคนนั้น และเราอาจจะพบว่าความรู้สึกนั้นไม่เคยจางหายไปเลย
วินาทีนั้นเอง ความเข้มแข็งของเราในตอนแรกก็ดูจะอันตรธานหายไป ใจดวงน้อยๆ ของเราถูกดึงกลับเข้าสู่ห้วงของกาลเวลา เราถูกดูดกลับไปสู่ความหลังอันสวยงาม สู่ความรู้สึกที่เราเคยชิน สู่ความอบอุ่นลึกซึ้ง เป็นความรู้สึกที่รุนแรงของห้วงรักในวัยแรกแย้ม
แฟนตาซีและการหวนกลับไปสู่อดีต (nostalgia) เป็นแกนกลางสำคัญที่ทำให้ความรู้สึกที่เกิดกับคนรักเก่าเข้มข้นรุนแรง Helen Fisher นักมานุษยวิทยาที่ The Kinsey Institute and Scientific พูดถึงการรีเทิร์นของถ่านไฟเก่าว่า เพราะคนสองคนรู้จักกันอย่างลึกซึ้ง และมนุษย์มีแนวโน้มที่จะจำแต่เรื่องราวดีๆ ความทรงจำของความรักจึงเป็นสิ่งที่ถูกปลุกให้ลุกโชนขึ้นอีกครั้งอย่างง่ายดาย และที่สำคัญ การกลับมาชอบกันอีกครั้งก็เกิดขึ้นได้เป็นเพราะคนคนนั้นมีคุณสมบัติบางอย่างที่เราพึงพอใจแต่แรก ก็คนคนเดิม รอยยิ้มแบบเดิมๆ อารมณ์ขันแบบเดิมๆ มันชอบไปแล้ว สุดท้ายก็ชอบอยู่ดีไง
กูรูหลายท่านอ่านถึงตรงนี้ก็คงเอามือลูบเคราและบอกว่า นี่ไง ความรู้สึกนี้เป็นแค่การที่ ‘คน’ เอาตะกอนของอดีตกลับขึ้นมาอีกครั้ง Joe Carver นักจิตวิทยาคลินิกเลยเตือนว่า คนเรามีแนวโน้มจะจำและยึดกับความทรงจำที่อบอุ่นอยู่แล้ว ยิ่งเป็นเรื่องของความรัก ยิ่งเป็นเรื่องง่ายที่เราจะถูกดึงกลับไปตอนวัย 17-18 จนบางครั้งอาจลืมไปว่าเราเปลี่ยนไปขนาดไหน ลืมกระทั่งว่าตอนนี้เราใช้ชีวิตอยู่ในปี พ.ศ. อะไร หรือลืมว่าเราเปลี่ยนไปจาก 10 ปี หรือ 20 ปีที่แล้วแค่ไหน
กลับไปดีหรือไม่กลับไปดี คำตอบในปัจจุบันอยู่ตรงไหน
มีงานศึกษาว่าด้วยการกลับไปหาคนรักเก่า 2 ชิ้นที่ให้ผลตรงข้ามกัน ซึ่งพอเข้าใจได้เพราะ งานศึกษาหนึ่งสำรวจคู่ที่เลิกร้างกันไปด้วยปัจจัยอื่นๆ แต่ต่อมาก็หวนกลับมารักกันได้ดี ส่วนอีกงานศึกษาหนึ่งพบว่าการรักๆ เลิกๆ นั้นนำไปสู่ปัญหาสุขภาพจิตได้
งานศึกษาจาก California State University ศึกษากลุ่มตัวอย่างจำนวน 1001 คน คนเหล่านี้เป็นคนที่เลิกร้างหรือแยกจากคนรักเก่าด้วยดี (อาจจะถูกขัดขวาง หรือต้องยุติความสัมพันธ์ด้วยเหตุผลบางประการ) และคนที่แยกจากคนรักนี้ต่างก็พยายามกลับไปหาคนรักเก่าของตนอีกครั้ง จากการสำรวจพบว่า 72% ของคน 1001 คนนี้บอกว่าเขาหรือเธอสามารถกลับมาอยู่ร่วมกับคนรักเก่าได้อีกครั้ง และ 71% บอกว่าการกลับมาของรักเก่าครั้งใหม่นี้เป็นความรักที่เข้มข้นมากขึ้น
Nancy Kalish บอกว่าในกรณีของความรักครั้งเก่า เช่นการแต่งงานเมื่อตอนวัยรุ่นและแยกกันด้วยความจำเป็น เมื่อเวลาผ่านไป ทั้งคู่ต่างต้องการแก้ไข ‘สิ่งที่ไม่ถูกต้อง’ และต่างก็พบว่าคนที่เลิกร้างไปนี่แหละเป็นคนที่ใช่และคนสุดท้ายในท้ายที่สุด
ฟังดูเป็นฉากหนึ่งของหนังรักหวานๆ สักเรื่องที่เราจะกลับมาพบว่า เรายังคงรักเขาอยู่ และแน่นอนว่าอีกฝ่ายเองก็บอกว่ายังรู็สึกรักเราอยู่เช่นกัน
ในทางกลับกัน งานศึกษาล่าสุดจากปีที่แล้ว (2018) พบว่า ความสัมพันธ์ที่กลับไปกลับมา เดี๋ยวอยู่ด้วยกัน เดี๋ยวก็เลิกกัน นำไปสู่ความตึงเครียดทางความรู้สึก และถึงขั้นส่งผลเสียต่อสภาพจิตใจ ทั้งนี้การที่งานศึกษาดังกล่าวได้เก็บข้อมูลภาพรวมของความสัมพันธ์รักๆ เลิกๆ เหล่านี้อาจทำให้สันนิษฐานได้ว่าในความสัมพันธ์ที่รักๆ เลิกๆ อาจเป็นความสัมพันธ์ที่ไม่ค่อยดีในตัวเองอยู่แล้ว
J. Kale Monk ผู้วิจัยจึงบอกว่า มีความเป็นไปได้ที่ความสัมพันธ์รักๆ เลิกๆ จะเป็นความสัมพันธ์ที่เป็นพิษ เช่น มีความรุนแรงอยู่ในนั้น แต่คนเราก็มีแนวโน้มจะเอาตัวเองกลับไปอยู่ในความสัมพันธ์เชิงลบซ้ำๆ อาจจะด้วยความรู้สึกบางอย่าง ด้วยความจำเป็น หรือความคุ้นเคย ผู้วิจัยจึงแนะว่า เราเองก็ต้องใช้เหตุผลในการพิเคราะห์การกลับไปสู่ความสัมพันธ์เดิมๆ ให้ดี
แต่เราก็ชอบบอกว่าให้ใช้เหตุผลสิ อยู่กับปัจจุบันสิ แต่บางทีชีวิตไม่ได้ง่ายขนาดนั้น เราเองอาจใช้ชีวิตปนเประหว่างโลกแห่งความจริงและความฝันเฟื่อง ระหว่างเหตุผลและความรู้สึก ระหว่างปัจจุบันและความหวัง เราเองอยู่ใน ‘ระหว่าง’ ของหลายๆ สิ่งเสมอ สุดท้ายอาจไม่มีคำตอบตายตัวว่าเราจะจุดถ่านไฟเก่าดีไหม คนๆ นั้นยังเป็นคนที่ใช่รึเปล่า เราสามารถแก้ไขอะไรได้จริงๆ ไหม หรือการเติบโตและบทเรียนในชีวิตหลังความรักครั้งเก่าจะเปลี่ยนเราหรือเขาไปขนาดไหน
ความรักคือการลอง ไม่ว่าจะลองกลับไปรักใหม่หรือลองเดินจากไป ในเส้นทางของความสัมพันธ์ก็มักเป็นเส้นทางที่มีความเจ็บปวดเจืออยู่เสมอ แต่เราเองก็มีเครื่องมือเล็กๆ เช่น เหตุผล ตรรกะ การคิดวิเคราะห์ทั้งหลายที่พอจะช่วยไม่ให้เราเจ็บปวดมากจนเกินไปได้เช่นกัน
อ้างอิงข้อมูลจาก