รักที่ไม่มีเงื่อนไขคืออะไรกันนะ?
เราเคยได้ยินเทเลอร์ สวิฟต์ (Taylor Swift) พูดถึงความรักที่ไม่มีเงื่อนไขในรายการ Radio 1 Live Lounge เอาไว้ว่า “เพลงที่ฉันเลือกมาร้องในวันนี้คือ ‘Can’t Stop Loving You’ โดย ฟิล คอลลินส์(Phil Collins) ฉันชอบเพลงนี้สุดๆ ตั้งแต่เพลงนี้ออกมา ฉันจำได้ว่าแหกปากตะโกนไปพร้อมกับเพลงนี้ระหว่างที่ฉันกำลังขับรถเล่นในแนชวิลล์ด้วยใบขับขี่ใบแรกของฉัน”
“ความรักที่ถูกพูดถึงในเพลงนี้คือความรักที่ไม่มีเงื่อนไข ความรักที่ไม่มีเงื่อนไขที่แท้จริงคงจะเป็นอะไรแบบ คุณเคยรักใครสักคนมากๆ เสียจนที่ว่าวันหนึ่งถ้าเขาไม่ได้รักคุณอีกต่อไปแล้ว คุณก็ยังยืนยันจะรักเขาต่อไป นั่นแหละสิ่งที่เพลงนี้จะพูดถึง มันเป็นเพลงที่โคตรเศร้า แต่ก็สวยงามที่สุดเช่นกัน”
เมื่อเรารักใครสักคนอย่างแท้จริง
เรารักใครสักคนที่อะไร?
ดวงตาสีสวยคู่นั้น สัมผัสจากมือเขาที่ได้รับทีไรก็รู้สึกอบอุ่นหัวใจ ความรู้สึกเหนื่อยล้าที่หายไปในยามที่เขากอดเราเอาไว้ รอยยิ้มของเขาที่เปี่ยมล้นไปด้วยความรู้สึก หรือความเข้าใจที่เขามีให้กับเรื่องที่เรารู้สึกว่าคงไม่มีใครบนโลกนี้เข้าใจได้ดีเท่าเขาอีกแล้ว
ความรักจะเกิดขึ้นในตอนไหน? ตามความคิดเห็นของ เคธี แมคคอย (Kathy McCoy) นักบำบัดคู่สมรสและครอบครัว ความรักที่สุกงอมจะเกิดขึ้นหลังจากภาพฝันที่สวยงามและความโรแมนติกจาก ‘ความชอบ’ เริ่มจางหายไป หลังจากนั้นเราจะโฟกัสที่ ‘ความรัก’ มากขึ้น และมันสามารถพัฒนาไปสู่ความรักที่สามารถเป็นได้จริง ยั่งยืน และอยู่ไปชั่วนิรันดร์
การจะรักใครสักคนที่ตัวตนของเขานั้นใช้เวลาและความเข้าใจ ความรักไม่ใช่การ ‘มองข้าม’ ข้อเสีย และซุกความรู้สึกของตัวเองเอาไว้ใต้พรม รอจนกว่าวันใดวันหนึ่งจะมีอะไรมาเลิกพรมให้เปิดขึ้น แล้วความรู้สึกของเราก็ล้นทะลักออกมาจากใต้พรม จนเก็บกวาดกลับไปใหม่ไม่ไหว แต่ความรักคือการ ‘เข้าใจ’ ทั้งข้อดีและข้อเสีย เราไม่ได้แกล้งทำเป็นมองไม่เห็นมัน เรารู้ว่ามันมีอยู่จริง และพยายามที่จะเข้าใจเพื่อหาทางออกที่อยู่ตรงกลาง
การยอมรับในตัวตนของคนรัก ไม่ว่าจะเป็นทั้งข้อดีและข้อเสีย จะนำมาซึ่งความรักที่อบอุ่นใจ ความรู้สึกปลอดภัยทางด้านอารมณ์ และความสุขที่ยั่งยืน เมื่อเรา 2 คนเห็นตัวเองในเวอร์ชั่นที่เป็นจริงที่สุดแล้ว เราต่างฝ่ายจะต่างมีแนวโน้มที่จะไม่ทำให้ใครต้องผิดหวัง
เมื่อเขาไม่ได้รักเราอีกต่อไป
“ยังจำได้ไหม? ตอนนั้นที่เธอ..”
“เราเคยพูดแบบนั้นด้วยเหรอ?”
ทั้งที่เราเคยรักกันมากขนาดนั้น เราวาดฝันไว้อย่างสวยงามว่ามันจะเป็นรักนิรันดร์ มันเป็นเรื่องเจ็บปวดที่เราต้องมองคนที่เรารักค่อยๆ หมดรักเราไปทีละนิด จากที่เคยคุยกันได้ทั้งคืนแบบไม่รู้จบ กลับกลายเป็นเพียงข้อความสั้นๆ ว่า “เป็นยังไงบ้าง” ที่ไม่สามารถสัมผัสได้ถึงความรู้สึกอบอุ่นเหมือนเคย ความทรงจำที่เคยมีร่วมกัน มีเพียงเราเท่านั้นที่เป็นฝ่ายจดจำมันได้
ในช่วงแรกของความเสียใจ เราจะบอกตัวเองว่า ไม่ว่าเขาจะเป็นอย่างไร เรายังรักเขาต่อไปได้เสมอ ต่อให้เขาไม่รักเราแล้ว ต่อให้ทุกคำพูดของเขาจะเย็นเยียบจนทำร้ายจิตใจเราไปนับร้อยครั้ง ยังไงเราก็ยืนยันที่จะรักเขาอยู่ แม้ว่าเขาจะพยายามสะบัดมือเราที่เกาะกุมเขาไว้จนสุดแรง เราก็ยืนยันจะเอื้อมมือไปคว้าเขากลับมาเหมือนเดิม
แต่นั่นคือความรักหรือเปล่า? เราสามารถเอา 5 ลำดับขั้นตอนของการสูญเสียมาพูดกันได้ในตอนนี้ เพราะในยามที่เราสูญเสียใครสักคนไป ขั้นตอนแรกเลยคือเราจะ ‘ปฏิเสธ’ ความจริงที่เกิดขึ้น เขาไม่รักเราแล้ว? ไม่หรอก เขาต้องมีความอาลัยอาวรณ์กันบ้างแหละ ยังไงเราก็จะรักเขาเหมือนเดิม แม้ความเป็นจริงจะไม่เหมือนสิ่งที่เราคิดในหัวเลยสักนิด แต่นั่นคือกลไกการป้องกันตัวของเราเอง
เมื่อเราก้าวออกมาจากขั้นตอนของการปฏิเสธความจริงได้ เมื่อนั้น ความรู้สึกที่ซ่อนอยู่ในเบื้องลึกของใจเราจะค่อยๆ ล้นทะลักออกมา เราจะผ่านอีก 4 ขั้นตอนของการสูญเสีย และในวันหนึ่งเราจะยอมรับความจริงที่เกิดขึ้นได้ และสามารถตัดสินใจได้ว่าเราจะยังรักเขาต่อไปได้อีกหรือไม่
แล้วเราจะรักใครสักคนโดยที่เขาไม่รักเราได้จริงเหรอ?
เรื่องนี้ไม่มีคำตอบตายตัว เพราะคำตอบจะแตกต่างกันไปตามวาระของแต่ละคน ถ้าเราทบทวนความสัมพันธ์ที่ผ่านมาแล้วพบว่าเป็นความสัมพันธ์ที่เป็นพิษ มีเพียงเราเองที่พยายามอยู่คนเดียว ถ้าการ ‘ไม่รักอีกต่อไปแล้ว’ ของเขาเป็นความตั้งใจที่จะสร้างความรู้สึกเจ็บปวดให้กับเรา ความเย็นเยียบของเขามันเหมือนกับน้ำแข็งที่กัดกินใจจนชาไปหมด การรักเขาต่อไปอาจไม่มีประโยชน์อันใด
แต่สำหรับคนที่รักกันมาอย่างตั้งใจเสมอมา มันอาจจะไม่ใช่การ ‘ไม่รักอีกต่อไปแล้ว’ แต่เป็น ‘ไม่สามารถจะรักเหมือนเดิมได้อีก’ เพราะในทุกครั้งที่เราโคจรกลับมาเจอกัน ใบหน้าของเขา คำพูดของเขา และสัมผัสของเขา ยังทำให้ส่วนใดส่วนหนึ่งของใจอบอุ่นราวกับได้กลับบ้าน ก็ไม่ใช่เรื่องผิดอะไรที่เราจะยังรักเขาเหมือนที่เคยรักเสมอมา
และแม้ว่าในวันนี้เขาจะไม่ได้รักเราอีกต่อไปแล้ว แต่อย่างน้อยความรู้สึกระหว่างเราก็เคยเกิดขึ้นจริงในชั่วขณะหนึ่ง
อ้างอิงจาก
Graphic Designer: Manita Boonyong
Proofreader: Runchana Siripraphasuk