16 ปีหลังจากพิชิตยอดเขาเอเวอเรสต์ในฐานะคนไทยคนแรกได้สำเร็จ วิทิตนันท์ โรจนพานิช สร้างประวัติศาสตร์อีกครั้ง
ด้วยการปีนยอดเขา ‘ยาซา ทัก’ (Yasa Thak) ประเทศเนปาล ที่ระดับความสูง 6,141 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ได้สำเร็จเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2567 ที่ผ่านมา
ตามธรรมเนียมทั่วไป ผู้พิชิตยอดเขามักจะได้รับเกียรติให้ตั้งชื่อยอดเขานั้นๆ เช่นเดียวกับที่เนปาล ภายหลังวิทิตนันท์พิชิตยอดเขายาซา ทัก เขาได้ยื่นเรื่องต่อสมาคมปีนเขาแห่งเนปาล (Nepal Mountaineering Association) ซึ่งกำลังเสนอต่อรัฐบาลเนปาล ให้ตั้งชื่อยอดเขาดังกล่าวว่า ‘เอคโค พีก’ (Echo Peak)
“นัยยะหนึ่งคือ เสียงสะท้อนของความรักและความผูกพันของไทยและเนปาล เป็น echo of love ไม่จบสิ้น” วิทิตนันท์อธิบายเหตุผลของการตั้งชื่อ
ไม่เพียงแค่เป็นความสำเร็จส่วนบุคคล เรื่องราวเรื่องนี้ยังช่วยส่งเสริมความสัมพันธ์ ไทย–เนปาล ที่ดำเนินมาได้ 65 ปี ซึ่งยังประกอบไปด้วยภารกิจต่างๆ นอกจากการปีนเขา ที่วิทิตนันท์ทำ ในการพัฒนาสังคมเนปาลและไทย ในฐานะนายกสมาคมมิตรภาพไทย–เนปาล
The MATTER ชวนย้อนเรื่องราวของ วิทิตนันท์ โรจนพานิช นับตั้งแต่พิชิตยอดเขาเอเวอเรสต์ ‘Seven Summits’ หรือยอดเขา 7 ยอด ที่สูงที่สุดในแต่ละทวีป มาจนถึงการปีนเขา ยาซา ทัก และความพยายามเพิ่มชื่อ เอคโค พีก ให้กับยอดเขา
จากเด็กรักผจญภัย สู่ความฝันพิชิตยอดเขาแห่งหิมาลัย
“ต้องบอกก่อนว่า ชีวิตผมเอง ก็เป็นคนปกติธรรมดา เป็นคนเกิดในครอบครัวชนชั้นกลาง” วิทิตนันท์ เล่าระหว่างการบรรยายในงาน ‘ก้าวสู่ยอดหิมาลัย เชื่อมสายใยไทย–เนปาล’ ณ กระทรวงการต่างประเทศ เมื่อวันที่ 20 มกราคมที่ผ่านมา
ในสมัยมัธยมฯ ปลาย เขาใช้สิทธิตั๋วฟรีจากการที่คุณพ่อทำงานบริษัทการบินไทย เพื่อไปท่องเที่ยวแบ็กแพ็กในยุโรป โดยเก็บเงินสำหรับค่าใช้จ่ายอื่นๆ เอง “ทำให้ผมได้เห็นว่า เอ๊ะ จริงๆ โลกใบนี้มันกว้างขวางใหญ่โต และมันไม่ใช่มีแค่ในประเทศเรา และทำให้มีความรู้สึกว่าชอบผจญภัย ก็เลยเริ่มต้นจากการเป็นนักผจญภัย ขี่มอเตอร์ไซค์ ไปดำน้ำ
“ฝันตอนแรกที่ว่าสูงสุดตอนนั้นคือ เป็นนักบิน ก็เก็บสตางค์ แล้วก็ไปเรียน ได้ PPL License ก็เป็นนักบินจริงๆ” เขาเล่าต่อมา
“ทุกคนบอกว่า เป็นไปไม่ได้หรอก ทุกคนพูดกับผมแบบนี้ทุกคน ทุกครั้งที่เขาบอกว่าเป็นไปไม่ได้ ผมก็ทำให้มันเป็นไปได้ทุกครั้งนะ ก็เลยเริ่มรู้สึกว่า อะไรคือข้อจำกัดของชีวิต เมื่อเรามีชีวิตอยู่”
จุดเปลี่ยนเกิดขึ้นเมื่อเขาได้พบกับ สาโรจน์ เปรื่องวิริยะ รุ่นพี่ที่ได้ไปดำน้ำด้วยกันที่เบอร์มาแบงก์ (Burma banks) ประเทศเมียนมา และเจ้าของบริษัทนอร์ก้า ซึ่งชักชวนให้วิทิตนันท์ปีนยอดเขาเอเวอเรสต์ โดยอาสาเป็นสปอนเซอร์ให้ทั้งหมด ครอบคลุมค่าใช้จ่ายราว 3 ล้านบาท หวังให้คนไทยมีชื่อเสียงทัดเทียมคนชาติอื่นๆ
โปรเจ็กต์นี้เริ่มต้นขึ้นเมื่อปี 2546 อย่างไรก็ดี บริษัทของสาโรจน์ประสบปัญหา จึงต้องขอยุติ วิทิตนันท์ตระเวนหาสปอนเซอร์ใหม่เป็นเวลาหลายปี
จนกระทั่งได้ลงเอยด้วยการทำงานให้กับบริษัทรายการโทรทัศน์เวียดนาม Lasta Joy Stock วิทิตนันท์รับหน้าที่เป็นโปรดิวเซอร์และช่างภาพให้กับรายการเรียลลิตีโชว์ ติดตามนักปีนเขาสู่ยอดเอเวอเรสต์ ทำให้เขาได้ติดตามขึ้นไปบนยอด และพิชิตความฝันของเขาไปพร้อมๆ กันด้วย
8,848 เมตร: คนไทยคนแรกที่ปีนยอดเขาเอเวอเรสต์
22 พฤษภาคม 2551 ความฝันของเขาเป็นจริง วิทิตนันท์พิชิตยอดเขาเอเวอเรสต์ ที่ความสูง 8,848 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล ในฐานะคนไทยคนแรก ได้สำเร็จ
ชั่วขณะนั้นผมคิดไปว่า โลกเรานี้ช่างสวยงามและยิ่งใหญ่เหลือเกิน ในขณะที่มนุษย์อย่างเรานั้นช่างเล็กเหมือนฝุ่นผง เวลาในชีวิตของเราก็แสนสั้น ไม่อาจเทียบกับขุนเขายิ่งใหญ่ตรงหน้าได้เลย ผมสูดหายใจเข้าเต็มปอดแล้วบอกกับตัวเองว่า นี่อาจเป็นลมหายใจบนพื้นที่ที่สูงที่สุดในโลกครั้งเดียวและครั้งสุดท้ายก็เป็นได้ บัดนี้ผมสามารถนอนตายตาหลับแล้ว
ข้างต้นคือบันทึกความประทับใจ ที่วิทิตนันท์เคยเขียนไว้ในนิตยสาร สารคดี ฉบับที่ 285 พฤศจิกายน 2551
“เป็นความงามที่อันตราย” คือคำจำกัดความที่เขาให้ไว้กับยอดเขาแห่งนี้
อันตรายประการแรก คือ ออกซิเจนที่ลดเหลือเพียง 6% จากเดิมที่ปกติจะมี 21% ในอากาศที่มนุษย์ใช้หายใจ ประการต่อๆ มา คือ หุบเหวที่มีตั้งแต่ 5-500 เมตร เหตุหิมะถล่ม และอาการบาดเจ็บจากหิมะกัด (frostbite)
“การปีนเอเวอเรสต์ ไม่ใช่ใครอยากจะไปปีนก็ไปปีนได้เลย เพราะสถิติ ขาขึ้น 10 คน ตาย 1 คน ขาลง 6 คน ตาย 1 คน ก็หมายความว่า การเดินทางมันเต็มไปด้วยอุปสรรค มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ร่างกายต้องแข็งแรง จิตใจต้องเข้มแข็ง และต้องมีความรู้” เขาอธิบาย
เส้นทางการปีนเขาไม่ได้สิ้นสุดอยู่แค่นั้น หลังจากนั้น วิทิตนันท์ยังได้ไปพิชิตยอดเขา 7 ยอด ที่สูงที่สุดใน 7 ทวีป หรือที่เรียกรวมกันว่า Seven Summits ซึ่งนอกจากเอเวอเรสต์ ก็ประกอบไปด้วย ยอดเขาเอลบรุส (Elbrus) ยอดเขาอากอนกากวา (Aconcagua) ยอดเขาคิลิมันจาโร (Kilimanjaro) ยอดเขาวินสันแมสซิฟ (Vinson Massif) ยอดเขาคาร์เตนส์ซ พีระมิด (Carstensz Pyramid) และยอดเขาเดนาลี (Denali)
การพิชิตยอดเขาเหล่านี้ได้รับการถ่ายทอดในรายการ ‘สุดฟ้าท้าโลก’ ทางสถานีโทรทัศน์ ช่อง 3 เมื่อปี 2556
พิชิต ยาซา ทัก (Yasa Thak) สะท้อนสัมพันธ์ ไทย–เนปาล
“ตอนที่ไปเทรนที่เอเวอเรสต์เบสแคมป์ (Everest Base Camp) ก่อนจะกลับมาเมืองไทย ความรู้สึกอยู่ๆ น้ำตาไหล แล้วก็หันกลับไปมองภูเขา ก็มีอะไรบางอย่างบอกว่า เดี๋ยวเธอจะกลับมา” วิทิตนันท์เล่า
“ตอนนี้ไป–กลับ ผมว่ามากกว่า 30 ครั้ง”
ความผูกพันระหว่างวิทิตนันท์กับประเทศเนปาลเกิดขึ้นระหว่างปีนเขา จนมาถึงปัจจุบัน เขารับหน้าที่เป็นนายกสมาคมมิตรภาพไทย–เนปาล เพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศในภาคประชาชนด้วย
“ผมว่ามันคือวัฒนธรรม คนไทยกับคนเนปาลมีความใกล้เคียงกันมาก คนเนปาลน่ารัก และสำคัญคือ ผมว่ารากของวัฒนธรรมของเราส่วนหนึ่ง พัฒนามาจากเนปาล และอินเดีย”
ที่ผ่านมา มีหลายโครงการที่เขาได้ร่วมทำเพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์และพัฒนาสังคมในเนปาล เช่น ในช่วงหลังแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในเนปาลเมื่อปี 2558 เขาได้ระดมทุน และทำงานร่วมกับสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย (AIT) เพื่อสร้างบ้านในเนปาล
จนกระทั่งนำมาสู่ความคิดในการพิชิตยอดเขาเปิดใหม่ ซึ่งท้ายที่สุด เขาตั้งเป้าไว้ที่ ยอดเขายาซา ทัก (Yasa Thak) ที่มีความสูง 6,141 เหนือระดับน้ำทะเล เพื่อตั้งชื่อใหม่ว่า ‘เอคโค พีก’ (Echo Peak) สะท้อนถึงความสัมพันธ์ไทย–เนปาลที่ไม่มีที่สิ้นสุด
ภารกิจดังกล่าวสำเร็จไปเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2567 ที่ผ่านมา โดยได้รับการสนับสนุนจากสมาคมปีนเขาแห่งเนปาล ธัน พหาทุร โอลิ (Dhan Bahadur Oli) เอกอัครราชทูตเนปาลประจำประเทศไทย และได้รับเงินทุนจากกรมเอเชียใต้ ตะวันออกกลางและแอฟริกา กระทรวงการต่างประเทศ และมูลนิธิไทย (Thailand Foundation)
สติ และศรัทธา: บทเรียนจากการปีนเขา
สติ และศรัทธา – คือปัจจัยสองอย่างสู่ความสำเร็จ เป็นบทเรียนที่เขาได้เรียนรู้จากการปีนเขาทุกลูก
“การปีนเขาคือโอกาสของการได้ค้นพบตัวเอง ผมคิดว่าอย่างนั้น การจะไปแบบนั้น ต้องไปเพื่อค้นหาตัวเอง และค้นหาความจริง” วิทิตนันท์ให้ความเห็น
“เพราะผมว่า คนในโลกยุคปัจจุบัน ที่ผมสัมผัส ไม่ใช่ทุกคน เราจะเน้นเรื่องความฉลาด (intelligence) มากกว่า wisdom ความฉลาดมันทำให้เรารวยได้ แต่มันไม่สามารถทำให้เราเห็นความจริงได้ wisdom คือการเห็นความจริง
“การปีนเขาคือภาวะใกล้ตาย มันจะทำให้เรายอมคลายทุกอย่าง และ perception เราจะเปิดรับความจริง ถ้าตอนนั้นได้เรียนรู้ โอ้โห ผมว่า [มันคือ] โอกาสของการได้ค้นพบสิ่งที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งการปีนเขาคือหนึ่งในกิจกรรมที่เปิดโอกาสสิ่งนี้ แต่ก็ต้องไม่ตายนะ” วิทิตนันท์กล่าวติดตลก
หลังจากนี้ เขาบอกว่า ความฝันสูงสุด คือการนั่งอ่านหนังสืออยู่ที่บ้าน แต่ก็ยอมรับว่า ไม่แน่ใจว่าจะได้หยุดจริงหรือไม่ เพราะคิดว่ายังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่อยากทำเพื่อเป็นประโยชน์สังคม
“จริงๆ ผมมีความเชื่อว่า ทุกคนจะถูกลืมนะ คนในโลกนี้จะถูกลืม และผมก็คิดว่า ถ้าจะให้จดจำ อย่าจำผมเลย แต่จำสิ่งที่ผมทำดีกว่า ว่าผมเป็นคนหนึ่ง ในคนไทยอีกหลายๆ คนเหมือนกัน ที่อยากเห็นประเทศไทยดีขึ้น อยากเห็นโลกนี้ดีขึ้น
“เพราะผมเชื่ออย่างหนึ่ง ของที่มีประโยชน์จะอยู่ในโลกนี้ได้นาน ฉะนั้น เป็นคนมีประโยชน์ พอแล้วล่ะ”
ท้ายที่สุด บทเรียนที่เขาได้จากการใช้ชีวิตก็คือ “ชีวิตคือโอกาส และโอกาสสำคัญของชีวิตคือ โอกาสของการได้ลงมือทำตามความฝัน และทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ เพราะฉะนั้น ใช้โอกาสที่ยังมีชีวิตอยู่นี่แหละ ทำสิ่งที่คนอาจจะลืมในวันหนึ่ง แต่ว่าตัวเราจะไม่ลืม”