“เมื่อแรก เทพเจ้าสร้างมนุษย์ให้มีสี่แขน สี่ขา และสองหน้า แต่ซุสกลับเกรงกลัวอำนาจของสิ่งที่สวรรค์สร้าง บัดนั้นซุสจึงแยกมนุษย์ออกเป็นสอง และสาปให้ใช้เวลาทั้งชีวิตตามหาอีกครึ่งของกันและกัน”
ซุส ทำไมทำแบบนี้… และเป็นอีกครั้งที่กรีกโบราณนิยามความหมายของชีวิตได้อย่างลึกซึ้งงดงาม ทว่าร้าวราน การที่เราใช้ชีวิตเพื่อมองหาอีกครึ่งหนึ่งที่หายไปเป็นสิ่งที่เราเองเข้าใจความรู้สึกที่มีอยู่ลึกๆ นั้นดี คำอธิบายข้างต้นมาจากเพลโต ใน The Symposium งานที่เรียกกันอย่างลำลองว่าเป็นปรัชญาของความรัก
เจอแล้วนะตัวต้นเรื่องของการอธิบายว่า สำหรับเราแล้วทำไมความรักถึงสำคัญนัก ทำไมเราถึงเว้าแหว่งและมองหาอีกครึ่งอยู่ร่ำไป เป็นการตามหาที่ทั้งมีหวังแต่ก็แสนเศร้า อีกครึ่งหนึ่งที่ว่าถ้ามีจริงก็เป็นความหวังและการใช้ชีวิตเพื่อรอความรักที่จริงแท้ แต่อีกด้านคือเราเองเกิดมาเพื่อตามหาและรักษาตัวเองในฐานะส่วนประกอบที่ถูกแยกออกจากกัน การอธิบายว่าพระเจ้าสาปเราจากสิ่งมีชีวิตที่ทรงอำนาจและเติมเต็ม ก็พอจะนับได้ว่า ความรักเป็นคำสาปที่รากเหง้าของชีวิต ทั้งยังเจ็บแสบและชาญฉลาดอย่างยิ่งคำสาปหนึ่ง คือ ทำให้มนุษย์ไม่มีเวลากลับไปท้าทายพระเจ้า เพราะเอาแต่วิ่งหาส่วนที่หายไปจนวินาทีสุดท้าย
ล่าสุดในมหาเวทย์ผนึกมาร ซีโร่ (Jujutsu Kaisen 0) ที่เพิ่งเข้าโรงไป ในเรื่องที่เต็มไปด้วยคำสาปต่างๆ กลับมีประเด็นที่กินใจว่า คำสาปที่บิดเบี้ยวที่สุดก็คือความรักนี่แหละ ในเรื่องเราก็จะเห็นการผูกติดกันในรูปแบบของคำสาปที่ยึดคนและคำสาปไว้ในนามของความรัก เมื่อมนุษย์แบบเราๆ ได้ยินคำว่าความรักคือคำสาปนั้น ก็ดูจะเป็นสิ่งที่เราเข้าใจได้ในทันที ความรักเป็นเรื่องสวยงามที่เราใฝ่หาและอยากจะครอบครองไว้ แต่หลายครั้ง หรือในตัวความรักที่งดงามนั้น ก็อาจจะนำไปสู่การเป็นคำสาปของชีวิตได้ไปพร้อมกัน
ความรักคือคำสาป คำสาปของความรัก
ความรักเป็นสิ่งที่ยากเย็นที่สุด ใกล้ตัวเราที่สุด แต่ก็เข้าใจได้ยากที่สุด ความรักนำพามาซึ่งความสุขสม เพื่อความรักแล้วมนุษย์เรามีศักยภาพอย่างไม่สิ้นสุด ในขณะเดียวกันก็นำความเจ็บปวดร้าวรานมาได้อย่างเหนือคณานับ ถ้าเรามองย้อนไปในตำนาน เรื่องเล่า บทกวี และงานเขียนทั้งหลาย เรื่องรักส่วนใหญ่มักตกอยู่ในนิยามของคำสาป เรามักเจ็บปวดจากความรัก บางครั้งถูกตีตราว่าเป็นเหมือนโรคร้ายที่เกาะกินชีวิตจิตใจ
เลยไม่แปลกที่การลงโทษหรือคำสาปจึงเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับความรัก—และอีกทางความรักก็กลายเป็นยาที่รักษาและนำพาให้เรื่องราวไปสู่จุดสิ้นสุดที่ดี เป็นตัวไขคำสาปสำคัญได้ ในตำนานกรีกเทวีวีนัสก็มีคิวปิดลูกน้อยที่นอกจากจะสร้างความรักอันงดงามให้กับโลกนี้แล้ว เทวีแห่งความรักยังมักใช้ความรักเป็นโทษทัณฑ์อันน่าขนพอง ไม่ว่าจะสาปให้นางไซคีไปรักกับอสูรกายบ้าง (แต่กรณีนี้พลาด) หรือสาปให้หนุ่มรูปงามที่เย่อหยิ่งหลงรักเงาของตนจนตาย กระทั่งมหากาพย์สงครามโทรจันก็มีที่มาจากความรักที่ไม่เหมาะสม ความรักบางครั้งมอมเมาผู้คนด้วยความมืดมน ความรักที่ผิดพลาด การรักคนผิด สิ่งผิดจึงเป็นเหมือนคำเตือนแรกๆ ในการใช้ชีวิตที่เหล่ากวี นักปรัชญาและผู้เจนโลกเฝ้าเตือนคนรุ่นต่อๆ มา
ในทางกลับกันความรักนี่แหละก็เป็นหนทางของการแก้ปัญหาหรือแก้คำสาป ความรักแทบจะเป็นสิ่งทรงพลังเดียวที่ปกรณัมต่างๆ ยอมรับ โดยเฉพาะการยอมรับอำนาจของมนุษย์ธรรมดา การมีความรักอันบริสุทธิ์ จริงแท้ มักเป็นกุญแจในการผ่านบททดสอบเป็นตายต่างๆ ความเป็นอุดมคติของความรัก เช่น การสละแล้วซึ่งตัวตน การให้หรือรักโดยไม่มีเงื่อนไข การมองทะลุผ่านเปลือกนอก ความมั่นคงไม่แปรเปลี่ยนล้วนเป็นคุณสมบัติที่ทำให้เหล่าตัวละครธรรมดากลายเป็นวีรบุรุษและวีรสตรีได้ในท้ายที่สุด ในนิทานจึงเต็มไปด้วยพรของความรักแท้และการแก้คำสาปด้วยความรักอันบริสุทธิ์ที่แท้จริง
ความรักที่เป็นทั้งพรและคำสาป เป็นทั้งคำสาปและทางแก้
คงด้วยความความรักมีหลายแง่ หรือหลายครั้งก็อาจจะประกอบขึ้นด้วยด้านดีและร้ายไปพร้อมๆ กัน ที่น่าสังเกตคือหลายครั้งความรักเองนี่แหละที่เป็นคำสาป คำสาปของความรักมักสัมพันธ์กับการยึดติดต่อกัน การคาดหวังและผูกมัดซึ่งกันและกัน การไขคำสาปของความรักคือการการเรียนรู้แง่มุมสำคัญของปรัชญาการรัก การเรียนรู้ที่จะปล่อยมือ การเข้าใจความคาดหวังและยอมรับตัวตนของอีกฝ่าย การให้โดยไม่มีข้อแม้
ข้อคิดเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ปรากฎอยู่ในการให้ภาพความรักที่สัมพันธ์กับคำสาปอยู่เสมอ ความรักทำให้เราเดินทางไปปรโลกและเรียนรู้ถึงความไร้ประโยชน์ของการฉุดรั้ง ความรักทำให้เราอยากเอาชนะความตายและละเมิดกฏของความเป็นมนุษย์ ทำให้เราทำสัญญากับปีศาจ ไปจนถึงการรักสิ่งที่ไม่ควรรักและการค้นพบความรักแท้ผ่านการมองข้ามรูปลักษณ์เช่นในนิทานสำคัญๆ ทั้งหลาย
ในแง่นี้ ย้อนกลับไปที่อุปมาของคนสี่แขน สี่ขา สองหน้า ความรัก—การที่วิญญาณที่ถูกแยกจากกลับมารวมกันได้—ในด้านหนึ่งเป็นอำนาจที่แม้แต่ทวยเทพก็ยำเกรง พลังของความรักรวมถึงการตามหาและรักษาความรักก็เลยเป็นขุมกำลังอันสำคัญของมนุษย์เรา แต่อำนาจที่ทรงพลังก็อาจนำมาซึ่งอันตรายแก่ตัวได้ เราต้องไม่ลืมว่าเราเป็นแค่มนุษย์ ปัญหาของความรักคือการยึดมั่นในความแน่นอนและความเที่ยงแท้ มนุษย์คือสิ่งที่ตายได้ เปลี่ยนแปลงได้ ผิดกับเหล่าเทพเจ้า การยึดมั่นในความรักหลายครั้งคือการยึดถือที่สุดท้ายอาจเป็นคำสาปที่ร้ายแรงกว่าการไล่ตามหาอีกครึ่ง เพราะอีกครึ่งหนึ่งนั้นอาจมีหรือไม่มี อาจใช่หรือไม่ใช่ อาจเปลี่ยนแปลงไปได้เสมอ
กลับมาที่คำพูดและการใช้อุปมาของความรักในบริบทของเรื่องมหาเวทย์ผนึกมาร ด้วยความรักเป็นแกนสำคัญของภาคซีโร่ ซึ่งก็นับว่าเป็นการเลือกอุปมาได้อย่างแยบคายและเล่นกับคำสาปที่แม้ว่าจะเป็นเรื่องในจินตนาการ คือ สร้างภูติผีและวิชาขึ้นมา แต่ในระดับความหมายนั้น เราเองก็พอจะสัมผัสความหมายของความรู้สึกที่กลายเป็นตัวเป็นตนขึ้นมา นอกจากความกลัว ความเคียดแค้นแล้ว ก็มีความรักนี่แหละที่เป็นคำสาปและข้อผูกมัดที่ทรงพลังที่สุดสำหรับมนุษย์อย่างเรา
อ้างอิงข้อมูลจาก
discoveringshakespeare206.wordpress.com
Illustration by Kodchakorn Thammachart