ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ปรากฏการณ์การต่อสู้ของนักเรียน นักศึกษา และเด็กรุ่นใหม่กลายเป็นประเด็นร้อนแรงที่หลายสำนักข่าวยกไปนำเสนอและพูดถึงอยู่บ่อยครั้ง โดยเฉพาะความคิดสร้างสรรค์และการนำเอาวัฒนธรรมร่วมสมัย (popular culture) มาใช้ในการขับเคลื่อนประเด็นต่อสู้ทางการเมืองและการดึงดูดกลุ่มคนที่มีประสบการณ์ร่วมกันอยู่เสมอ
แต่ดูเหมือนว่า จะมีสิ่งหนึ่งที่กลายเป็นสิ่งสำคัญในการช่วย ‘เผยแพร่’ แนวคิดหรือสัญลักษณ์ของการเคลื่อนไหวของกลุ่มนักเรียน นักศึกษาในขณะนี้ได้อย่างรวดเร็วและกว้างขวางมากขึ้น และกลายเป็นเอกลักษณ์สำคัญของการเคลื่อนไหวในปัจจุบันไปโดยปริยาย สิ่งนั้นจะเป็นอะไรไม่ได้เลย นอกจากสิ่งเล็กๆที่ชวนเรียกเสียงฮาได้เสมอจากโลกอินเตอร์เน็ต หรือ ‘มีม’ (meme) ซึ่งต่อไปเราจะมาหาคำตอบกันว่า ทำไมมีมถึงเข้ามามีบทบาทสำคัญในการเคลื่อนไหวในครั้งนี้ และทำไมเผด็จการถึงไม่ชอบมีมเท่าไรนัก
ส่วนสำหรับใครก็ตามที่อาจไม่คุ้นชินกับมีม หรือยังสับสนกับความหมายของมัน เลยขออธิบายความหมายของมีมคร่าวๆ ตรงนี้ว่า มีม คือ สิ่งที่นำเสนอความคิด สัญลักษณ์ หรือการกระทำที่ถูกส่งต่อจากคนหนึ่งไปสู่อีกคนหนึ่ง ผ่านตัวอักษร รูปภาพ วิดีโอ คำพูด สัญลักษณ์บางอย่าง หรือแม้แต่พฤติกรรมการเลียนแบบก็ตาม ส่วนมากมักจะเป็นมุกตลกที่คนทั่วไปสามารถเข้าใจตรงกันได้แทบจะทันที ยกตัวอย่างเช่น มีมเด็กหญิงบ้านไฟไหม้ และ มีมชายตัดหญ้ากับทอร์นาโด นอกจากนี้ความพิเศษของมีม ยังอนุญาตให้เราสามารถดัดแปลงและเติมแต่งองค์ประกอบในแต่ละมีมให้เชื่อมโยงกับสิ่งที่เราต้องการจะสื่อให้คนรู้ได้ โดยที่ความหมายดั้งเดิมของมันจะไม่เปลี่ยนแปลงไป แต่ยังช่วยให้คนรับสารเข้าใจสารที่เราต้องการจะสื่อมากชัดเจนยิ่งขึ้นด้วยซ้ำ
มีมเลยกลายเป็นหนึ่งในเครื่องมือสำคัญในการสื่อสารบนโซเชียลมีเดียในปัจจุบัน เนื่องจากความ ‘สากล’ ของมีมที่ทำให้ผู้รับสารสามารถเข้าใจสารได้ทันทีที่เห็น และความ ‘กระชับ’ ของมันที่ทำให้สามารถกระจายไปสู่สังคมทั่วไปได้ในเวลาอันรวดเร็ว นอกจากนี้ มันยังถูกใช้อย่างแพร่หลายโดยกลุ่มคนรุ่นใหม่ ซึ่งเป็นกลุ่มคนส่วนใหญ่ที่ใช้งานอินเทอร์เน็ตเป็นประจำและมีความคุ้นเคยกับโลกออนไลน์เป็นอย่างดี
ส่วนมีมในบริบททางการเมืองที่เราเห็นอยู่บ่อยๆ ก็คงไม่พ้นการนำผู้นำประเทศหรือเหตุการณ์ทางการเมืองมาล้อเลียนในแง่มุมต่างๆ ไม่ว่าจะใช้เพื่อโจมตีบุคคล ล้อเลียน หรือเสียดสีประเด็นทางการเมือง โดยเฉพาะมีมระหว่างนายโดนัลด์ ทรัมป์ กับ วลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีสหรัฐฯและรัสเซีย ที่ตกเป็นเป้าหมายให้ผู้คนเอามาเสียดสีประเด็นการแทรกแซงการเลือกตั้งสหรัฐฯ มีม Rocket Boy ที่ทำมาล้อเลียน คิมจองอึน ผู้นำสูงสุดของเกาหลีเหนือ ในประเด็นครอบครองอาวุธนิวเคลียร์ หรือแม้แต่มีม COVID-19 ที่เอาไว้พูดถึงการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่า
การใช้มีมมาพูดถึงบริบททางการเมืองจึงกลายเป็นเรื่องที่ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะมันตลกและเข้าใจได้ง่าย แถมยังสามารถแพร่กระจายได้อย่างรวดเร็ว ประเด็นทางการเมืองหลายประเด็นที่อาจไม่ใช่ประเด็นใหญ่ แต่กลับกลายกระแสไวรัลบนโลนอินเทอร์เน็ตได้ก็เพราะมีม มีมเลยกลายเป็นเครื่องมือใหม่ที่เอาไว้แสดงออกและพูดถึงการเมืองทั้งในแง่ตลกขบขันและแง่จริงจัง
จึงเป็นเรื่องที่ไม่น่าแปลกใจอยู่เท่าไร เมื่อเห็นการเคลื่อนไหวที่นำโดยนักเรียน นักศึกษาและกลุ่มคนรุ่นใหม่ใช้พลังของมีมและวัฒนธรรมป๊อปมาแสดงออกและเรียกร้องประเด็นทางการเมือง จนกลายเป็นหนึ่งในปรากฎการณ์ที่สร้างความฮือฮาให้กับการเมืองไทยในปีนี้
จากม๊อบแฮมทาโร่สู่ ‘กล้ามาก เก่งมาก ขอบใจ’
ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา จะสังเกตเห็นได้ว่ากลุ่มคนรุ่นใหม่มักจะหยิบวัฒนธรรมป๊อปหรือมีมบนอินเทอร์เน็ตมาเป็นธีมในการเคลื่อนไหวทางการเมือง ไล่เรียงมาตั้งแต่ สัญลักษณ์การชู 3 นิ้วจากภาพยนตร์เรื่อง The Hunger Games การร้องเพลง ‘Do you hear the people sing?’ จากละครเวที Les Misérables การต่อบท ‘แต่ที่เจ๊ไล่หนูออกจากบ้าน นี่บ้าน-งหรอ?’ จากภาพยนตร์ หอแต๋วแตก การชุมนุมในนาม ‘ม็อบแฮมทาโร่’ และ ‘ม็อบแฮร์รี่ พอตเตอร์’ การฝึกภาษาอังกฤษคำว่า I Here Too ในเพลง การพลง ‘1 2 3 4 5 I LOVE YOU’ ของ The Bottom Blues รวมไปถึงมีมวลีไวรัล เช่น ‘กล้ามาก เก่งมาก ขอบใจ’
การหยิบยกวัฒนธรรมป๊อปและมีมบนอินเทอร์เน็ตมาแสดงออกและเรียกร้องทางการเมืองของกลุ่มคนรุ่นใหม่นี้ สะท้อนให้เห็นว่า วัฒนธรรมกับการเมืองถือเป็นเรื่องเดียวกันเสมอมา ดังที่ อันโตนิโอ กรัมชี (Antonio Gramsci) นักคิดสายมาร์กซิสต์ชาวอิตาเลียนได้นำเสนอแนวคิดว่าด้วย ‘การครองงำเชิงวัฒนธรรม’ (cultural hegemony) ของชนชั้นปกครองในสังคม ซึ่งแนวคิดนี้ได้นำเสนอว่า ชนชั้นปกครองไม่สามารถก้าวขึ้นสู่และครองอำนาจในสังคมได้โดยอาศัยเพียงปัจจัยทางเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ต้องเข้าควบคุมปัจจัยทางวัฒนธรรมด้วยเช่นกัน ผ่านการผลิตซ้ำทางอุดมการณ์ แนวคิด หรือ ค่านิยมบางอย่าง จนกระทั่งสิ่งเหล่านั้นกลายมาเป็นบรรทัดฐานที่มวลชนต่างยอมรับ และก่อให้เกิดความชอบธรรมทางความคิดที่เอื้อต่อสถานะอำนาจนำ (status-quo) ของชนชั้นปกครองในท้ายที่สุด
ดังนั้น ถ้าเราคิดตามตรรกะของกรัมชี หากฝ่ายผู้ถูกปกครองต้องการจะท้าทายชนชั้นปกครองเมื่อไร หนึ่งในเครื่องมือที่พวกเขาต้องใช้เพื่อสั่นคลอนสถานะอำนาจนำก็ต้องมีเครื่องมือด้านวัฒนธรรมอยู่ด้วย เพราะอย่าลืมว่า วัฒนธรรมป๊อปและมีมถือเป็นวัฒนธรรมเฉพาะกลุ่มและมีเจ้าของคือมวลชน (mass) หาใช่ของผู้ปกครองไม่ จึงเป็นที่น่าสังเกตว่า การเคลื่อนไหวและการชุมนุมของกลุ่มคนรุ่นใหม่ในห้วงเวลานี้ มักจะมีวัฒนธรรมป๊อปและมีมเป็นองค์ประกอบในการแสดงออกและเรียกร้องประเด็นทางการเมืองอยู่เสมอ
นอกจากนี้ ความนิยมในการหยิบวัฒนธรรมป๊อปและมีมมาใช้ในการแสดงออกและเรียกร้องทางการเมืองของกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่พุ่งสูงขึ้น ก็เกิดขึ้นมาได้ด้วยเหตุผลง่ายๆ อย่าง ความเป็นสากลและความคุ้นเคยในความหมายของมัน การหยิบวัฒนธรรมป๊อปหรือมีมมาพูดซ้ำหรือพูดในเชิงการเมือง จึงทำให้ผู้คนสามารถเข้าใจในสารที่ต้องการสื่อได้อย่างรวดเร็ว และที่มากไปกว่านั้น วัฒนธรรมป๊อปและมีมยังช่วยสร้างความรู้สึก ‘เป็นพวกเดียวกัน’ ในกลุ่มคนรุ่นใหม่ได้เป็นอย่างดี เนื่องจากพวกเขาคือกลุ่มคนกลุ่มเดียวที่สามารถเข้าใจสารนั้นได้
แต่การท้าทายชนชั้นปกครองที่มีความแสบสันที่สุดในช่วงเวลานี้ ต้องขอยกให้การนำวลีอันโด่งดัง ‘กล้ามาก เก่งมาก ขอบใจ’ มาพูดถึงในเชิงล้อเลียน และการรีมิกซ์อินโทรเพลงข่าว เพราะมันคือทำให้วัฒนธรรมหลักของชนชั้นปกครองให้กลายเป็นวัฒนธรรมป๊อปและกลายอาวุธเพื่อต่อต้านชนชั้นปกครองเสียเอง

สัญลักษณ์การชู 3 นิ้วจากภาพยนตร์เรื่อง The Hunger Games (ที่มาภาพ: The MATTER)
วัฒนธรรมป๊อปและมีมจึงกลายเป็นอาวุธทางความคิดที่สำคัญของฝ่ายผู้ถูกปกครอง เพื่อต่อต้านวัฒนธรรมหลักของชนชั้นปกครองในสังคม และเป็นอาวุธอันส่งพลังที่ช่วยให้สารหรือข้อเรียกร้องของพวกเขาถูก ‘รับฟัง’ และ ‘แชร์’ ต่อไปในสังคมอื่นๆได้มากขึ้น
เสียงหัวเราะกลบความศักดิ์สิทธิ์
การหยิบวัฒนธรรมป๊อปและมีมมาเป็นเครื่องมือต่อต้านชนชั้นปกครองถือว่าเป็นการต่อสู้ทางการเมืองแบบสันติวิธี โดยเน้นการใช้อารมณ์ขันเป็นแรงขับเคลื่อนข้อเรียกร้องทางการเมืองและทำลายความศักดิ์สิทธิ์ของชนชั้นปกครอง เช่น การเสียดสี การเล่นมุกตลก การล้อเลียน อารมณ์ขันจึงเป็นพลังทางการเมืองที่สำคัญ และกลายเป็นเครื่องมือหลักที่กลุ่มคนรุ่นใหม่ใช้ต่อต้านรัฐบาลในขณะนี้
ในหนังสือ หัวร่อต่ออำนาจ : อารมณ์ขันและการประท้วงด้วยสันติวิธี ของ ผศ. ดร. จันจิรา สมบัติพูนศิริ ได้ชี้ว่า อารมณ์ขันช่วยให้การต่อสู้ทางการเมืองมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งในแง่ที่อารมณ์ขันจะช่วยลดความศักดิ์สิทธิ์ของรัฐบาลลงและสั่นคลอนความคิด ความเชื่อ และความกลัวในสังคมที่ชนชั้นปกครองสร้างขึ้นเพื่อสร้างความชอบธรรมให้แก่ตนเอง ซึ่งรัฐบาลในปัจจุบันก็ใช้ความหวาดกลัวเข้าปกครองสังคมไทยตลอด 6 ปีที่ผ่านมา ผ่านกฎหมายความมั่นคงหลายฉบับ แต่ความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมายเหล่านี้ก็กำลังถูกท้าทายจากการเคลื่อนไหวของกลุ่มนักศึกษาผ่านการเสียดสีและเล่นมุกทางการเมืองใส่อย่างเข้มข้น
การใช้อารมณ์ขันในการต่อสู้ทางการเมืองยังช่วยให้การเคลื่อนไหว ‘ดูไม่ซีเรียส’ จนเกินไป และทำให้ประเด็นการต่อสู้ ‘มีสีสัน’ มากขึ้น โดยเฉพาะในสังคมไทยที่ยังคงมีภาพจำเกี่ยวกับการลงถนนหรือการไปม็อบในเชิงลบมาเกือบทศวรรษ คนรุ่นใหม่ก็เรียนรู้จากจุดบอดตรงนี้ และพยายามปรับภาพลักษณ์ของม็อบด้วยการใช้อารมณ์ขันมาผ่อนคลายบรรยากาศ ซึ่งมันก็ได้ผลและช่วยดึงดูดให้คนที่ยังไม่แน่ใจกับการไปม็อบตัดสินใจเข้าร่วมมากขึ้นในที่สุด เช่น ‘ม็อบไม่มุ้งมิ้งแต่ตุ้งติ้งค่ะคุณรัฐบาล’ ในวันที่ 25 กรกฎาคม และ งานเดินแบบและแสดงดนตรี ศิลปะ ของกลุ่มธรรมศาสตร์และการชุมนุม ในวันที่ 28 ตุลาคม

ม็อบตุ้งติ้ง ‘ไพร่พาเหรด’ สามย่าน-สีลม (ที่มาภาพ: The MATTER)
ทั้งนี้ อย่าลืมว่าการเคลื่อนไหวในปัจจุบัน โซเชียลมีเดียเข้ามามีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนและการต่อสู้ทางการเมืองมากขึ้นทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นที่เลบานอน ชิลี ฮ่องกง และสหรัฐฯ เพราะพื้นที่โซเชียลมีเดียคือพื้นที่ที่รัฐบาลไม่สามารถควบคุมได้เหมือนสื่อกระแสหลัก แม้ว่ารัฐบาลจะอยากควบคุมมากแค่ไหนก็ตาม (เห็นได้จากความพยายามปิดแอป Telegram) เพราะเผด็จการต้องการโชว์ให้เห็นว่าฉันมีอำนาจ ฉันน่ากลัว ฉันยิ่งใหญ่คับฟ้า ฉันจึงไม่ชอบถูกล้อ ไม่ชอบถูกมองว่าเป็นตัวตลก เสียงหัวเราะบนโซเชียลมีเดียจึงกลายเป็นอาวุธที่สำคัญและกลายเป็น ‘เสี้ยนหนาม’ ที่คอยทิ่มแทงหัวใจเผด็จการ
นอกจากนี้ ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า อารมณ์ขันของคนไทยนั้นก็เป็นที่โจษจัน หลักฐานชัดเจนจากเหตุการณ์ “Milk Tea Alliance” ที่เป็นกระแสไวรัลไปทั่วอินเทอร์เน็ตและกลายเป็นหนึ่งในมีมทางการเมืองที่ทรงอิทธิพลในขณะนี้ จึงน่าติดตามว่าต่อไปว่า กลุ่มคนรุ่นใหม่จะนำวัฒนธรรมป๊อปและมีมไหนมาล้อเลียนเผด็จการอีก และเผด็จการจะทนถูกล้อเลียนไปได้อีกนานแค่ไหน
เสียงหัวเราะของเรามันทรงพลังกว่าที่คิด