ไม่ว่าทั้งอาทิตย์ที่ผ่านมาคุณจะใช้เวลาไปตระเวนขึ้นเขาลงห้วยจนไม่ทันได้เปิดอินเทอร์เน็ตอยู่ที่ไหน หรืออกหักรักคุดจนต้องปลีกตัวจากทุกโซเชียลมีเดียเพื่อไม่ให้เจอความทรงจำแสลงใจชั่วคราว
while you were offline จะยกมืออาสาเป็นหูเป็นตาสำรวจตรวจตราทุกเหตุการณ์สำคัญในระหว่างที่คุณ offline ตลอดหนึ่งสัปดาห์มาเสิร์ฟให้ถึงที่ บอกได้เลยว่าคุณจะไม่พลาดทุกเรื่องใหญ่ที่ใครๆ ก็พูดถึงกัน อ่าน while you were offline อันเดียว รู้เรื่อง!
เนติวิทย์ไม่ติดธรรมศาสตร์ แต่ติดจุฬาฯ อ้าว แค่นี้ก็ต้องดราม่ากันด้วยเหรอ?
เป็นสัปดาห์ที่เด็กมัธยมศึกษาปีที่ 6 เฮลั่นกันกระหึ่มไปทั้งประเทศ เพราะผลแอดมิชชั่นได้ประกาศออกมาให้หายกังวล หลังจากนั่งเครียดกับข้อสอบโอเน็ตเฉลยผิดเฉลยถูกกันมาจนเพลียใจ ซึ่งก็มีทั้งคนสมหวังอย่างที่ตั้งใจ และก็เป็นธรรมดาที่บางคนต้องผิดหวังและเดินหน้าเลือกทางเดินของตัวเองกันต่อ (The MATTER ขอเป็นกำลังใจให้กับทุกทางเลือกนะ)
แต่คงจะไม่มีอะไรดราม่าไฟลุกได้เท่ากรณี ‘เนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล’ หรือ ‘แฟงค์’ นักเรียนโรงเรียนนวมินทราชินูทิศ เตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ อดีตเลขาธิการกลุ่มการศึกษาเพื่อความเป็นไท ที่ขยันออกมาทำกิจกรรมสารพัดเรียกกระแสคนที่มีทั้งคนชอบและคนชังได้มากมาย
เรื่องราวคงผ่านไปแบบเรียบๆ ถ้าเนติวิทย์จะแค่ประกาศว่า ฮัลโหล พวกแก เราติดคณะรัฐศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยนะ แต่เนติวิทย์มาแบบเหนือเมฆ เพราะโพสต์เรียกน้ำตาว่าเขาไม่ติดคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เสียดายจังอยากเรียนกับ อาจารย์สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล จุงเบย
เหล่าบรรดาฝั่งที่ไม่ช้อบไม่ชอบหน้าเนติวิทย์ก็พากันมาเฮโล ตำหนิติเตียนสั่งสอนสารพัดว่าเห็นไหมๆ บอกแล้วว่าอย่ามัวทำกิจกรรม ควรไปตั้งใจเรียนมากกว่า หลังจากปล่อยให้อีกฟากดุด่าจนสาสมแล้ว เนติวิทย์ถึงค่อยปล่อยหมัดเด็ดว่า เดี๋ยวๆ ไม่ติดธรรมศาสตร์ไม่ได้แปลว่าไม่ติดที่อื่นนะจ๊ะ เพราะผมติดรัฐศาสตร์จุฬาฯ (ว่าแล้วเนติวิทย์ก็ยิ้มอ่อน มองแรงใส่พวกออกตัวล้อฟรี)
โขนนี้ของใครกันแน่? กัมพูชาแท้ๆ หรือว่าไทยกันล่ะ?
คึกโครมทั้งอาทิตย์กับกรณีที่ไทยจะเสนอให้ ‘โขน’ ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมที่
เมื่อกัมพูชาราดน้ำมัน ฝั่งไทยก็พร้อมจุดไฟ จนระเบิดบู้ม! กลายเป็นดราม่าครั้งใหญ่ หนังสือพิมพ์แทบทุกหัว ทีวีแทบทุกช่อง และสารพันคนดังในโซเชียลมีเดียก็ออกมาให้ความเห็นอย่างคับคั่ง
หลังจากถกเถียงกันอย่างออกรสแล้ว ข้อเท็จจริงก็ออกมาในรูปแบบที่จริงๆ (เด็กประถม) ก็ควรจะรู้ ว่าภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของเรามีวัฒนธรรมร่วมกันหลายอย่าง โดยเฉพาะก่อนที่จะมีความคิดแบบรัฐชาติแบ่งว่านี่ประเทศฉัน นั่นประเทศเธอ
เพราะฉะนั้นหลายๆ สิ่งมันก็เลยออกมาเหมือนกันจนแทบจะแบ่งได้ยากว่าอันไหนเป็นของใคร (เช่น ตัวเลขของไทยกับกัมพูชาก็เหมือนกันเป๊ะ ภาษาไทยกับลาวก็เวรี่คล้ายคลึงกัน ผ้าบาติกทางใต้ของเราอินโดนีเซียเขาก็มีนะ คำด่าหลายๆ คำของเราก็ยืมภาษาอื่นมา เช่น ระยำ มาจากเรอญัมในภาษามลายู ฯลฯ)
เอาเป็นว่าเถียงกันไปก็มีแต่ทะเลาะกันเปล่าๆ ล่าสุดกระทรวงวัฒนธรรมก็ออกมาประกาศแล้วว่า แกๆ เลิกดราม่าเหอะ มันเป็นวัฒนธรรมร่วมนะ โลกนี้ที่อื่นๆ เขาก็มีวัฒนธรรมร่วมเหมือนกัน ถ้าจับมือกันเสนอเป็นมรดกโลกร่วมกันก็มีแต่ได้กับได้ จะมัวทะเลาะกันทำไม เสียเวลา!
หนุ่มๆ จ๋า “เลิกใส่กางเกงบอลเถอะ” ถ้าหน้าไม่ได้เหมือนเดวิด เบ็คแฮม!
ไม่รู้ว่าต้นตอการขุดวาทะเด็ดครั้งนี้มาจากไหน แต่ที่แน่ๆ กระแสวิพากษ์วิจารณ์แผ่ออกไปไพศาลอย่างไม่น่าเชื่อ เมื่อพิธีกรชื่อดังจากช่องน้อยสี ผิวเข้ม ชื่อเหมือนขนม (ถ้าจะใบ้ขนาดนี้ก็บอกชื่อไปเลยมั้ยล่ะ) เคยออกมาบอกว่า เลิกใส่เสื้อบอลไปเดินห้างเถิดหนุ่มๆ ถ้าหน้าไม่ได้เหมือนเดวิด เบ็คแฮม เพราะมันดูไร้รสนิยมอ่ะ อูยยย
ทันทีที่ว่าทะสุดแรงแซงทางโค้งถูกแชร์ไปในวงกว้าง สารพัดคำโต้กลับจากหนุ่มๆ ก็ตามมา ไม่ว่าจะเป็น เดี๋ยวๆ รสนิยมมันเป็นเรื่องส่วนบุคคลนะ จะเอารสนิยมตัวเองมาตัดสินรสนิยมคนอื่นไม่ได้ พูดแบบนี้ได้ไง การใส่เสื้อบอลของเราก็เป็นการแสดงการซัพพอร์ตทีมที่เราชอบไปในตัวด้วย
เรื่องไม่ได้จบแค่การวิพากษ์วิจารณ์เท่านั้น เพราะพิธีกรสาวชื่อดังก็ออกมาประกาศว่าไหนใครเป็นคนโควทคำพูดฉัน นี่มันเป็นการตัดข้อความมาไม่ครบนะ ฉันเสียหาย ไม่ได้พูดทำนองนี้เลย มั่วแล้ว ฉันจะฟ้อง!
เหล่าชาวเน็ตก็เริ่มโอนเอนว่า เอ หรือคุณพี่เขาจะโดนมือดีแกล้งกันนะ แต่โอนเอนได้ไม่นานก็มีคนแปะคลิปยืนยันให้ทันใดว่าพิธีกรสาวชื่อดังได้พูดประโยคนี้ออกมาจริงๆ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าพิธีกรสาวท่านนั้นยังยืนยันจะฟ้องจริงๆ หรือเปล่าน้า อยากรู้จุง อ่านเหตุผลของการใส่ชุดบอลเพิ่มเติมได้ที่ ตอบปัญหาคาใจ ทำไมผู้ชายจึงชอบใส่กางเกงบอล และประวัติศาสตร์ที่ซ่อนอยู่ในเสื้อบอลได้ที่ จากเสื้อบอล สู่ชุดไทย มีอะไรซ่อนอยู่ในเครื่องแบบ?
คสช.คือ ‘พระมหาชนก’ กระโดดลงมาว่ายน้ำกับลุงตู่กันเถอะ
อาทิตย์ไหนไม่ได้กล่าววาทะเด็ดให้แฟนคลับกรี๊ดเหมือนชีวิตจะขาดอะไรไป สัปดาห์นี้ลุงตู่ นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคสช.ของเราก็ไม่ทำให้แฟนคลับผู้ภักดีต้องผิดหวังแต่อย่างใด เขามาพร้อมกับวาทะ (ที่น่าจะเป็นว่าทะแห่งปีได้) ว่า คสช.เปรียบเหมือนพระมหาชนก ที่ต้องพาประเทศชาติไปถึงฝั่ง และพาตัวเองไปถึงฝั่งด้วย
นอกจากความคัลท์ที่อยู่ๆ ก็เอาชาดกมาเปรียบได้อย่างงงๆ แล้ว หลายคนก็เริ่มตั้งข้อสังเกตว่า เอ๊ะโอ พระมหาชนกมีความเพียรจริง พระมหาชนกว่ายน้ำเจ็ดวันเจ็ดคืนก็จริงอีก แต่สุดท้ายแล้วคนที่รอดคือพระมหาชนกคนเดียวไม่ใช่หรอแก
หลังจากรู้ความจริงประชาชนก็พากันร้องไห้หนักมาก พอๆ กับที่ขำในความน่ารักนาเอ็นดูของลุงตู่ แหม่ จะเปรียบอะไรทั้งทีก็ศึกษาดีๆ หน่อยลุง อ่ะๆ ถ้าไม่เคลียร์ The MATTER สัมภาษณ์อาจารย์ด้านวรรณกรรมไว้ให้แล้ว รู้ลึก รู้จริง ยิ่งกว่าลงไปว่ายน้ำกับลุงตู่แน่นอน ถ้า คสช. เป็นพระมหาชนกจะรอดไหม? พาคนไทยไปถึงฝั่งจริงหรือ? มาไขคำตอบทางวรรณคดีกัน
ประชามติร่วมใจ อ้าว แต่ไหงมาสั่งสอนแค่คนบางภาคล่ะ?
ใกล้วันออกเสียงประชามติเข้ามาทุกทีๆ กระแสการออกเสียงก็เข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ สัปดาห์ที่ผ่านมา กกต. ท่านก็อุตส่าห์แต่งเพลงรณรงค์ให้คนออกไปใช้สิทธิลงคะแนนเสียงโหวตรับหรือไม่รับร่างรัฐธรรมนูญกันเยอะๆ
จะไม่มีอะไรให้พูดถึงเล้ย ถ้าเนื้อเพลงไม่ดันมีเนื้อหาชวนให้คิดว่าดูถูกคนบางพื้นที่ เช่น การบอกว่าคนภาคใต้รักเสรี รักประชาธิปไตย แต่พอส่วนเนื้อเพลงที่จะสื่อสารกับคนภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือดันมาลงตรงท่อนว่า ‘อย่าให้ใครมาชักจูง’ ได้ง่ายๆ
นักวิชาการหลายคนก็ออกมาบอกว่า โหย นี่มันเป็นการเหมารวมมากๆ เลยนะ ว่าคนภาคนั้นเป็นอย่างนี้ คนภาคนี้ต้องเป็นอย่างนั้น แถมคนภาคกลางก็ไม่ได้ถูกสอนสั่งอย่างภาคอื่นๆ แต่วางตัวเป็นเหมือนผู้รู้ ผู้อยู่เหนือปัญหา คอยสอนสั่งคนอื่นเสียเอง แบบนี้ไม่โอเคเลย