หยุดเสาร์อาทิตย์เหงาๆ มนุษย์ออฟฟิศที่วันๆ เจอแต่รถติดอย่างเราก็อยากจะออกไปเดินเล่นชิลล์ๆ กับเค้าบ้าง!
แต่ไม่ใช่เดินห้างดูหนังตากแอร์ หว่านเงินให้ช็อปเสื้อผ้าเซลล์ไปเรื่อยเปื่อยอย่างที่คิดหรอกนะ เพราะวันนี้เราตั้งเป้าหมายเอาไว้ว่าจะออกไปเดินเล่นเตร็ดเตร่ย่านฝั่งพระนครในส่วนที่เรียกกันว่าสามแพร่ง ชมอาคารเก่าแก่ทรงโคโลเนียลซึ่งตกทอดมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 แอบแวะชิมของดีของเด็ดที่ใครไปใครมาต้องโดนกันทุกคน และที่สำคัญคือการได้ละเลียดเวลาไปกับการตามถ่ายรูปเหล่าแมวจรสุดงุ้งงิ้งที่บ้างวิ่งเล่น บ้างนอนอาบแดด แสดงศักดาความเป็นเจ้าถิ่นอยู่ตลอดทั้งซอยนี่แหละ
ซึ่งสำหรับสาวออฟฟิศสายสตรีทอย่างเราที่ชอบความสะดวกสบายได้ฟังก์ชั่นครบจบในกล้องตัวเดียว (กล้องฟูลเฟรมพร้อมเลนส์ก็อยากได้ แต่เงินเดือนไม่ได้เอื้ออำนวยน่ะซี ฮือๆ) ก็ทำการบ้านมาเรียบร้อยแล้วว่า กล้อง mirrorless ตัวไหนดีที่จะเหมาะกับทริปนี้ และผลก็ออกมาที่เจ้า FUJI X-T20 ไซส์น่ารักกะทัดรัด ราคาน่ารัก แต่จับโฟกัสได้รวดเร็วร้ายกาจเกินตัวตัวนี้นี่เอง
ก่อนอื่นเลยเรามาย้อนเวลาไปรู้จักกับประวัติความเป็นมาของย่านนี้กันดูสักหน่อย บริเวณพื้นที่จากถนนอัษฎางค์ไปจนจรดที่ถนนตะนาวแถวศาลเจ้าพ่อเสือแห่งนี้ เป็นที่ตั้งของชุมชนเก่าแก่ซึ่งเคยเฟื่องฟูอย่างมากในฐานะย่านการค้าแหล่งสำคัญช่วงสมัยรัชกาลที่ 5 โดยหากมองจากถนนใหญ่จะพบว่าพื้นที่ตรงนั้นได้ซอยย่อยออกไปอีกเป็นทางสามแพร่ง ตั้งชื่อตามพระโอรสทั้ง 3 พระองค์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 4 ว่า แพร่งภูธร แพร่งนรา และแพร่งสรรพศาสตร์
จุดเด่นที่สุดที่ย่านนี้ยังคงรักษาไว้ได้อย่างเหนียวแน่นแม้เวลาจะผ่านไปนานกว่าหนึ่งร้อยปีก็คืออาคารบ้านเรือนทรงตะวันตกสุดคลาสสิค และสถาปัตยกรรมเก่าแก่ซึ่งเคยเป็นสถานที่สำคัญต่างๆ ที่ผสมกลมกลืนอยู่ร่วมกับวิถีชุมชน ตลอดจนการเปลี่ยนแปลงของยุคสมัยได้อย่างน่ารักเลยทีเดียว
เอาล่ะ จากจุดเริ่มต้นที่ศาลเจ้าพ่อเสือ เราปรับโหมดเจ้า FUJI X-T20 ให้พร้อมสำหรับการถ่ายแลนด์สเคปเป็นอันดับแรก เพราะแพร่งแรกที่เราจะไปเยี่ยมเยือนนั้นก็คือแพร่งสรรพศาสตร์ ซึ่งเป็นที่ตั้งเดิมของ ‘วังสรรพสาตรศุภกิจ’ นั่นเอง แลนด์มาร์กสำคัญที่ใครผ่านไปผ่านมาต้องก้มๆ เงยๆ หามุมสวยกดชัตเตอร์กลับไปอย่างน้อยหนึ่งรูปก็คือ ซุ้มประตูแพร่งสรรพศาสตร์ที่ประดับด้วยกระจกสี และรูปปั้นเทพธิดา ซึ่งได้รับการบูรณะรักษาไว้อย่างดี แล้วพี่ฟูจิก็ไม่ทำให้เราผิดหวัง เพราะนอกจากจะสามารถเก็บภาพมุมกว้าง มุมแคบได้ดังใจแล้ว ยังสามารถเก็บรายละเอียดโทนสีทั้งอาคารบ้านเรือน และท้องฟ้ามาได้อย่างสวยงาม
ออกแรงขยับขาอีกนิดในที่สุดเราก็มาถึง แพร่งนรา จุดหมายที่สองของวันนี้แล้ว ไม่ต้องแปลกใจที่แพร่งนี้ดูจะครึกครื้นที่สุดในทั้งสามแพร่ง เพราะตลอดทั้งซอยนั้นอุดมไปด้วยร้านของกินเรียงรายกันเป็นตับ น่าตื่นตาตื่นใจกว่าตลาดนัดข้างออฟฟิศเป็นล้านเท่า ไม่ว่าจะเป็น ร้านขนมเบื้องป้าศรี ร้านขนมหวานก๋งแดง ก๋วยจั๊บน้ำข้นมัสยา และอื่นๆ อีกล้านแปด เรียกว่าถ้ากินตั้งแต่ต้นซอย พอถึงท้ายซอยก็กลิ้งกลับมาได้
ซึ่งแม้ว่าสมัยก่อนพื้นที่ตรงนี้จะเคยเป็นที่ตั้งของวังเก่ามาก่อน แต่ในยุคหนึ่งพื้นที่ตรงนี้เคยถูกผลัดมือสู่เอกชนเพื่อนำไปปรับปรุงเป็นย่านการค้า สถาปัตยกรรมในส่วนที่เป็นพระตำหนักเรือนไม้ที่ยังเหลือมาจนถึงทุกวันนี้จึงมีแค่ในส่วนของ สำนักงานกฎหมายตะละภัฏ ซึ่งเคยเป็น โรงเรียนตะละภัฏศึกษา และโรงละครปรีดาลัยในอดีตเท่านั้น ถึงอย่างนั้นสภาพอาคารไม้เก่าแก่ ตรงหน้า ก็ทำให้สาวออฟฟิศที่วันๆ ใช้ชีวิตอยู่กับตึกสูง ทางด่วน และถนนที่มีแต่รถยนต์หน้าตาซ้ำๆ อย่างเราอดพาตัวเองไปเข้าฉากเสมือนว่ายืนอยู่ข้างวังชายพจน์ไม่ได้ เอาเป็นว่าใครที่ชอบรูปฟีลละครพีเรียดหลังข่าวอย่าลืมพกกล้องติดตัวมาด้วยนะ เพราะสีสันตึกแถวนั้นน่ารักน่าถ่ายไปหมดทุกมุมเลย
หลังจากเดินสอดส่องอาคารบ้านเรือน บานเฟี้ยมสวยๆ ต้นไม้แปลกๆ ที่ชาวบ้านปลูกกันไว้แล้ว ในที่สุดเราก็เจอนายท่านเจ้าถิ่นตัวแรก นายท่านที่แรกพบหน้าก็ต้อนรับกันด้วยท่ากระโจนไล่แมลงลงท่อ แต่ด้วยความที่เจ้า FUJI X-T20 ในมือเรามาพร้อมกับ ระบบโฟกัสแบบ Face Detection และจุดโฟกัสถึง 325 จุด เลยสามารถรัวชัตเตอร์ตามจับภาพลูกพี่เขามาได้แบบไม่หลุดโฟกัสสักนิด
ส่วนนายท่านตัวนี้เป็นบอสใหญ่ที่แท้จริง หลังจากจับภาพนาทีไล่ล่าแมลงเสร็จ เราก็หันขวับไปทันจับภาพสายตาคาดโทษ (ที่ตะปบแมลงไม่ทัน) ของพี่เค้าทันที งือ เอ็นดูว์
หลังจากใจละลายกับนายท่านพุงพลิ้วในแพร่งนี้ไปแล้ว ก็ได้เวลาเคลื่อนตัวไปยังแพร่งสุดท้ายซึ่งเป็นไอเทมลับของวันนี้อย่าง แพร่งภูธร แพร่งที่ในอดีตเคยเป็นที่ตั้งของวังสำคัญในช่วงต้นรัตนโกสินทร์ ก่อนที่จะกลายมาเป็นวังของพระราชโอรสในรัชกาลที่ 4 ภายในแพร่งนี้ เป็นที่ตั้งของร้านอร่อยมากมาย อาทิ ก๋วยเตี๋ยวเนื้อวัวกิมทอง นัฐพรไอศกรีมกะทิสด อุดมโภชนา และของกินสตรีทฟู้ดอีกนับนิ้วไม่ถ้วน
นอกจากนี้สำหรับใครที่ปวารณาตัวเป็นทาสนายท่านอย่างเต็มตัวแล้วเรียกว่าต้องมีร้องงื้อ เพราะนอกจากร้านรวงแก่เก่า แพร่งนี้ก็ยังเป็นแหล่งรวมของเจ้าถิ่นสุดเก๋าที่บ้างวิ่งไล่นก บ้างนอนอาบแดดกันอยู่เต็มไปหมด แม้จะมีบางตัวที่ขี้อายบ้าง แต่โดยรวมก็ค่อนข้างเป็นมิตร และขี้อ้อน ทว่าอย่างที่รู้กันว่าแมวเป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลกแต่ไม่ยอมให้โลกควบคุมได้ การตามถ่ายภาพพวกเขาเหล่านี้จึงต้องอาศัยจังหวะ โอกาส การสังเกต มุมมองใหม่ๆ ไปจนกระทั่งถึงดวง เพื่อที่จะจับภาพที่ต้องการให้ได้สักภาพหนึ่ง
เหมือนกับชีวิตการทำงานนั่นแหละ ไม่มีหรอกที่คนเบื้องบนจะจัดวางทุกอย่างมาให้เราดังใจ มีแต่ความอดทน ความพยายาม ความกล้าที่จะคิดกล้าที่จะลงมือทำ กล้าทดลองอะไรใหม่ๆ เท่านั้นที่จะเปิดโอกาสให้เราได้ค้นเจอและคว้าเอาในสิ่งที่เราต้องการได้
การตามถ่ายภาพเจ้าตัวแสบตัวนี้ที่หลบกล้องเราแทบตายก็เช่นกัน ตอนที่นึกว่าจะไม่ได้ภาพแล้ว จู่ๆ เจ้าเหมียวก็หันมาทำหน้าอ้อนใส่กล้อง จนเรารีบเปิดกล้องรัว FUJI X-T20 ตามแทบไม่ทัน โชคดีที่พี่ฟูจิตัวนี้ของเราจับภาพได้ถึง 14 รูปต่อวินาทีเลยได้รูปดีๆ ตรงช็อตนี้มาเลือกหลายรูปเลย เรียกว่าพอเอารูปกลับมา (แอบเจ้านาย) ดูที่ทำงานแล้วเห็นภาพนี้ แบบว่า โอ๊ยน้องง ใจละลาย พี่หายเหนื่อยแล้วว
ระหว่างเดินเล่นถ่ายรูปเรื่อยเปื่อยนั่นเอง เราก็ได้แวะพูดคุยกับพี่ๆ ในซอยด้วย เลยได้รู้ว่าเจ้าเหมียวเหล่านี้ก็ไม่เชิงว่าเป็นแมวจรเสียทีเดียว เพราะหลายตัวเป็นแมวที่คุณป้าคุณอาหลายบ้านเลี้ยงไว้ โดยปล่อยให้ออกมาใช้ชีวิตนอกบ้านเป็นส่วนใหญ่ เราจึงสามารถเห็นบรรดาเหมียวพวกนี้เดินวาดลวดลายเจ้าถิ่นไปตามตรอกซอกซอย วิ่งไล่กัน หรือกระโดดขึ้นไปงีบบนโต๊ะเก้าอี้ หรือซุกตัวตามซอกมุมของบ้านต่างๆ ในละแวกนั้นได้โดยไม่เคอะเขิน
ทำให้เราสนุกกับการจับกล้องตามสแนปภาพ เก็บโมเม้นต์น่ารักๆ ของนายท่านเหล่านี้ตลอดทั้งซอย ไม่ว่าจะเป็นมุมตรง มุมเงย มุมเสย มุมช้อน หรือแทรกตัวไปตามมุมอับต่างๆ โดยที่เราไม่ต้องลงทุนนั่งคลุกไปกับพื้นให้เสื้อผ้าเปื้อน เพราะสามารถพลิกหน้าจอปรับหมุนเล็งเฟรมได้รอบทิศ อย่างช็อตเหม่อมองฟ้าเป็นนางเอกเอ็มวีของเจ้าสมศรีรูปนี้ เราก็บิดหน้าจอสแนปถ่ายได้สบายๆ โดยไม่ต้องใช้ท่ายาก อย่างว่าแหละถ้าชีวิตมีทางที่ง่ายกว่า เราจะไปทำให้มันยากทำไม ฮี่ฮี่
นอกจากนี้อีกหนึ่งไม้ตายสำคัญของเจ้ากล้องตัวนี้ที่ทำให้เราเก็บภาพแมวได้สนุกยิ่งขึ้น ก็คือฟังก์ชั่นถ่ายภาพด้วยการทัชที่หน้าจอ ทำให้เราสามารถรัวถ่ายภาพขณะเจ้าเหมียวเคลื่อนไหวได้เร็วกว่าการกดชัตเตอร์ธรรมดา หรือจะจับกล้องถ่ายมือเดียว อีกมือเล่นคอยเกาคอให้นายท่านไปด้วยก็ยังได้
ถึงอากาศในเดือนนี้จะค่อนข้างร้อนและแดดแรงไปบ้าง แต่ด้วยความที่ภายในซอยนั้นมีต้นไม้ใหญ่เรียงราย สลับกับชายคาบ้านให้ได้หลบแดด ก็ทำให้เราสามารถเดินถ่ายรูปชิลล์ๆ หิวก็แวะกิน เหนื่อยก็แวะพักจิบกาแฟ ละเลียดเวลาให้สมกับเป็นวันหยุดไปได้ถึงครึ่งวัน
สิ่งที่เราชอบมากจากการเดินสำรวจย่านนี้จนทะลุปรุโปร่งแทบทั้งซอยก็คือ ความเป็นธรรมชาติของวิถีชุมชนที่ไม่ได้ผ่านการประดิษฐ์หรือปรุงแต่งอะไรมากมาย แน่นอนล่ะว่าในแง่ของอาร์ตโดยรวม ความเกร๋ไกร๋อาจสู้กันไม่ได้กับย่านอื่นๆ ที่ถูกออกแบบปรับปรุงใหม่ให้กลายเป็นร้านกาแฟหรือโฮสเทลแสนชิค แต่นั่นคือเสน่ห์ที่ทำให้สามแพร่งยังคงเป็นสามแพร่ง ภาพของผู้คนที่ออกมานั่งกินก๋วยเตี๋ยวเจ้าอร่อย ภาพประตูบานเฟี้ยมทรงวินเทจตัดกับจานดาวเทียมสีสันจัดจ้าน ภาพของวิถีชีวิตประจำวันที่ไหลเอื่อยไปตามช่วงเวลาที่ควรจะเป็น ผสมผสานกันจนกลายเป็นความน่ารักที่ให้ความรู้สึกมีชีวิตชีวาและเป็นกันเอง
ความเป็นธรรมชาติที่ไม่ต้องสมบูรณ์แบบไปเสียทุกอย่างของย่านนี้ ไม่เพียงแต่ช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดจากวิถีชีวิตที่เดินเป็นเส้นตรงในระบบการทำงานของเราลงได้ แต่ยังทำให้เราเข้าใจถึงข้อเท็จจริงอีกอย่างว่า เราไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองให้เป็นเหมือนใครเพื่อให้ได้รับความสนใจเลย ความแปลกใหม่หรือสิ่งที่อยู่ในกระแสอาจเรียกความตื่นเต้นได้ชั่วครั้งชั่วคราวในระยะเวลาหนึ่ง แต่การเป็นตัวของตัวเอง ปล่อยชีวิตให้เป็นไปตามธรรมชาติของตัวเรา คือเสน่ห์แท้จริงที่ทำให้เราแตกต่างจากคนอื่น