[Creativity Toolbox คือชุดบทความที่ผมจะพยายามสำรวจเรื่องความคิดสร้างสรรค์ด้วยแง่มุมต่างๆ ทั้งในแง่การทำงานของอาชีพที่ต้องอาศัยความคิดสร้างสรรค์เป็นส่วนประกอบมาก ในแง่การเปลี่ยนแปลงของความคิดสร้างสรรค์หรือการกำหนดกรอบความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆ และในแง่งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง]
ไม่มีอะไรถือกำเนิดจากศูนย์ – ความคิดสร้างสรรค์ก็เช่นกัน ถึงแม้ผลงานบางชิ้นอาจดูเหมือนเป็น ‘สิ่งใหม่’ สำหรับเรา เราอาจคิดว่ามันเป็น ‘สิ่งที่ไม่เคยมีใครคิดได้มาก่อน’ แต่อันที่จริงแล้วผลงานชิ้นนั้นเป็นการรวบรวมและปรับเปลี่ยนความคิดดั้งเดิมเท่านั้น
สตีฟ จ๊อบส์ เคยพูดถึงความคิดสร้างสรรค์ไว้ว่า
“ความคิดสร้างสรรค์เป็นเพียงการเชื่อมต่อสิ่งต่างๆ เข้าไว้ด้วยกันเท่านั้น หากคุณถามครีเอทีฟสักคนว่าเขาสร้างสิ่งต่างๆ ขึ้นมาได้อย่างไร พวกเขาอาจรู้สึกผิดนิดหน่อย – เพราะจริงๆ แล้ว พวกเขาไม่ได้ “สร้าง” สิ่งนั้นขึ้นมา พวกเขาแค่สังเกตเห็นมันเท่านั้น หลังจากสังเกตไปได้สักระยะ พวกเขาจึงสามารถมองเห็นไอเดียได้อย่างแจ่มชัด พวกเขาสามารถ “สังเคราะห์” สิ่งใหม่ๆ ขึ้นมาได้ ก็เพราะพวกเขาเชื่อมโยงประสบการณ์ที่ผ่านมาเข้าไว้ด้วยกันได้นั่นเอง”
แต่เราจะ “เชื่อมโยง” ประสบการณ์ที่ผ่านมาอย่างไร ให้ได้ผลลัพธ์ใหม่ๆ ที่ดู ‘สร้างสรรค์’ หลายคนอาจต้องฝึกฝนวิธีเชื่อมโยงเหล่านี้ทั้งชีวิตกว่าที่จะหาลายเซ็นหรือรูปแบบเฉพาะของตนเองได้เจอ ในขณะที่คนก็อาจบอกว่า ‘มันไม่มีสูตรสำเร็จหรอก’ แต่ก็อาจเป็นประโยชน์ หากเราจำแนกวิธีการ ‘เชื่อมโยง’ ออกจากกันเป็นหมวดๆ
อย่างน้อยมันอาจทำหน้าที่เป็นเครื่องมือ หรือเป็นกรอบคิดที่เราหยิบมาใช้ได้ในการค้นหาไอเดียใหม่ๆ
ในหนังสือ Runaway Species: How Human Creativity Remakes the World, David Eagleman และ Anthony Brandt มีวิธีแยก ‘วิธีการเชื่อมโยงประสบการณ์เก่า’ ให้กลายเป็นความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆ ไว้อย่างน่าสนใจ พวกเขาคิดว่ามนุษย์มีความสามารถในการ ‘รีมิกซ์’ อินพุตเดิมๆ ให้เป็นเอาท์พุตใหม่ และด้วยความสามารถนี้เองที่ทำให้เราพัฒนาอาริยธรรมมาได้ถึงจุดนี้ สามกระบวนการที่อยู่ภายใต้ความคิดสร้างสรรค์ทุกประเภทคือการ Bend, Blend และ Break
อีเกิลแมนและแบรนดท์เขียนไว้ว่า:
“Bending (การโน้ม), Breaking (การแยก) และ Blending (การผสมผสาน) – บีทั้งสามตัวนี้ คือกระบวนการหลักๆ ของการทำงานของสมองที่ก่อให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ ด้วยการใช้กระบวนการใดกระบวนการหนึ่ง หรือหลายกระบวนการผสมกัน มนุษย์สามารถพัฒนาจากโทรศัพท์มือถือเครื่องยักษ์อย่าง IBM Simon ไปสู่ iPhone ได้ และพัฒนาจากวัตถุโบราณมาจนถึงศิลปะยุคใหม่ได้”
การ Bend, Blend และ Break คืออะไรบ้าง:
Bending
Bending คือการที่เราปรับ เปลี่ยน หมุน ลักษณะของสิ่งเดิมจนมันมีรูปร่างผิดแผกไป ซึ่งรวมถึงการย่อ ขยายขนาด หรือบิดมิติอื่นๆ นอกจากความกว้าง – ยาว – สูง อย่างเช่นเวลาด้วย
ตัวอย่างของการ Bend เช่น ตอนที่คลอด โมเน่ต์ วาดภาพอาสนวิหารรูอ็องไว้หลายภาพ แต่แต่ละภาพมีสีสันที่แตกต่างกันไปตามช่วงเวลา หรือตอนที่โฮคุไซวาดภาพภูเขาไฟฟูจิด้วยสไตล์และสีที่แตกต่างกัน นอกจากนั้นยังรวมไปถึงการบิด หมุน รูปร่างของสิ่งมีชีวิตอย่างมนุษย์ ม้า สิงโต เช่นการวาดภาพล้อเลียน หรือการทำงานศิลปะแบบที่ขยายขนาดให้เกินจริง เช่นงาน Shuttlecocks ของ Claes Oldenburg และ Coosie van Bruggen การบิดรูปร่างตึก หรือสิ่งก่อสร้างให้มีลักษณะผิดไปจากเดิม หรือการบิดรูปร่างสิ่งของที่เคยเป็นมา เพื่อความสวยงามหรือประโยชน์ใช้สอยใหม่ๆ เช่น ร่ม
Blending
Blending คือการผสมผสานสองส่วนประกอบหรือมากกว่านั้นเข้าด้วยกันในรูปแบบใหม่ๆ
ตัวอย่างของการ “ผสมผสาน” ที่เห็นได้ง่ายอาจเป็นสัตว์ในตำนานต่างๆ ที่มีลักษณะเป็นมนุษย์ + สัตว์ เช่น เซนทอร์ มิโนทอร์ นางเงือก สฟิงซ์ ฯลฯ ซึ่งนำมาสู่การพยายามผสมยีนของสัตว์บางประเภทเข้าสู่สัตว์อีกประเภท เพื่อให้มีคุณสมบัติพิเศษเช่น Ruppy ลูกสุนัขที่เรืองแสงได้ภายใต้แสงอัลตร้าไวโอเล็ตเพราะได้ยีนจากดอกไม้ทะเล การหยิบยืมแทร็คดนตรีจากเพลงอื่นมาประกอบเพลงของตน (Sampling – เช่นแทร็คกลองจากวง The Winstons ที่ถูกใช้ในเพลงอื่นๆ หลากหลายเพลงตั้งแต่เพลงของ Jay Z ไปจนถึง Amy Winehouse ที่ชื่อ Amen Break ดูวิดีโออธิบายพร้อมตัวอย่างประกอบที่นี่)
Breaking
Breaking คือการนำสิ่งที่สมบูรณ์มาแยกออกเป็นส่วนๆ แล้วอาจประกอบเข้าด้วยกันในรูปแบบใหม่
ตัวอย่างเช่นงาน Broken Obelisk ของ Barnett Newman ที่นำเอาเสาโอเบลิสก์มาหักตรงกลางแล้วประกอบเข้าด้วยกันใหม่ให้แปลกไปจากเดิม การ Break ยังรวมไปถึงงานศิลปะของปิกัสโซ่หรือ Georges Braque, งานศิลปะแบบ Pointillism เช่นของ George Seurat และแนวคิดการแบ่งเสาสัญญาณ (Cell Tower) เพื่อให้ครอบคลุมบริเวณย่อยๆ การ ‘แยกงานบางส่วน’ ออกมาแสดงเป็นชิ้นงานของตน เช่น ศิลปิน Cory Arcangel แฮ็กเกม Super Mario Bros ให้เหลือแต่ท้องฟ้าและก้อนเมฆแล้วฉายขึ้นจอใหญ่ รวมถึงการแตก ‘เสียง’ ออกเป็นความถี่ย่อยๆ แล้วเลือกเฉพาะความถี่ที่มนุษย์เลือกได้ยินออกมา ซึ่งเป็นกระบวนการทำงานของไฟล์เพลง MP3
David Eagleman และ Anthony Brandt บอกว่า ทั้งสามกระบวนการ (Bend, Blend, Break) เป็นเครื่องมือที่สมองของเราใช้เพื่อแปลงประสบการณ์เก่าให้เป็นผลลัพธ์ใหม่ พวกเขาใช้คำน่าสนใจว่ามันเป็น “คำสั่งพื้นฐาน” ในการ “เขียนซอฟท์แวร์แห่งนวัตกรรม” ด้วยการผสานสามกระบวนด้วยกัน เราสามารถสร้างสิ่งต่างๆ ตั้งแต่วลี คำแสลง เพลง ของเล่น ภาพถ่าย งานศิลปะ คอนเซปท์โฆษณา สิ่งประดิษฐ์ และทุกสิ่งทุกอย่างได้
เมื่อเรารู้สึกติดขัดกับการคิดค้นไอเดียใหม่ๆ การกลับมาที่รากฐานอย่างการ Bend, Blend และ Break ก็อาจเป็นวิธีพาเราปีนขึ้นออกจากหลุมได้อย่างไม่ยากเย็นนัก
ผมคิดว่า ด้วยการแตกสามกระบวนการนี้ออกเป็นกระบวนการย่อยๆ เช่น Bend : ขยายขนาด, ลดขนาด, สลับลำดับเวลา, เร่งให้เร็ว, ยืดให้ช้า / Blend: ผสมกับสัตว์, ผสมกับสิ่งของ, ผสานรสชาติ, ผสมกับสีอีกแบบ / Break: แตกออกเป็นชิ้นส่วนย่อย, นำบางส่วนออกไป, แตกออกเป็นส่วนประกอบที่ใช้ซ้ำได้, หั่นเวลา ฯลฯ และผสานหลากหลายกระบวนการเข้าไว้ด้วยกัน อาจทำให้เราค้นพบ “สูตรปรุงความคิดสร้างสรรค์” ได้อย่างไม่รู้จบ
อ้างอิง
สตีฟ จ๊อบส์ – บทสัมภาษณ์จาก Wired : https://www.wired.com/1996/02/jobs-2/
หนังสือ Runaway Species: How Human Creativity Remakes the World, David Eagleman และ Anthony Brandt