“ชาวอิตาเลียนจะมีโจ๊กขำๆว่าโลกใบนี้มันโหดร้ายเกินไปทำให้ชายหนึ่งคนต้องมีพ่อสองคนเพื่อดูแลเขา และนั่นคือสาเหตุที่ทำไมพวกเขามีพ่อทูนหัวยังไงล่ะ” มาริโอ พูโซ ผู้แต่งหนังสือ The Godfather เคยกล่าวไว้ และเช่นเดียวกัน ดูเหมือนเราโลกเราต้องการให้มีหนังที่เป็นพ่อทูนหัวของหนังแนวอาชญากรรม-ดราม่าอย่าง The Godfather
หากจู่ๆ มีการเปิดบทสนทนาขึ้นมาเกี่ยวกับหนังซักเรื่องที่ควรดูก่อนตาย, หนังแก๊งสเตอร์ที่ดีที่สุด หรือไปเปิดเว็บไซต์ IMDb ดูเพื่อหาว่าหนังเรื่องไหนที่มีคนโหวตให้คะแนนสูงที่สุดในโลก ลิสต์นั้นมักจะมีชื่อ ‘The Godfather (1972)’ ของผู้กำกับ ฟรานซิส ฟอร์ด คอปโปลา (Francis Ford Coppola) ที่ดัดแปลงจากหนังสือชื่อเดียวกันของ มาริโอ พูโซ (Mario Puzo) อยู่ในอันดับต้นๆ เสมอ ไปจนถึงบ่อยครั้งที่มีการใช้หนังเรื่องนี้เป็นตัวแทนของคำว่า ‘คลาสสิก’ ‘หนังขึ้นหิ้ง’ หรือไม่ก็ ‘ตำนาน’ กับใช้มันในฐานะกรณีศึกษาเสมือนกับเป็นคนหนึ่งในคลาสสอนภาพยนตร์ การที่คำว่า ‘ข้อเสนอที่ไม่สามารถปฏิเสธได้’ ที่เป็นประโยคติดปากของตระกูลคอร์เลโอเน่ในเรื่องถูกคนดูและนักวิจารณ์นำมานิยามตัวหนังเสียเองจนกลายเป็นสโลแกนประจำไปแล้วแบบไม่ได้มีการนัดหมาย จึงไม่ใช่แค่เรื่องบังเอิญ
หากแต่สิ่งที่น่าสนใจที่สุดคืออะไรทำให้ The Godfather คือ The Godfather อะไรคือสิ่งที่ทำให้หนังเรื่องนี้โลดแล่นและเป็นที่ถูกกล่าวขานถึงระหว่างคนดูจากรุ่นสู่รุ่นจนถึงทุกวันนี้ (และคาดว่าจะสู้รุ่นหลังต่อไปเรื่อยๆ เช่นกัน) และที่มาก่อนจะเป็น The Godfather นั้นต้องผ่านหนทางอันขรุขระมีหลุมบ่ออย่างไรบ้าง คงไม่มีโอกาสดีที่จะพูดถึงหนังเรื่องนี้ไปกว่าวันครบรอบ 50 ปีของ The Godfather กับการที่ล่าสุดถูกนำมาบูรณะใหม่เป็น 4k เพื่อต้อนรับวันครบรอบครึ่งศตวรรษของความอยู่ยงคงกระพันที่ไม่สามารถปฏิเสธได้อีกแล้ว
(บทความเปิดเผยเนื้อหาสำคัญภาพยนตร์เรื่อง The Godfather: Part l &ll)
ก่อนที่จะมาพูดขยายความถึงเรื่องนี้และนำเรื่องที่ว่าจะมาบรรจบกันเพื่อเข้าสู่องค์ประกอบที่ควรพูดถึงของหนัง The Godfather คงต้องย้อนกลับไปถึงต้นกำเนิดที่เกี่ยวข้องกันก่อน
คำว่า ‘มาเฟีย (mafia)’ มีที่มาจากภาษาอาหรับ (เนื่องจากครั้งหนึ่งเคยเป็นพาร์ทหนึ่งของรัฐอิสลามมาก่อน) คือคำว่า mahyas ที่แปลว่า ‘โอ้อวด,คุยโว,วางก้าม’ กับ mu’afa ที่แปลว่า ‘ปกป้องคุ้มครอง,ความปลอดภัย’ ที่ถูกใช้อย่างแพร่หลายเมื่อตอนที่เกิดสงครามกลางเมืองอันเนื่องมาจากชาวซิซิลีหรือชาวอิตาเลียนใต้ลุกมาจับอาวุธต่อสู้กับรัฐบาลที่จะเข้ามาควบคุมและเปลี่ยนแปลงระบบการปกครอง จึงเกิดการเก็บค่าคุ้มครองขึ้นจากพวกกองกำลังติดอาวุธที่มีทีท่าว่าจะหวังดีแต่จริงๆ ก็คือพวกแก๊งนักเลง อาชญากรรม มือปืนรับจ้าง ที่แสวงหาผลประโยชน์จากสถานการณ์และความโกลาหลวุ่นวายนั่นแหละ
ตั้งแต่ช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ถึงต้นศตวรรษที่ 20 (ราวๆ ปีคริสต์ศักราชที่ 1880s-1920s) ที่ช่วงนั้นชาวอิตาเลียนนับล้านอพยพจากอิตาลีตอนใต้ โดยส่วนใหญ่เดินทางมาจากซิซิลีที่เป็นต้นกำเนิดของคำคำนี้ อันเนื่องมาจากสาเหตุเกี่ยวกับความอดอยาก ความยากจน แผ่นดินไหว และความรุนแรง เพื่อเดินทางมาแสวงหาโชคในอเมริกา ดินแดนแห่งโอกาสและความมั่งคั่ง การมาครั้งนี้ส่งผลให้อเมริกามีลูกหลานชาวอิตาเลียนในปัจจุบันถึง 17.8 ล้านคนหรือราวๆ 5% ของประชากรทั้งหมด อีกทั้งยังเป็นการนำอิทธิพลของมาเฟียมาก่อร่างสร้างตัว เรืองอำนาจ รวมกลุ่มแผ่ขยายอำนาจ รวมถึงทำธุรกิจสายมืดที่เกี่ยวข้องกับอาวุธปืน การพนัน เหล้า และการค้าประเวณีด้วยเช่นกัน
มาเฟียอิตาลีที่ถูกเรียกว่า ‘อเมริกันมาเฟีย’ เป็นปัญหาใหญ่ระดับชาติของอเมริกาที่นับวันจะทรงพลังมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะในช่วงที่มีการก่อตั้งกลุ่ม The commission หรือสมาคมมาเฟียอาตาลีที่รวมกันเป็นปึกแผ่น เพื่อเอาดีทางด้านนี้และสร้างความมั่นคงให้กับเส้นทางสายอาชญากรรมของพวกเขาจนเกิดเป็น 5 ครอบครัว (five families) ที่บอสของบางตระกูลในนี้เป็นแรงบันดาลใจให้กับ The Godfather ได้หยิบยืมองค์ประกอบเอามาใช้และเอามาสร้างเป็นตัวละคร วิโต คอร์ลีโอเน่ (Vito Corleone) รวมไปถึงธุรกิจค้าน้ำมันมะกอกบังหน้าและการเป็นมาเฟียด้วยเกียรติ ศักดิ์ศรี และความเคารพนับถือ
ทีนี้กลับมาเรื่องทั้งสองคนที่เป็นบิดาของ The Godfather ทั้งคู่ ที่เปรียบเสมือนมีมาริโอเป็นพ่อที่แท้จริง และฟรานซิส ฟอร์ด โคปโปลา เป็นพ่อทูนหัว สาเหตุที่ต้องเกริ่นก่อนเพราะเรื่องที่มาของชาวอิตาลี มาเฟีย และคำว่ามาเฟียล้วนเกี่ยวข้องกับทั้งหนังสือ ภาพยนตร์ และทั้งมาริโอและฟรานซิสนั้นต่างก็เป็นลูกหลานของชาวอเมริกัน-อิตาเลียน หรือมีเชื้อสายของชาวอิตาลีอพยพ การเขียนหนังสือและทำหนังเรื่องนี้จึงเป็นเหมือนการสะท้อนวัฒนธรรมอิตาลีไปสู่สายตาชาวโลก และทำการ ‘italianise’ ให้อเมริกาหันมาสนใจ ยอมรับ และมองหนังอาชญากรรม-ดราม่าอิตาลีกับวัฒนธรรมอิตาลีใหม่ในฐานะตระกูลภาพยนตร์ตระกูลหนึ่งที่มีอะไรมากว่าความรุนแรง
จุดเริ่มต้นของ The Godfather มาจากเรื่องความขาดแคลน เงิน และการแสวงหาโชค เช่นเดียวกับบรรพบุรุษของทั้งสองที่อพยพมายังอเมริกา สำหรับมาริโอเขาตอบรับข้อเสนอของตัวเองในการแต่งหนังสือเพื่อหาเงินไปใช้หนี้ และสำหรับฟรานซิส ที่พอได้อ่านหนังสือของมาริโอแล้วไม่สนใจกับมองว่าหนังสือเล่มนี้ก็แค่หนังสือธรรมดาอ่านจบรู้สึกว่าไม่สนใจอ่านเล่มอื่นอีก ไม่พอยังปฏิเสธข้อเสนอที่จะได้เป็นผู้กำกับหนังเรื่องนี้หลังจากที่ผู้กับกำชื่อดังมีแต่คนไม่อยากมากำกับ จนกระทั่งจอร์จ ลูคัส (George Lucas) บิดาแห่ง Star Wars ที่เปิดบริษัทผลิตภาพยนตร์ที่ชื่อ American Zoetrope ด้วยกันพูดกับเขาในตอนที่บริษัทเป็นหนี้ว่า “ฟรานซิส เราต้องการเงินนะ นี่เจ้าหน้าที่หน่วยงานภาษีเค้าจะเอาโซ่มาล่ามประตูบริษัทอยู่แล้ว นายรับงานนี้เถอะ!”
ช่วงนั้นประจวบเหมาะกับที่สตูดิโอ Paramount กำลังต้องการผู้กำกับหนุ่มซักคนที่หนุ่มๆ และสามารถควบคุมได้ง่ายๆมากำกับงานนี้ ซึ่งสำหรับทั้งสตูดิโอและฟรานซิส มันคือความแฟร์ที่มีใจความประมาณว่า ‘ผมต้องการรายได้ไปใช้หนี้และประคองบริษัท คุณต้องการผู้กำกับหุ่นเชิด ที่ยิ่งเป็นชาวอเมริกัน-อิตาเลียนกับค่าตัวถูกกว่า 4 คนที่คุณเคยเสนอให้พวกเขากำกับมาด้วยแล้วยิ่งเข้าทาง ถ้าอย่างงั้นเราจับมือกัน’ ซึ่งไม่เพียงแต่เป็นเรื่องเงินๆ ทองๆ เท่านั้น แต่เมื่อฟรานซิสได้ไปพบกับมาริโอตัวเป็นๆ เขาก็สัมผัสได้ว่าชายคนนี้เป็นคนเรียลๆ คุยสนุก และสนิทสนมเหมือนลุงแถวบ้านผู้เป็นมิตรคนหนึ่ง มิตรภาพของทั้งคู่จึงก่อตัวขึ้น รวมถึงฟรานซิสเองก็มองมาริโอและหนังสือของเขาใหม่เช่นกัน
แต่ใครจะไปนึกว่าหนังเรื่องนี้จะเปลี่ยนแปลงทุกอย่างไปตลอดกาล ทั้งชีวิตของนักเขียนและผู้กำกับ, โลโก้ Paramount และอุตสาหกรรมภาพยนตร์ ใครจะไปนึกว่า The Godfather คือหนึ่งในองค์ประกอบของปรากฏการณ์บิ๊กแบง และใครจะไปนึกว่ามันจะเป็นผู้บุกเบิกเหมือนที่ชาวอิตาลีอย่างคริสโตเฟอร์ โคลัมบัส ทำให้อเมริกาเป็นที่รู้จัก
แต่เส้นทางกว่าจะถึงตอนนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย The Godfather ไม่ใช่หนังที่มีหนทางราบรื่นเอาซะเลย ฟรานซิสเกือบที่จะถูกไล่ออกตั้งสามสี่ครั้งเพราะไม่ถูกกับ บ็อบ อีแวนส์ (Bob Evans) โปรดิวเซอร์หนังเพราะไม่ลงรอยกับเขาและสตูดิโอ และเกือบจะไม่ได้กำกับต่อหากไม่ใช่เพราะได้ออสการ์จากหนัง Patton (1970) ที่เขาร่วมเขียนบทที่ทำให้ดูน่าไว้เนื้อเชื่อใจมากขึ้น ไหนจะปัญหาเรื่องที่สตูดิโอไม่ต้องการให้ มาร์ลอน แบรนโด (Marlon Brando) มารับบทวีโต และไม่ต้องการให้อัล ปาชิโน (Al Pacino) มารับบทเป็นไมเคิล คอร์ลีโอเน่ (Michael Corleone) อีก แต่ด้วยลูกตื๊อและความหัวรั้นของฟรานซิสที่จะให้อัลมาเล่นให้ได้ถึงขั้นอัดคลิปแคสต์แบบถ่ายแล้วถ่ายอีกจนอัลได้ฉายแวว กับวีดิโอออดิชั่นของมาร์ลอนที่เขาทำให้สตูดิโอและผู้กำกับต้องตะลึงด้วยการตีความให้วีโตหน้าเหมือนหมาบูลด็อกเลยเอาทิชชู่ไปยัดปาก เอาแว็กซ์ขี้ผึ้งมาปาดผม และพูดแสบแหบๆ ช้าๆ ปลี่ยนเป็นอีกบุคลิกอย่างน่าประทับใจ ทั้งคู่จึงได้รับบททั้งสองในหนังเรื่องนี้
อีกปัญหาหนึ่งที่เกือบทำให้หนังไม่ได้สร้างคือถูกมาเฟียตัวจริงก่อกวนเพราะไม่ต้องการให้หนังเรื่องนี้พูดถึงกับเปิดโปงโลกใต้ดินและชีวิตส่วนตัวของมาเฟียมากเกินไป หรือพูดง่ายๆคือเล่าซะเหมือนเลยนั่นแหละ (หนังยังพูดถึงบุคคลริงและมีอ้างอิงถึงเหตุการณ์จริงด้วย) มาเฟียที่ไหนจะไปอยากให้ทำหนังที่พูดถึงสิ่งแบดๆที่ตัวเองกำลังทำในเงามืดกันล่ะ หัวหน้าสมาพันธ์สิทธิมนุษยชนชาวอิตาเลียน-อเมริกันที่ชื่อ โจเซฟ โคลัมโบ (Joseph Columbo) ที่ต่อต้านการเหมารวมและการเหยียดชนชาติชาวอิตาเลียนเลยดูเหมือนจะประสงค์ดี แต่ที่ทำไปก็เพื่อไม่ให้เรื่องนี้อยู่ถูกแสงสปอตไลท์ฉายชัดถึงขั้นมีการระดมทุนเพื่อใช้ฟ้องร้องไม่ให้หนังเรื่องนี้ได้สร้างเพราะตัวเองเป็นบอสแก๊งมาเฟียตระกูลโคลัมโบเหมือนกัน แต่ก็ล้มเหลว เลยใช้วิธีการไกล่เกลี่ยที่พวกเขาคุ้นเคยคือทุบกระจกรถโปรดิวเซอร์คนหนึ่ง และโทรไปขู่ทำร้ายร่างกายลูกโปรดิวเซอร์อีกคน ไปจนถึงขู่วางระเบิดออฟฟิศ Paramount จนต้องย้ายหนีสองรอบ แต่สุดท้ายโปรดิวเซอร์คนแรกที่ชื่ออัลได้ไปคุยกับโจเซฟแบบ face-to-face เพื่อเสนอข้อเสนอที่’ขอร้องอย่าปฏิเสธเถอะ’ คือตัดคำว่ามาเฟียออกจากหนัง โจเซฟอนุมัติ หนังเลยได้สร้างอย่างสะดวกโยธิน ส่วนโจเซฟเป็นแรงบันดาลใจให้เกิดตัวละครโจอี้ ซาซ่า (Joey Zasa) ตัวร้ายใน Part lll
นอกจากอะไรเหล่านี้ก็ยังมีวิธีการทำหนังของฟรานซิสที่สตูดิโอไม่เห็นด้วยหลายอย่าง ทั้งการถ่ายทำแบบกองโจร, ปล่อยให้ความผิดพลาดของการแสดงเป็นเรื่องธรรมชาติ, การใช้งบประมาณที่อ่าอ่าฟุ่มเฟือย, การเนรมิตฉากที่อลังการเกินความจำเป็น (ในสายตาพวกเขา), การจัดแสงที่มืดเกินไปแบบที่ขัดกับหนังเรื่องอื่นๆ จนค่ายอดกังวลไม่ได้ ,เรื่องที่ฟรานซิสไล่ทีมงานออกเพราะไม่เข้าใจสิ่งที่เขาทำและแย้งเขาตลอดจนทำงานลำบาก ที่ทำให้เขาเกือบต้องหลุดจากโปรเจ็กต์นี้ไปแล้ว กับการที่สตูดิโอต้องการลดค่าใช้จ่ายโดยการปลี่ยนให้หนังเกิดขึ้นในยุค 70s หรือร่วมสมัย แต่ฟรานซิสไม่ยอมและไฟต์อยู่นานเพื่อให้หนังเกิดขึ้นในช่วงยุค 40s ตามนิยาย สุดท้ายหนัง The Godfather ก็เกิดขึ้นและเป็นไปอย่างที่เขาต้องการ ดูเหมือนสตูดิโอต้องการม้าเชื่องๆ พวกเขากลับได้ม้าพยศ และมันคือม้าพยศที่พาให้พวกเขาได้รับทั้งชื่อเสียงและเงินทอง ส่วนม้าตัวนี้ก็ไม่คิดว่าฝันเหมือนกันว่าการวิ่งหน้าตั้งอย่างบ้าดีเดือดและคึกคะนองนี้จะทำให้คนรู้จักมันและสกุลของมัน
The Godfather ฉบับภาพยนตร์ที่เกิดจากการร่วมเขียนบทของทั้งฟรานซิสและมาริโอตัดรายละเอียดจากหนังสือไปเยอะพอสมควร
อันที่จริงจะบอกว่าการที่จะพูดว่าหนังสือของมาริโอ พูโซ นั้นมีน้ำเยอะก็ไม่ถูก เรียกว่าหนังสือมี side story ที่โฟกัสไปถึงพื้นหลังของอีกตัวละครพอสมควรจนถึงมากไปหน่อย ที่แม้จะเสริมให้เรื่องราวดูมีมิติและการกระทำตัวละครมีน้ำหนักมากขึ้นจากการทำความรู้จักและเข้าใจ แต่ก็ดูพาเฉไฉไปทางอื่นและดูจะออกนอกเรื่องกับเบี่ยงเบนความสนใจไม่น้อย ไหนจะพล็อตรอง (sub plot) ที่ไม่จำเป็นอีก ซึ่งที่หนังสือดูเหมือนดราฟต์แรกหรือเนื้อหาสะเปะสะปะพอสมควรก็เพราะมาริโอ พูโซ เขียนดราฟต์แรกให้สำนักพิมพ์ลองดูๆ ก่อนแล้วตัวเองก็ไปเที่ยววันหยุด แต่สำนักพิมพ์ดันตกลงและเอาดราฟต์นี้ไปตีพิมพ์ ก็เลยออกมาเป็นหนังสือเล่มนี้จนเจ้าตัวเองก็รู้สึกเสียใจและเคยพูดออกสื่อว่า “ถ้ารู้ว่ามันจะถูกสร้างเป็นหนังและดังขนาดนี้ ผมจะเขียนหนังสือให้ดีกว่านี้”
แต่การทำหนังเรื่องนี้จะนับว่าเป็นการแก้มือของมาริโอและเป็นโอกาสดีที่เขาจะได้เกลาจากดราฟต์แรกเป็นดราฟต์ที่ตัวเองรู้สึกพึงพอใจจริงๆก็ได้ หากสังเกตจะเห็นว่าฟรานซิสให้ได้เกียรติมาริโอด้วยการใช้ชื่อหนังว่า ‘Mario Puzo’s The Godfather’ เขาให้เหตุผลสำหรับชื่อนี้ว่าเพราะมันมาจากหนังสือมาริโอและมาริโอยังปรับบทด้วยตัวเองอีกด้วย การทำงานร่วมกันของทั้งสองคนเพื่อที่จะคัดกรองแต่เนื้อๆ จำเป็นๆ ตัดทอนรายละเอียดไม่จำเป็น ดัดแปลงเนื้อหาตัวละคร และเปลี่ยนให้เนื้อหาใน The Godfather เล่าเรื่องได้อย่างเฉียบคมกับดีที่สุดเข้มข้นที่สุดในรูปแบบของภาพยนตร์ที่มีเวลาแค่ 3 ชั่วโมง
การทำงานร่วมกันของทั้งสองเลยเหมือนเป็นการเจียระไนเพชร และตัวหนังที่เราได้ดูคือเพชรที่เจียระไนอย่างประณีต แต่ก็มีสองสิ่งที่น่าเสียดายจากการเจียระไนนี้คือ 1. ตัวละครบางตัวถูกลดบทบาทและพอขาดแบ็คกราวน์ไปทำให้อินกับตัวละครน้อยลงกว่าฉบับหนังสือ 2. ขาดเรื่องราว origins ของวีโต คอร์ลีโอเน่ไป
แต่สิ่งที่ได้คือหนังเรื่องนี้ในเวอร์ชั่นที่เราได้ดูกันไป และสำหรับโรเบิร์ต แม้จะน่าเสียดายที่ไม่ได้เห็นในหนังภาคแรก แต่กลับเป็นความเสียดายที่ไม่น่าเสียดาย เนื่องจากการแสดงของเขาและเรื่องราวของตัวละครวีโตตอนหนุ่มเป็นส่วนหนึ่งที่มีความสำคัญครึ่งต่อครึ่งของหนังภาคสองที่สอดคล้องไปกับพาร์ทเรื่องราวของไมเคิลอย่างเพอร์เฟ็คต์ รวมไปถึงแคสต์อย่างโรเบิร์ต เดอ นีโร (Robert De Niro) ที่เป็นดาวเด่นตอนแคสต์บทไมเคิลและซันนี่ลูกชายคนโตตระกูลนี้ด้วยเช่นกัน เขาคืออัญมณีที่ถูกเก็บไว้ใช้ใน Part ll พร้อมกับเนื้อเรื่องต้นกำเนิด ที่โดยรวมแล้วหนังทั้งสองภาคคือหนังที่ถกเถียงไม่ตกว่าทั้งที่มันเยี่ยมยอดทั้งคู่ เรื่องไหนดีกว่ากัน บางคนบอกว่าภาค 2 ดีกว่าภาคแรกอีก และมีหลายคนมองสองเรื่องนี้เป็น ‘The Godfather’ แพ็คเดียวไปเลยจะง่ายกว่า
ความเป็น The Godfather และเหตุผลที่หนังเรื่องนี้คลาสสิก เป็นที่พูดถึงอยู่เรื่อยๆ คือองค์ประกอบกับความละเมียดละไม ที่ทั้งตัวผู้กำกับและตัวหนังต่างก็ถูกยกให้อยู่ใน ‘ชั้นครู’ กล่าวคือหนังใส่ใจในแบบที่ว่าหากไม่นับฉากเดียวในภาคแรกที่ตัวละครซันนี่เตะ ต่อย กระทืบแฟนน้องสาวโดยที่เห็นชัดว่าต่อยไม่โดน แทบไม่รู้จะหักคะแนนตรงไหนจริงๆ ทำให้ถึงแม้จะยืดยาวหากให้ไล่เรียงว่าหนังใส่ใจด้านไหนบ้าง แต่ก็อยากจะไล่ให้เห็น ว่าองค์ประกอบที่ทำให้หนังออกมาเป็นเช่นนี้ มีทั้งการแคสต์ตัวละคร การเขียนบทดัดแปลงแบบที่รู้ว่าควรคัด ตัด ดัดแปลง อย่างไร การกำกับที่เป๊ะและเฉียบคม การวางแผนการถ่ายทำอย่างดี การแสดง ไดอะล็อก คำพูดคมมากมาย ฉาก iconic น่าจำจดมากมายที่หากไม่เจอบ่อยๆ ในแง่ชื่นชมก็ถูกทำเป็นมีม ความเล่นใหญ่อลังการด้านโปรดักชั่น และอีกมากมาย
สิ่งที่อยากจะแยกมาพูดที่เป็นความโดดเด่นของหนังจนต้องให้พื้นที่เพื่อพูดถึงเน้นๆ คือ การจัดแสงและการบล็อคกิ้งสื่อสารความหมาย เป็นสองอย่างที่จำได้ว่าสมัยเรียนฟิล์มตอนช่วงมหาลัย อาจารย์ในคลาสมักจะหยิบยกมาเป็นแบบอย่างในการสอนและชำแหละถอดองค์ประกอบทั้งสองนี้ในหนังให้เห็นว่าการเล่าเรื่องด้วยภาพในภาพยนตร์ให้ทรงพลังและมีความหมายนั้นทำอย่างไร
หนังเรื่องนี้ให้ความสำคัญกับการจัดแสดงเป็นอย่างมาก กอร์ดอน วิลลิส (Gordon Willis) ผู้กำกับภาพให้หนัง The Godfather ได้ฉายาว่า ‘Price of Darkness’ ไม่ใช่เพราะเขามาจากจักรวาล DC อันมืดมนหรือเป็นฮีโร่ที่มีแม่ชื่อมาร์ธ่า แต่เพราะเขากำกับหนังสองเรื่องนี้โดยใช้แสงสื่อความหมายของสิ่งที่หนังกำลังจะสื่อ คือจัดแสงให้ห้องมืดๆ และแสงน้อยๆ แสดงถึงเนื้อหาที่พูดคุยของมาเฟียในห้อง, ด้านมืดด้านสว่างของไมเคิล (good & evil) ที่จัดแสงให้เกิดเงาด้านหนึ่งของใบหน้าอย่างชัดเจนและเราจะเห็นตรงนี้ชัดขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเขาถลำลึก ไปจนถึงการใช้แสงส่องจากด้านบนลงมาด้านล่าง ก่อให้เกิดเงาจากบริเวณโหนกคิ้วกระทบมายังบริเวณใต้คิ้วและรอบดวงตา ที่สื่อถึงความดำมืดในจิตใจ เราจะเห็นว่าหนังใช้เทคนิคนี้กับวีโตตั้งแต่ฉากแรกของหนัง ก่อนที่จะค่อยๆ ใช้กับไมเคิลแบบทีละเล็กละน้อยจนเขานั่งเก้าอี้ตัวเดียวกับพ่อ
ส่วนการบล็อคกิ้งหรือกำหนดตำแหน่งการเคลื่อนกล้อง มุมกล้อง และการเคลื่อนที่ตัวละครให้สอดคล้องกับการจัดแสงโดยใช้หลักการใกล้เคียงกับละครเวทีก็สำคัญไม่น้อยไปกว่ากัน ซึ่งต้องอาศัยความเป๊ะมากๆ หากผิดจุดผิดคิวจะต้องเริ่มใหม่ นั่นคือเหตุผลที่หนังเรื่องนี้คือมาสเตอร์คลาส ไม่เพียงแต่จะวางแผนและทำออกมาได้อย่างที่คิดแล้ว ตำแหน่งสูงต่ำตัวละคร การนั่งการยืน การโยกย้าย และการแบ่งโซนตัวละครเองก็ยังสื่อถึงการถูกคุกคาม อำนาจ การแบ่งฝักแบ่งฝ่าย ใครเล็กใครใหญ่ ใครถูกใครผิด หรืออะไรเหล่านี้ได้อย่างแยบยลและน่ากดหยุดมาวิเคราะห์ฉากต่อฉาก เช่นกัน ถ้าจะให้เปรียบเทียบให้เห็นภาพคือ The Godfather มีเนื้อหาเกี่ยวกับ ‘organized crime’ หรือองค์กรอาชญากรรมที่มีการจัดการเป็นระเบียบระบบ ตัวหนังเองก็เป็นหนังที่รังสรรค์องค์ประกอบเหล่านี้ออกมาได้อย่างเป็น ‘organized movie’ เช่นเดียวกัน
หนังเรื่องนี้มีพลังในการทำให้เรารู้สึกถึงสิ่งเหล่านี้ (การนำเสนอที่เป็นระบบระเบียบและสอดแทรกไปด้วยความหมาย) ขณะดูอย่างไม่รู้ตัวได้ได้แม้ไม่ได้สังเกต หรือตั้งใจจ้องเขม็งก็ตาม และหนังชี้นำความรู้สึกนึกคิดเราโดยที่ไม่จำเป็นต้องใช้ดนตรีประกอบเล่นใหญ่หรือใช้มุมกล้องใกล้ๆ เพื่อตีกรอบความคิดแต่อย่างใด แต่ให้คนดูเป็นผู้สังเกตการณ์ ในขณะเดียวกันองค์ประกอบต่างๆ เหล่านี้เองจะเป็นตัวทำหน้าที่ดึงเราเข้าไปอยู่ตรงนั้นจนรู้สึกว่าสิ่งที่เราเห็นและความรู้สึกที่เรารู้สึกนั้นเป็นของจริงเอง
มาถึงเรื่องเนื้อหา อย่างที่ทราบกันดีว่าหลักๆ แล้ว The Godfather บอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับชายสองคนบนปกหนังภาค l & ll คือ วีโต คอร์ลีโอเน่ และ ไมเคิล คอร์ลีโอเน่ ลูกชายคนเล็กหัวแก้วหัวแหวน ที่หลังจากที่คนพ่อเห็นว่าลูกเป็นทหารและอยู่นอกวงโคจรแล้ว จึงไม่ต้องการให้ลูกคนนี้ยุ่งเกี่ยวกับธุรกิจที่เขากำลังทำอยู่ แต่โชคชะตาดันเล่นตลก วีโตที่เหมือนจะอยู่นานกลับถูกลอบสังหารตั้งแต่ต้นเรื่องจนนอนพักฟื้นซะส่วนใหญ่ในหนังภาคแรก ทำให้ลูกชายคนเล็กที่ดูฉลาดสุขุมที่สุดในทุกทั้งหมด (ลูกแท้ๆ 4 คน ลูกบุญธรรม 1 คน) และเป็นคนเดียวที่จะล้างแค้นและทวงคืนพื้นที่ให้ตระกูลได้สำเร็จได้ จึงต้องทำเพื่อครอบครัว เป็นเหตุให้ไม่ใช่แค่พัวพันกับเรื่องนี้ แต่เขากลายเป็นบอสคนต่อไปซะเอง
การที่ขาดวีโตไปทำให้ครอบครัวคอร์ลีโอเน่ถูกบีบ
จากทั้งโชคชะตาและแก๊งอริ ให้ไม่ออกจากเกม
ก็ต้องสู้เพื่อมรดกครอบครัวและสิ่งที่พวกเขาเติบโตมากับมันตลอดชีวิต
ความขัดแย้ง (conflict) เป็นสิ่งที่สร้างความน่าสนใจให้กับตัวหนัง ยิ่งทำให้เดาไม่ถูกว่าจะลงเอยอย่างไรเท่าไหร่ ก็ยิ่งน่าสนใจมากขึ้นเท่านั้น หนัง The Godfather ทั้งสองภาคไม่เพียงแต่จะพูดถึงความขัดแย้งภายนอกอย่างความขัดแย้งระหว่างแก๊งอันเริ่มมาจากการที่วีโตปฏิเสธข้อเสนอขายยาเสพติดจนเป็นเหตุให้ถูกโค่นและเกิดการปะทะระหว่างแก๊งแล้ว และหนังให้ความสำคัญมากกว่ากับปัญหาภายในที่มีตั้งแต่ตัวละครในครอบครัวเดียวกัน ความเป็นพี่น้องระหว่างไมเคิล, ซันนี่ (Sonny) พี่คนโต, เฟรโด้ (Fredo) พี่คนรองผู้ไม่ฉลาดและไม่เอาไหน กับคอนนี่น้องสาวคนเล็กและสามี กับทอม เฮแกน ลูกบุญธรรมวีโต ผู้เป็นคอนซิเยเร (Consigliere) หรือทนายมือขวา ที่ปรึกษาของครอบครัว ไปจนถึงความขัดแข้งในความคิดความอ่าน การตัดสินใจ และการกระทำของแต่ละตัวละคร ซึ่งความขัดแย้งทั้งหมดนี้ดูจะน่ากลัวกว่าความขัดแย้งภายนอกเสียอีก The Godfather เป็นหนังที่ขยี้ตรงนี้ให้เราเห็นอย่างชัดเจน ถ้าตัดพี่น้องคนอื่นที่เหมือนเป็นเบี้ย เป็นตัวกระทุ้งเหตุการณ์ และเป็นตัวละครผู้ช่วยแล้วโฟกัสไปที่ไมเคิล ตัวละครที่สำคัญที่สุดในทั้งสองภาคอย่างไมเคิลคือคนที่ต่อสู้ตัวเองอย่างหนักหน่วงและโชกโชนที่สุด เขาไม่มีทางเลือก เขาต้องต่อสู้กับตัวเองตั้งแต่เรื่องทางเลือกว่าจะเลือกเส้นทางสะอาด หรือเส้นทางมืดหม่นและทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อพ่อ เพื่อพี่น้อง เพื่อครอบครัว
ไมเคิลเลือกอย่างหลังและเขาเป็นคนเปิดฉากชีวิตเส้นทางนี้ด้วยตัวเอง ทำให้เขาต้องเผชิญกับชีวิตครอบครัวที่แตกร้าว อาศัยท่ามกลางหมอกควันแห่งความไม่ไว้วางใจ และการที่ใครก็สามารถทรยศหักหลังได้ แม้กระทั่งพี่น้อง ผองเพื่อน คนสนิทคนใกล้ตัว แม้กระทั่งคนเก่าแก่ที่อยู่ด้วยกันมานาน จนถึงต้องตัดสินใจยากลำบากเกี่ยวกับเรื่องศัตรูกับการจัดอย่างอย่างไรกับเรื่องพวกนี้ คนพวกนั้น
เมื่อดูทั้งสองพาร์ทแล้วเก็บมาคิดว่า ถึงจะไม่รู้ว่าการเป็นมาเฟียที่ดีคืออะไร การที่ต้องทำหน้าที่มาเฟียโดยใช้สโลแกน เกียรติยศ ศักดิ์ศรี เป็นที่เคารพ และต้องทำธุรกิจผิดกฏหมายกับฆ่าคนเมื่อต้องฆ่า ทำในสิ่งที่ต้องทำเพื่อให้ชีวิตและธุรกิจสายมาเฟียดำเนินต่อไปได้โดยที่ไม่สนว่าต้องแลกมาด้วยอะไร หรือเป็นมาเฟียที่ยิ้มแย้มแจ่มใส ไม่รบราฆ่าฟันกับใคร ก้มหน้าก้มตาทำธุรกิจไม่ถูกกฎหมายโดยที่ไม่ไปเดือดร้อนใคร ไม่ข่มเหงใช้อำนาจกับใคร แต่อย่างหลังในเมื่อนิสัยดีขนาดนี้จะนับว่าเป็นมาเฟียก็คงไม่ใช่อีก จึงได้ข้อสรุปว่าคือการเป็นมาเฟียโดย ‘ขีดเส้นชัดเจน’ และมีศีลธรรมตามแบบฉบับมาเฟีย นั่นคือวีโต้ คอร์ลีโอเน่ หรือคนพ่อที่สร้างชื่อให้กับนามสกุลนี้ ชายผู้รักครอบครัวยิ่ง ชายผู้เป็นมากกว่าเจ้าพ่อ เป็นพ่อทูนหัว (godfather) ไม่ใช่แค่กับลูกๆ คนใกล้ตัว แต่เป็นพ่อทูนหัวของทุกคนและคนที่แม้แต่มาเฟียใน 5 ตระกูลด้วยกันยำเกรงที่สุด
วีโตอพยพมาจากซิซิลี หมู่บ้าน คอร์ลีโอเน่ (Corleone) เขาไม่ได้อยากเป็นมาเฟีย ไม่ได้อยากมีอำนาจ แต่มาเฟียท้องถิ่นทั้งฆ่าพ่อ ฆ่าพี่ และฆ่าแม่ของเขา จึงต้องระหกระเหเร่ร่อนมาจากเมืองนี้ และกลายเป็นตัวแทนของหมู่บ้านคอร์ลีโอเน่ที่อเมริกา วีโตเริ่มต้นจากการทำอาชีพสุจริตก่อนที่มาเฟียอีกคนจะบีบให้เขาต้องตกงาน ก่อนจะต้องหันมาทำอาชีพขโมยของ เก็บฆ่าคุ้มครอง สังหารมาเฟียคนนั้น และขึ้นเป็นมาเฟียซะเอง ฉะนั้นจะเห็นได้ว่าโลกที่โหดร้ายกับผู้คนที่มาจากประเทศเดียวกัน บีบให้เขาที่มาต่างถิ่นต้องยึดอำนาจและขยายอำนาจเพื่อความอยู่รอดและมั่นคงปลอดภัย โดยขีดเส้นชัดเจนทั้งในเรื่องของการให้ความรักกับครอบครัวและการเป็นมาเฟียเท่าๆกัน และมีการงานธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับผู้หญิง เหล้า การพนันเท่านั้น ไม่แตะยาเสพติดเป็นอันขาด บวกกับการเป็นชายผู้ถ่อมตัวและทำตัวให้เคารพ คนจึงเคารพเขา
วีโตคอร์ลีโอเน่เป็นชายผู้มีเกียรติ และสิ่งที่เขาทำคือการจับจองพื้นที่ในการเป็นมาเฟีย แต่เมื่อเขาใช้พื้นที่นั้นโดยที่คนอื่นเห็นไม่ตรงกัน จึงถูกโค่นล้ม ขึ้นชื่อเรื่องอำนาจก็เป็นอย่างนี้ไม่จับจองก่อน ก็ช่วงชิง และเกี่ยวข้องกับเรื่องของ rise and fall (การขึ้นสูงลงต่ำ) ที่พอขึ้นสูงสุดใน 5 ครอบครัวแล้วทางเดียวที่จะไปต่อได้คือทางลงเท่านั้น
สิ่งที่เกิดขึ้นกับวีโตและครอบครัวและเส้นทางโลกอาชญากรรมเปรียบเหมือนการที่เขาเดินเข้าไปในความมืดและจุดคบเพลิง ตาปรับสภาพ มองเห็นด้วยแสงไฟ แต่ใช่ว่าเขาจะมองเห็นหรือรู้ว่าจะจู่โจมจากทางไหน เมื่อไหร่ มันคือโลกหวาดระแวงที่พร้อมจะทรยศและถูกบดขยี้ได้ทุกเมื่อ สิ่งที่วีโตทำแทนที่จะเป็นความมั่นคง กลับกลายเป็น ‘Sins of the Father’ แทน วีโตเหมือนจับลูกชายทุกคนรวมถึงไมเคิลใส่สูทสีดำ สูบซิการ์ ปาดมันวาวผมไปด้านหลังตั้งแต่พวกเขายังไม่ได้เกิดมาด้วยซ้ำ จึงไม่ผิดนักถ้าจะบอกว่าเส้นทางสายนี้ไม่มีทางออกที่ดีและน้อยคนที่จะจบอย่าง peacefully เหมือนที่ตัวเขาที่ริเริ่มทุกอย่างนั้นตายอย่างสงบ (ก็ว่าได้) ระหว่างเล่นกับหลานในไร่สวน เพราะถ้าให้เก็บสถิติจากการเป็นมาเฟียและให้นักคณิตศาสตร์มาคำนานความน่าจะเป็นในการมีโอกาสใช้ชีวิตสงบสุข ไม่ว่าจะอยู่ในเกมต่อหรือแค่อยากถอนตัวไปดื้อๆ อัตราคงต่ำน่าดู แทบทุกคนล้วนแต่มีจุดจบเกี่ยวข้องกับกระสุนปืน เลือด และน้ำตาทั้งสิ้น
ซึ่งทั้งหมดนี้ถูกสะท้อนผ่านเรื่องราวพาร์ทของวีโตและไมเคิลในภาค 2 อย่างสอดคล้อง ลงตัว สมบูรณ์ การเทียบกันของคนพ่อผู้เริ่มทุกอย่างกับคนลูกที่ต้องสานต่อมัน หนัง The Godfather ทั้งสองภาคไม่ได้แค่พูดถึงจุดจบของสายอาชญากรรม แต่ใช้เนื้อหาและเทคนิคด้านภาพยนตร์ต่างๆ เพื่อเล่าถึงความโกลาหลสุดน่ากลัวระหว่างทางของการเป็นเจ้าพ่ออย่างน่าสะพรึงและงดงามในเวลาเดียวกัน
ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่ทำให้ The Godfather เป็นหนังที่มีชีวิตและควรค่าแก่การดูแล้วดูอีก เป็นเหตุผลว่าทำไมหนังเรื่องนี้ถึงมีชีวิตยืนยาวถึง 50 ปี และจะมีชีวิตยืนยาวกว่านั้นตราบเท่าที่ยุคสมัยนั้นยังมีคำว่า ‘ภาพยนตร์’ กับมีการศึกษาถึงศาสตร์การผลิตสิ่งนี้อยู่
และไม่เพียงแค่เท่านั้น The Godfather ไม่ใช่แค่ตั๋วเบิกทาง แต่ยังเป็นแม่แบบและแรงบันดาลใจให้กับหนังซีรีส์ตระกูลมาเฟียรุ่นหลังจากนั้นนำไปต่อยอด ทำให้มีซีรีส์แก๊งสเตอร์คุณภาพที่เล่าเรื่อง work-life balance, ครอบครัว และ midlife crisis อย่าง The Sopranos (1999-2007) หรือซีรีส์ที่เหมือนการเกิดใหม่ (reincarnation) ของ The Godfather แต่เป็นในฉบับโมเดิร์นขี่มอเตอร์ไซค์ฮาเล่ย์อย่าง Sons of Anarchy (2008-2014) ที่เล่าเรื่องบาปของพ่อ ลูกชายที่ต้องรับช่วงต่อ กับต่อยอดเล่าบทบาทของผู้หญิงในโลกมาเฟีย และเรื่องอื่นๆอีกมาก รวมถึงเป็นหนังที่ทำให้โลกรู้จักและเป็นจุดกำเนิดของสองเจ้าพ่อหนังมาเฟียอย่างโรเบิร์ต เดอ นีโร และอัล ปาชิโน ด้วยเช่นกัน
หากองค์ประกอบที่รับรู้ได้จากการรับชมที่มีอยู่ด้วยตัวมันเองยังไม่พอ 3 ออสการ์จากภาคแรก และ 6 ออสการ์จากภาค 2 คือเครื่องการันตีสิ่งที่พูดไปนี้ได้เป็นอย่างดีหนังเรื่องนี้คือหนังที่เกิดมาควรแค่แก่การรับชมซักครั้งในชีวิต และเป็นเรื่องดีอย่างมากที่ The Godfather ถูกนำมาบูรณะใหม่ฉายโรงอีกครั้งในโอกาสครบรอบ 50 ปีนี้ด้วยเวลา 4 พันกว่าชั่วโมง, ฟิล์ม 300 กว่ากล่องที่ค้นหาความละเอียดที่ดีที่สุด, เวลากว่า 1 พันชั่วโมงแก้สี และทั้งหมด ฟรานซิส ฟอร์ด โคปโปล่า ควบคุมการฟื้นฟูบูรณะนี้ด้วยตัวเอง
ที่มา
Five Families: The Rise, Decline, and Resurgence of America’s Most Powerful Mafia Empires