คำเตือน: บทความนี้เผยเนื้อหาบางตอนของเกม A Plague Tale: Innocence
กลางศตวรรษที่ 14 ยุโรปทั้งทวีปตกเป็นเหยื่อของ ‘กาฬมรณะ’ หรือ Black Death กาฬโรคระบาดรุนแรงซึ่งแพร่มาจากเอเชียกลางตามเส้นทางสายไหม ส่งผลให้ประชากรทั้งทวีปลดฮวบลงกว่า 40-60 เปอร์เซ็นต์ เวอร์ชั่นที่คนเป็นกันมากที่สุดคือกาฬโรคที่ต่อมน้ำเหลือง พาหะนำโรคสำคัญคือแมลงวันติดเชื้อที่ติดมากับหนู ตายภายในสัปดาห์เดียวเท่านั้น ส่วนกาฬโรคปอดโจมตีระบบทางเดินหายใจ เพียงหายใจเอาอากาศที่ผู้ติดเชื้อคนอื่นหายใจเออกมาก็อาจตายได้ภายใน 1-2 วันเท่านั้น นอกจากนี้ยังมีกาฬโรคแบบโลหิตเป็นพิษ อากาศทั้งทวีปอบอวลไปด้วยกลิ่นของศพ กลิ่นของคนป่วย และกลิ่นของยาสารพัดชนิดที่คนมากมายพยายามปรุงแต่ไร้ผล
กาฬมรณะครานั้นคร่าชีวิตคนอย่างเท่าเทียมกัน ไม่ว่าจะยากดีมีจน เป็นชนชั้นนำรวยล้นฟ้าหรือไพร่ต่างก็มีโอกาสตกเป็นเหยื่อ ทั้งเด็กเล็ก ผู้ชาย และผู้หญิง ไม่มีใครรู้ว่าโรคนี้มาจากไหนและรักษาอย่างไร คนจำนวนมากหันไปหาโชคลาง มนตร์ดำหมอผี บางคนเชื่อว่าการอยู่อย่างสมถะ เลิกใช้ของฟุ่มเฟือยทุกชนิด หันหน้าเข้าหาพระเจ้าจะช่วยชีวิตพวกเขาไว้ได้ ส่วนอีกหลายคนก็เชื่อตรงกันข้าม เชื่อว่าทางรอดจากมหันตภัยนี้อยู่ที่การทำตัวร่าเริงเฮฮา ดื่มกินและร้องเพลง เสพสิ่งบันเทิงทุกอย่างที่อยากเสพ ซึ่งก็เป็นวิถีชีวิตที่ทำได้อย่างง่ายดายในช่วงกาฬมรณะ เพราะคนจำนวนมหาศาลอพยพหนีออกจากบ้านของตัวเอง บ้านส่วนใหญ่ถูกทิ้งร้าง คนแปลกหน้าจะเข้าไปอาศัยอยู่เมื่อไรก็ได้ ไม่ต้องกลัวว่า ตำรวจ นายกเทศมนตรี หรือเจ้าหน้าที่รัฐหน้าไหนจะมาไล่ เพราะพวกเขาเหล่านั้นถ้าไม่ป่วยหรือตายไปหมดแล้ว ก็หมกตัวอยู่ในบ้านพร้อมครอบครัวเหมือนกับคนอื่น ไม่ทำงานทำการใดๆ ทั้งสิ้น
จิโอวานนี บ็อคคาชิโอ (Giovanni Boccaccio) นักเขียนชาวอิตาเลียน เป็นหนึ่งในผู้โชคดีที่รอดชีวิตจากกาฬมรณะซึ่งโจมตีเมืองฟลอเรนซ์ในปี ค.ศ. 1348 เขาถ่ายทอดประสบการณ์ออกมาเป็นนิยายชื่อ เดอคาเมรอน (Decameron) โดยอธิบายสภาพที่สายสัมพันธ์ทางสังคมล่มสลาย และอารมณ์ความรู้สึกของคนสมัยนั้นอย่างแจ่มชัดบางตอนว่า
“พลเมืองหลีกเลี่ยงซึ่งกันและกัน ไม่มีเพื่อนบ้านคนไหนถามไถ่สารทุกข์สุกดิบ ญาติๆ ไม่เคยหรือแทบไม่เคยไปเยี่ยมเยือนกัน ยิ่งไปกว่านั้น ความประหวั่นพรั่นพรึงจากหายนะนี้เข้าโจมตีหัวใจของทั้งหญิงและชายอย่างรุนแรงเสียจนพี่น้องทอดทิ้งกัน ลุงทิ้งหลาน พี่สาวทิ้งน้องชาย และบ่อยครั้งภรรยาก็ทิ้งสามี ที่แย่กว่านั้นและแทบไม่น่าเชื่อก็คือ พ่อและแม่ไม่ยอมดูแลลูกๆ ราวกับไม่ใช่ลูกในไส้ของตัวเอง
“ด้วยเหตุนี้ ผู้ป่วยหญิงชายจำนวนมหาศาลจึงถูกทอดทิ้ง ยกเว้นว่าจะมีเพื่อนใจบุญผ่านมา (แต่พวกนั้นก็น้อยมาก) หรือได้รับการดูแลจากคนใช้ที่ละโมบโลภมาก แต่ก็มีน้อยคนที่อยากเป็นคนใช้ต่อให้เสนอค่าจ้างสูงๆ นอกจากนี้คนส่วนใหญ่ที่ยอมดูแลผู้ป่วยก็มีจิตใจหยาบกระด้าง ทำแต่เพียงเอาสิ่งที่ผู้ป่วยร้องขอมาให้ หรือนั่งดูพวกเขาตาย คนใช้เหล่านั้นเองก็มักจะป่วยตายตามไปด้วย… ชะตากรรมของชนชั้นล่างและชนชั้นกลางส่วนใหญ่น่าสมเพชเวทนากว่านี้มาก ส่วนใหญ่ขลุกตัวอยู่แต่ในบ้าน ไม่ว่าจะเป็นเพราะยากจนหรือหวังว่าจะปลอดภัย คนเหล่านี้ล้มป่วยกันคราวละเป็นพันๆ และแทบทั้งหมดต้องตายเพราะปราศจากใครดูแล หลายคนจบชีวิตบนถนนทั้งกลางวันและกลางคืน คนที่ตายในบ้านตัวเองนั้นเป็นที่รับรู้ว่าตายแล้ว เพียงเพราะเพื่อนบ้านได้กลิ่นศพที่กำลังเน่า ทุกมุมถนนเต็มไปด้วยกองซากศพ คนที่ยังรอดชีวิตอยากกำจัดศพเน่าเหล่านี้แทนที่จะรู้สึกอยากเคารพคนตาย ถ้าหาคนมาช่วยขนศพได้ พวกเขาก็จะขนศพออกมาจากบ้านและเทกองไว้หน้าประตู จากนั้นก็ขนไปไว้บนแคร่รองโลงศพหรือโต๊ะ เพราะแคร่มักจะไม่มี”
A Plague Tale: Innocence เกมย่องเบาบุคคลที่สามจาก อาซูโบ สตูดิโอ (Asubo Studio) ค่ายเกมฝรั่งเศส ถ่ายทอดความหายนะโกลาหลและโศกนาฏกรรมในยุคกาฬมรณะครองเมืองได้อย่างจับใจและลืมไม่ลง ผ่านสายตาสองพี่น้องลูกชนชั้นสูงในหมู่บ้านชนบทของฝรั่งเศส สองพี่น้องมีชื่อว่า อามีเชีย (Amicia) พี่สาววัยรุ่น และฮูโก (Hugo) น้องชายวัยกระเตาะ ซึ่งเผชิญกับความน่ากลัวของโรคนี้ตั้งแต่วันที่กองทัพหนูกรูเข้าโจมตี ผุดออกมาจากบ่อน้ำและใต้ดินทุกช่องทาง แต่กองทัพหนูไม่ใช่สิ่งเดียวที่เป็นศัตรูของเรา ยังมีกองทัพอังกฤษที่บุกมาโจมตีฝรั่งเศส และที่น่ากลัวที่สุดคือลัทธิประหลาดลึกลับเรียกว่า อินควิซิชั่น (Inquisition – ศาลศาสนา) ลัทธินี้แยกตัวแตกหักจากสถาบันคริสต์ทางการ เพื่อมาค้นหายารักษากาฬมรณะด้วยวิธีที่ขัดต่อศีลธรรมอย่างรุนแรง รวมถึงการจับคนมาทดลอง
เวลาส่วนใหญ่ของเกม เราจะเล่นเป็นอามีเชีย ผู้มีอาวุธเพียงหนังสติ๊กที่ยิงก้อนหินได้ทีละก้อน แต่ในเกมเราจะสามารถสะสมวัตถุดิบมาอัพเกรดหนังสติ๊ก และค่อยๆ เรียนรู้วิธีที่จะผลิตกระสุนแบบอื่นด้วยความรู้เรื่องการเล่นแร่แปรธาตุของตัวละครที่จะกลายมาเป็นเพื่อนเราในเกม เช่น กระสุนระเบิด กระสุนที่จะทำให้ไฟดับ (ล่อหนูออกมาโจมตีทหาร) กระสุนจุดไฟ กระสุนส่งกลิ่นเหม็นล่อหนู ฯลฯ ส่วนฮูโกนั้นเป็นเด็กผู้ชายเพียงห้าขวบที่เราต้องดูแลปกป้อง มีโรคประจำตัวตั้งแต่เด็กซึ่งอาการจะกำเริบขึ้นเรื่อยๆ เราจะได้พบระหว่างทางว่า ฮูโก หรือถ้าจะเจาะจงกว่านั้นคือ เลือดติดเชื้อของเขา เป็นกุญแจสำคัญของหนทางรักษากาฬโรค
ระบบเกมเล่นง่ายและเรียบง่าย แต่มีเอกลักษณ์น่าประทับใจ เป็นส่วนผสมระหว่างการย่องเบา (stealth) กับการแก้ปริศนา (puzzle) จากมุมมองบุคคลที่สาม ผสานฉากน่ากลัวเป็นระยะๆ เรามองโลกข้ามหัวไหล่ของอามีเชีย ส่วนใหญ่เราจะใช้เวลาซ่อนตัวจากสายตาของทหาร ย่องเบาหนีไปอย่างเงียบเชียบ โดยใช้สุมทุมพุ่มไม้ โยนไหให้แตก หรือยิงหินไปโดนเกราะเหล็กดังเพล้งเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ บางครั้งเราต้องปล่อยมือจากฮูโก (พร้อมปลอบใจและให้กำลังใจเขาก่อน) ขอให้เขาลอดหน้าต่างหรือรูในรั้วเพื่อไปปลดล็อคกุญแจจากอีกด้านให้เรา ไม่นานเราจะสามารถสู้กับทหารได้โดยไม่ต้องย่องเบา เช่น ทำกระสุนกัดเหล็กที่พอยิงไปที่หมวกเหล็กแล้วจะทำให้เหล็กกัดกินผิวหนัง ทหารจะต้องถอดหมวกออก เป็นโอกาสให้เราเล็งหินไปที่หัวเพื่อปลิดชีวิตได้ ที่เจ๋งกว่านั้นอีกคือเราสามารถ ‘ล่อ’ กองทัพหนูให้โจมตีทหารได้ เพราะพวกมันเกลียดกลัวแสงไฟแต่ชอบความมืด เราสามารถยิงกระสุนไปทำให้ไฟดับ ทั้งคบเพลิงตามถนนและคบเพลิงในมือทหาร ถ้ากะจังหวะดีๆ หนูจะกรูกันออกมารุมทึ้งทหารจนตาย แถมในช่วงท้ายๆ ของเกมเรายังสามารถทำกระสุนล่อหนูด้วยกลิ่นเหม็นได้ด้วย
กระสุนพิเศษในเกมต้องใช้วัตถุดิบหลายชนิดที่เราพบในฉากต่างๆ แต่วัตถุดิบเหล่านี้ไม่ได้หายาก เพียงแต่เราต้องเลือกว่าจะทำกระสุน หรือจะเก็บมันไว้อัพเกรดหนังสติ๊ก กระเป๋าใส่กระสุน หรืออัพเกรดกระเป๋าใส่วัตถุดิบดี
ระบบเกมที่ผู้เขียนชอบมากคือการผสมการย่องเบาเข้ากับการแก้ปริศนาหรือพัซเซิลในเกมนี้ ซึ่งมีกองทัพหนูเป็นส่วนสำคัญ หนูจะกรูเข้ามาหาเราทันทีที่เราเข้ามุมมืด แต่มันจะแตกฮือออกเป็นวงรอบตัวเราทันทีที่เรามีแสงสว่าง แสงสว่างมาจากคบไฟในมือ เตาถ่าน และรถขนเตาถ่านที่เราสามารถเข็นได้ พัสเซิลส่วนใหญ่จึงให้เราหาทางปลอดภัยจากจุด A ไป B ผ่านกองทัพหนู เช่น จุดเตาถ่านอย่างถูกต้องเป็นระยะๆ และหยิบก้านไม้มาทำเป็นไต้ส่องทาง แต่ไต้อยู่ได้เพียงไม่กี่วินาที ดังนั้นจึงต้องวางแผนการหยิบอย่างถูกลำดับ ยิ่งเล่นปริศนาเหล่านี้ยิ่งซับซ้อน เช่น เราต้องหาทางล่อและดักหนูให้ติดอยู่ในซอก ก่อนที่จะเดินได้อย่างปลอดภัย และบางครั้งก็ต้องขอความช่วยเหลือจากฮูโกหรือตัวละครอื่นในเกม ปริศนาทั้งหมดในเกมไม่ซับซ้อนจนปวดหัวเหมือนกับเกมพัซเซิล และทั้งหมดแสดงความคิดสร้างสรรค์ที่สนุก แถมยังเป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนใครเพราะเกมอื่นไม่มีกองทัพหนูเหมือนกับในเกมนี้ แถมหนูในเกมนี้ยังถูกบรรจงเขียนโค้ดให้ดูน่าขยะแขยงและยั้วเยี้ยสมจริง
บรรยากาศในเกมตลอดทั้งเกมบีบคั้นรันทด สะเทือนใจและหดหู่สมกับยุคกาฬมรณะ แฝงด้วยฉากแห่งความหวังเป็นระยะๆ ความเจ๋งที่ผู้เขียนเห็นว่าทำให้มันเป็น ‘มากกว่าเกม’ ไม่ใช่ความชาญฉลาดของฉากย่องเบาเคล้าพัซเซิล ถึงแม้ว่านั่นก็เจ๋งมาก หากแต่อยู่ที่การผสมระบบเกมเข้ากับการเล่าเรื่องได้อย่างกลมกลืน เล่าผ่านคัตซีน (cutscenes) และสิ่งที่เกิดขึ้นในเกม เรื่องราวที่เล่าผ่านคัตซีนนั้นก็จริง แต่เรื่องราวที่ทรงพลังสูงสุดเกิดขึ้นในเกม เกิดขึ้นในความสัมพันธ์ของสองพี่น้องที่ถูกทดสอบและค่อยๆ เปลี่ยนแปร ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ดูเล็กน้อยอย่างเช่น ฮูโกซึ่งให้เรา (อามีเชีย) จูงมือตลอดมาจู่ๆ ก็สลัดมือเราไม่ยอมให้จับ ไม่ยอมไปไหนเพราะเขาถูกความกลัวเข้าจู่โจม หรือชี้หน้าด่าเราว่าโกหก ช่วงเวลาบางช่วงที่ฮูโกหายตัวไปและเราต้องออกตามหานั้นเป็นช่วงเวลาที่เครียดและลุ้นตื่นเต้นที่สุดในเกม
การเล่าเรื่องที่ทรงพลังอย่างยิ่งจุดหนึ่งเกิดขึ้นในฉากที่อามีเชียกับฮูโกวิ่งหนีทหารของลัทธิอินควิซิชั่นเข้าไปในเมือง แต่ไม่มีใครยอมเปิดประตูต้อนรับ ชาวบ้านเองกรูเข้ามาถือคบไฟวิ่งไล่เราอย่างเคียดแค้น เพราะมองว่าตระกูลของเราเป็นตัวนำโชคร้ายและโรคร้ายให้มาเยือน ทุกคนเอ่ยปากไล่ให้ไปให้พ้นๆ ราวกับว่าเราเป็นเสนียดไม่ใช่คน ภารกิจแรกๆ ในเกมนี้ของเราคือการหาเสื้อผ้าของชาวบ้านมาสวมใส่เพื่อปกปิดชาติกำเนิดที่แท้จริง
สถานการณ์ที่บีบคั้นเกินทน ถูกคนหลายกลุ่มไล่ล่าตลอดเวลาบีบบังคับให้อามีเชียกับฮูโกต้องเติบโตเกินวัย และการตัดสินใจของอามีเชียก็ใช่ว่าจะดีงามถูกต้อง เพราะบ่อยครั้งไม่มีตัวเลือกที่ดีหลงเหลืออยู่
มีเพียงแย่น้อยกับแย่มาก หรือแย่คนละแบบเท่านั้น
A Plague Tale: Innocence สร้างความสะเทือนใจได้ตลอดทั้งเกม โดยเฉพาะในฉากที่สายสัมพันธ์ของสองพี่น้องดูเหมือนขาดสะบั้น ฮูโกตัดสินใจจากพี่สาวไปตามหามารดาด้วยตัวเอง
เดียงสาของฮูโกถูกทำลายอย่างย่อยยับด้วยคำพิพากษาของสังคมรอบตัวว่าเขา ‘น่ารังเกียจ’ และสิ่งที่เขามองว่าเป็นการ ‘ทรยศ’ ของพี่สาวผู้ที่เขารักและเชิดชู การพิพากษาทำให้เดียงสาปลาสนาการ กลับกลายเป็นความขื่นขมและโกรธแค้นที่อัดแน่นในใจ ฝากรอยแผลทางจิตใจที่ยากแก่การเยียวยา
A Plague Tale: Innocence จึงบอกเรากลายๆ ไม่ว่าทีมผู้สร้างจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตามว่า การพิพากษาคนอื่นด้วยความจงเกลียดจงชังนั้น มักจะบอกอะไรๆ เกี่ยวกับคนที่ตกเป็นเป้าของคำพิพากษา น้อยกว่าเผยให้เห็นความมืดในจิตใจของคนที่ตั้งตัวเป็น ‘ศาลเตี้ย’
และความมืดในใจนี้ก็สามารถระบาดแผ่ซ่านไปกว้างไกลให้หัวใจคนอื่นติดเชื้อ ยิ่งระบาดเท่าใดยิ่งทำให้สังคมไม่น่าอยู่ และทำให้เราคิดอย่างคับแคบขึ้นเรื่อยๆ มองไม่เห็น ‘ทางเลือก’ ต่างๆ ในการรับมือกับอะไรก็ตามที่เรามองว่าเป็นปัญหา เพราะสายตามืดบอดด้วยความเกลียด