วันก่อนครับ
ครับ
ไปดูวันเดอร์วูแมนมา โอ้โหยยยยย…
สนุกมากใช่มั้ยครับ
โล่งใจครับ ถ้าหนังเรื่องนี้มาเร็วกว่านี้ซัก 10 ปี กูซวยแน่ครับ ทั้งขี่ม้า ฟันดาบ ยิงธนู บู๊ประชิดตัว ถ้าวันเดอร์วูแมนทำได้ ‘เลอขิ่น’ แห่งตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ก็ต้องถูกสั่งให้ทำได้เหมือนกัน!
คงจะไม่เป็นการสปอยล์หนังหรอกเนอะ เพราะทั้งตัวอย่างทั้งการ์ตูนคอมมิคต้นฉบับก็บอกให้เรารู้กันอยู่แล้ว ว่าวันเดอร์วูแมนนี่เค้ามหัศจรรย์สมชื่อจริงๆ เก่งกาจคล่องแคล่วกู้โลกได้กระสุนไม่ระคายผิว แถมสวยเช้งวับผมลอนปากอิ่มจั๊กกะแร้ขาวใสไร้ตุ่มขน คิวบู๊ก็สวยสะ สมหน้าตากัล กาโดต์ที่มารับบทวันเดอร์วูแมน แต่ชีวิตของชาวบู๊นั้น มันไม่ใช่แค่บู๊แล้วจบ มันประกอบไปด้วยความเถิดเทิงทางรายละเอียดหลายอย่าง
—ย้อนกลับไปเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว—
…ไหนท่านบอกให้กูมาเล่นเป็นเจ้าหญิงไม่ใช่เรอะ!!… นี่เป็นเสียงในใจอินทิรา หลังจากยืนระยะต่อสู้ฆ่าฟันอริราชศัตรูมาเป็นเวลา 5 ชั่วโมงกลางแดดจ้า และทำแบบนี้ติดๆ กันมาหลายสัปดาห์แล้ว
ฉันว่ากัล กาโดต์ได้เปรียบฉัน ตรงที่รู้ว่าวันเดอร์วูแมนต้องทำอะไรบ้าง ใส่ชุดอะไร มีเพื่อนเป็นใคร เพราะในคอมมิคก็ออกมาจะร้อยปีแล้ว ต่างกับฉันที่ไม่รู้เลยสักนิด ว่าเลอขิ่นคือใคร มาจากไหน ทำอะไรบ้าง ถ้าเป็นกระทู้พันทิป ก็ต้องมีคนมาตอบแน่ๆ ว่าทำไมไม่ถามไปล่ะคะ มาบ่นตรงนี้จะได้อะไร
เออ นั่นสิ ทำไมไม่ถาม
จริงๆ ฉันก็ถามนะ แล้วท่านก็ตอบ ฉันก็ได้เป็นเจ้าหญิงจริงๆ ตามที่ท่านบอกด้วย ราชธิดาของเมืองคังนั่นแน่ะ แต่ที่ท่านไม่ได้ขยายความ แล้วฉันก็ไม่ถาม แต่คิดไปเองว่าเป็นเจ้าหญิงนี่คงได้นุ่งผ้างามๆ นั่งเสลี่ยงมีคนหามไปไหนๆ มองเหลือบสายตากระชดกระช้อยอย่างคุณแอฟ ทักษอรคนสวยนั่นไง ตอนนั้นไม่ได้สำนึกเล้ยยยยย ว่าทางของฉันกับคุณแอฟนั้นห่างกันไกล
เอ๊ะ ทำไมมีอาวุธ
เอ๊ะ ทำไมโดนหัดขี่ม้า
เอ๊ะ มาวัดความสูงไปทำธนูทำไม
รู้ตัวอีกที ฉันก็มายืนตากแดดอยู่นี่ล่ะ
ท่านมุ้ยและคณะลงทุนลงแรงไปกับการบริหารจัดการ ‘ความเลอขิ่น’ ของฉันไปไม่น้อย ถ้าเทียบกับวันเดอร์วูแมนที่คนเขียนคอมมิคเขาออกแบบชุดและสารพัดอาวุธมาให้ตั้งแต่ต้นทาง แต่’ขิ่นนี่ไม่มีอะไรเป็นเค้าโครงมาเลย มันจึงเริ่มเหมือนการเล่นแต่งตัวตุ๊กตา โดยมีฉันเป็นตุ๊กตายักษ์จอมงอแง แถมมีปากมีเสียงเถียงได้
เริ่มตั้งแต่ชุด
ตอนแรกชุดของเลอขิ่นเป็นชุดแขนยาวกับกางเกงขายาว โดยอ้างอิงตามความน่าจะเป็นจากภูมิประเทศและสภาพอากาศของเมืองคัง ที่อยู่บนเขาสูง
“นี่มึงหันหน้าหรือหันหลังคุยกับกูเนี่ย” ท่านถามอย่างปลงๆ ตอนเห็นฉันแต่งตัวออกมา
ปั๊ดธ่อ ก็คนมันไม่มีนมมีเคิร์ฟ แถมสูงไล่ๆ กับผู้ชาย ใส่แขนยาวขายาวแบบนี้มันก็ได้อย่างนี้ล่ะค่ะท่าน!!
“เอ้า ทำให้ชุดสั้นขึ้นหน่อยซิ โชว์เนื้อมันหน่อย ไม่งั้นเขาคิดว่ากูไปเอาผู้ชายมาเล่น”
อะ สั้นขึ้นแล้วค่ะ กางเกงแค่เข่า เสื้อแขนยาวพอดีเอว
“อีกซิ”
อะ นี่ค่ะ กางเกงสั้นเหนือเข่า เสื้อแขนยาวเอวลอย
“อืมมมม…”
อะ กระโปรงแค่เข่า เสื้อแขนกุดพอดีเอว
“……..”
โอเคคคคคคคคคคคคคค
นี่เลยค่ะ กระเปรง(กระโปรง+กางเกง) ยาวครึ่งต้นขา เสื้อหนังแขนกุดเอวลอยโนบรา
“เอาๆ มากกว่านี้กูคงต้องให้มึงแก้ผ้ารบ”
ขอบคุณค่ะท่าน ซึ้งใจจัง
‘ขิ่นก็เลยต้องตุเลงๆ ท้าทายทุกสภาพอากาศไปในชุดนั้น ซึ่งเปลี่ยนก็ไม่ได้ เพราะมันติดความต่อเนื่องกันอยู่ ชุดสำรองที่ตัดไว้ก็เอามาทำรอยเลอะ รอยเลือด รอยมีด รอยถลอกได้ไม่เหมือนตัวต้นฉบับที่ฉันใส่ไปคลุกสนามรบมา ก็เลยต้องทู่ซี้ใส่ชุดเดียวชุดนั้นเป็นปีๆ ตัดปัญหาการ–ไม่รู้จะใส่ชุดอะไรรรร–อย่างที่สาวๆ คนอื่นชอบบ่นกันได้ชะงัด แต่เราจะไม่พูดถึงสุขอนามัยทางชุดก็แล้วกัน
คราวนี้ก็มาถึงอุปกรณ์อื่นๆ
“ท่านคะ”
“อะไร”
“เจ็บขาอะ พอนุ่งสั้นแล้วสายคาดอานมันหนีบน่อง ขาแหกเป็นหมูแดงอะค่ะ”
“แล้วจะให้กูทำยังไง ทำไมคนอื่นเค้าไม่มีปัญหาอย่างมึง”
“โหยยยยยยยย ก็เค้าผู้ชายอ้ะ!! เค้าใส่กางเกงแล้วมีสนับแข้งด้วย หนูไม่มีนี่ เนื้อน่องล้วนๆ แล้วใส่รองเท้าแตะมันขี่ม้าไม่ถนัดด้วยค่ะ ปลายส้นมันพลัดเข้าไปในโกลน แล้วฝักดาบ..”
“พอๆ! มึงจะเอาอะไรไปประดิษฐ์เอาเลย”
ฉันก็เลยมี
ผ้าพันแข้ง (ซึ่งทำให้ทหารเมืองคังทุกคนต้องพันแข้ง นี่สินะ การเป็นเทรนด์เซ็ตเตอร์ที่แท้จริง เพราะตอนเริ่มแรกนั้น กำลังพลเมืองคังมีแค่ฉันคนเดียวนี่แหละ เป็นเจ้าหญิง ประชาชนและทหารแบบทรีอินวัน รบเดี่ยวๆ เดียวดาย พอเริ่มมีพลเมืองมากขึ้น ก็ต้องแต่งตัวมาทางแบบฉันนี่ล่ะ) ซึ่งต้องพันด้วยตัวเอง และต้องพันแน่นมากๆ ชนิดงูกัดข้อเท้าฉันก็ไม่ตาย เพราะไม่อย่างนั้นเวลาขี่ม้าผ้ามันจะเลื่อนหลุด ดังนั้นก่อนพันฉันต้องเอาผ้าชุบน้ำหมาดๆ แล้วพัน พอมันแห้งก็จะแน่นเรียบไปกับขาพอดี ข้อเสียอย่างเดียวคือเลือดไม่ค่อยเดิน แต่ก็ไม่เป็นไร ดีกว่าเสียเวลามาพันใหม่เอาบ่อยๆ
ถุงมือหนัง ตอนแรกไม่มี แต่ทันทีที่ต้องใช้ธนูและนิ้วฉันแหกอยู่บ่อยๆ เพราะธนูโบราณที่ทำมานั้นไม่มีตัวล็อคลูกธนูเวลาเล็ง ฉันก็ต้องใช้นิ้วตัวเองนี่ล่ะ ความแรงของลูกธนูที่พุ่งฟื้ดดดดดดด ผ่านนิ้วไปนั้นเรียกเลือดได้ง่ายๆ ฉันก็หาผ้ากระปุกกระปุยจากเศษๆ ผ้าพันแข้งมาพันมือก่อน เพื่อกันไม่ให้เห็นพลาสเตอร์ยากับสีเบตาดีนที่ฉันแทบจะจุ่มมือลงไปแช่ทุกวันอยู่แล้ว จนท่านถามว่าไอ้ผ้าขี้ริ้วเน่าๆ ที่มือมึงนี่มันอะไรวะ พอได้คำตอบท่านก็สั่งให้ตัดถุงมือหนังให้ใส่กันเจ็บ ซึ่งก็ต้องใส่แค่ข้างเดียวและใส่แค่ข้อนิ้ว ไม่อย่างนั้นฉันขี่ม้าและฟันดาบไม่ถนัด แถมด้วยสนับแขนอีกสองข้าง กันสายธนูไม่ให้ถากเอาเนื้อข้างแขนฉันไปกิน
ตุ้มหู ด้วยลักษณะทางชาติพันธุ์ เลอขิ่นจึงมีลักษณะร่วมกับพม่า มอญ กะเหรี่ยง ฯลฯในสมัยโบราณ คือต้องใส่ตุ้มหูเงินก้านใหญ่ ที่เดี๋ยวนี้เขาเรียกว่าไซส์ระเบิดหู ซึ่งทางฝ่ายเสื้อผ้าก็ใช้วิธีทำหลอกเป็นก้านตุ้มหูเล็กๆ ข้างในกับติดแป้นด้านหลัง ใส่ประกบกันก็ดูเป็นอันใหญ่ชิ้นเดียวได้จริงๆ
ปัญหาคือฉันไม่ได้เจาะหู
“มึงก็ไปเจาะสิ” ท่านบอก
“เคยเจาะแล้วค่ะ”
“อ้าว แล้วมึงทำรูหายไปไหน”
“หนูเป็นคีลอยด์ หูมันปูดออกมาอะ ต้องไปเลเซอร์ออก ตะนี้พอเลเซอร์ออกครั้งนึงก็ไปเจาะใหม่ แล้วมันก็เป็นอีก ก็ไปหาหมออีก แล้ว…”
“มึงจะเจาะมั้ย?”
“ไม่ค่ะ”
“เออ แค่นั้นล่ะ ไปหาวิธีแก้เอาโว้ย!”
ไม่เจาะก็ต้องหนีบสินะ เปลี่ยนจากก้านเจาะเป็นแป้นหนีบ ง่ายๆ ไม่ใช่ปัญหาของฝ่ายเสื้อผ้า
แต่ปัญหาอยู่ที่ฉันนี่ล่ะ
คือพอเป็นแป้นหนีบ มันเลยไม่ทนทานต่อกิจกรรมใช้แรงงานของเลอขิ่น ทั้งตะกายขึ้นม้า ขี่ม้า วิ่ง รบ แถมบวกเหงื่อกับเลือด(ปลอม)อีกมหาศาลที่อยู่บนตัวฉันในแต่ละวัน จึงมีบางทีที่แสนเซ็งว่าตัวเองเล่นได้ผ่านทุกอย่าง แต่ต้องแสดงซ้ำเพราะตุ้มหูหลุดหายไปกลางคัต สร้างความเดือดร้อนแก่ตนเองและเพื่อนร่วมแสดงยิ่งนัก
อย่ากระนั้นเลย
ติดมันเข้าไปกับหูเลยดีกว่า
ฉันก็เลยใช้กาวยู้ฮู (อีหลอดเหลืองๆ น้ำกาวใสๆ นั่นล่ะ) ทาลงบนตุ้มหู รอมันเซ็ทตัวนิดนึง แล้วติดมันลงไปโง่ๆ บนติ่งหูตัวเอง
เออ ใช้ได้แฮะ
ผลเสียก็มีแค่ถ้าติดเร็วเกินไป หนังหูจะไหม้นิดหน่อย แต่ก็ช่างมัน ท่านบอกให้แก้ปัญหา ฉันก็แก้ปัญหาแล้วเป็นพอ
ติดอย่างนี้มาสิบปี คิดว่าตอนนี้ฉันน่าจะเป็นม้าทรงงานกินเจ เจาะหูได้แบบไม่เจ็บแล้วล่ะ
สเปอร์ติดรองเท้าแตะ ปกติการขี่ม้านั้นเราจะใส่บูทสูงถึงเข่า (ซึ่งกันไม่ให้น่องเป็นหมูแดงอย่างฉันนั่นแหละ) และจะติดหรือไม่ติดสเปอร์ที่ส้นเท้าเพื่อกระตุ้นม้าก็ได้ (หลายคนอาจจะคุ้นตาสเปอร์แบบในหนังคาวบอยอเมริกัน ที่เป็นเดือยยึดกับวงจักรแหลมๆ อันเล็กๆ–นั่นก็คือหน้าตาหนึ่งของสเปอร์) แต่สำหรับการถ่ายทำภาพยนตร์ ฉันก็ต้องใส่แตะหนังผูกๆ ตามยุคสมัย ซึ่งไม่ได้มีน้ำหนักอะไรพอจะข่มขู่ซีซี ม้าจอมดื้อของฉันได้ แล้วยังต้องบังคับให้พี่ซีวิ่งผ่านระเบิดบ้าง กองไฟบ้างอันเป็นการกระทำที่แสนจะฝืนสัญชาตญาณสัตว์สิ้นดี บางครั้งก็ต้องอาศัยการออโต้ไพลอทให้ซีซีดูทางแทน เพราะฉันต้องทำการแสดงบนหลังมัน ดังนั้นหากปราศจากสเปอร์คอยคุมไว้แล้ว พี่ซีก็จะสะบัดฉันลงจากหลังและวิ่งหน้าตั้งกลับคอกโดยไม่ไยดีการแสดงเอาง่ายๆ สเปอร์แบบไทยประดิษฐ์จึงงอกออกมา โดยลุง (คุณปีเตอร์-นพชัย ชัยนาม) คอยควบคุมการผลิตให้ทำอันตรายม้าน้อยที่สุด เพราะลุงก็ต้องเล่นคิวโหดๆ กับม้าหลายอันเหมือนกัน แต่โดยนิสัยส่วนตัวนั้นลุงเปรียบดังแม่ชีเทเรซ่าของสรรพสัตว์ทุกชนิด ฉันเชื่อว่าถ้าไม่จำเป็นจริงๆ แล้ว ลุงไม่มีวันอยากทำอันตรายอะไรม้าเลยแม้แต่น้อย แค่เห็นคนเขามาตอกเกือกม้าใหม่ลุงก็หน้านิ่วแล้ว สเปอร์ที่ลุงยอมใช้จึงเป็นแค่เหล็กมนๆ ขนาดและความยาวเท่าข้อนิ้วก้อยเท่านั้น และด้วยเหตุที่คู่ของเราโดนจับถ่ายทำเป็นคู่แรก เลยเป็นเหมือนตัวทดลองใช้อุปกรณ์ในการรบกลายๆ ซึ่งหลายอย่างก็เป็นต้นแบบให้ใช้กันอย่างแพร่หลายในกองสืบมา
คราวนี้ก็มาถึงอาวุธ
อาวุธของฉันที่ต้องพกติดตัวนั้นมีดาบยาว มีดสั้น มีดติดเชือก ธนู ซองใส่ลูกธนู และขวาน คราวนี้ก็มาถึงวิธีการเอาไอ้ทั้งหมดที่ว่านี่ติดไปกับฉันให้ได้
ใส่ถุงอิเกียเอาก็แล้วกัน
ไม่ใช่ว้อย!!!
คือของมันเยอะมาก และทุกอย่างต้องถูกหยิบมาใช้ได้ตลอดเวลา ทั้งตอนเดิน ตอนวิ่ง ตอนขี่ม้า รบบนม้า รบบนพื้น แถมพื้นผิวติดตั้งก็มีจำกัด ด้วยความนุ่งน้อยห่มน้อยของชุดฉันตามที่ได้กล่าวไป ดังนั้น มีที่ทางตรงไหนก็ต้องติดเข้าไปให้หมดซึ่งส่วนใหญ่ก็จะมากองอยู่ตรงหลังฉัน รวมๆ แล้วก็น้ำหนักประมาณทีวี 14 นิ้ว แถมเวลาวิ่งหรือคิวบู๊ ไอ้ของทั้งหมดก็ห้ามหก ตก กระฉอกออกมา ไม่งั้นจะเป็นความโง่เง่าอย่างที่สุด ถ้าเจ้าหญิงนักบู๊ก้มหลบดาบศัตรูได้ แต่ลูกธนูหล่นจากซองมาปักหัวตัวเองดับอนาถ ฝ่ายเสื้อผ้าและอาวุธจึงทำการติดตรึงเย็บทุกอย่างร้อยเข้าด้วยกัน บวกกับการหยอดกาวร้อนทับเข้าไปเวลาฉันใส่ชุดบนตัวแล้ว ซึ่งบางทีรีบๆ ก็มาโดนเนื้อฉันเข้าบ้าง แต่ปัญหาจริงๆ ไม่ใช่คิวบู๊หรือกาวร้อน
–เรื่องที่วุ่นวายที่สุดคือการชักดาบและเก็บดาบค่ะคุณผู้อ่าน–
มันต้องเท่ๆ น่ะคุณ นึกออกไหม, แบบถ้าเป็นคาวบอยก็ต้องควงปืน ชักมายิง และเก็บปืนเข้าซองได้ตั้งแต่ฝ่ายตรงข้ามยังไม่ล้มถึงพื้น เราก็อยากเก็บดาบเท่ๆ แบบไม่ต้องก้มดูน่ะ ว่าจะเข้าฝักไหม ฝักดาบฉันอยู่ตรงข้างเอว เคลื่อนไหวไปมาได้อย่างอิสระเพื่อไม่ให้ทิ่มม้าเวลาขี่
–แต่พอจะเก็บดาบ–
อ้าว อีเวง ฝักดาบไพล่ไปอยู่ข้างหลัง
เอาใหม่
โวะ หันคมผิดทาง ใส่ไม่ลง
เอาใหม่
คราวนี้ใส่ไม่เข้าเลยจ้า ดาบตกพื้น เห่ยไปอีก
ฉันไม่รู้ว่ากัล กาโดต์จะเก็บดาบเก่งไหม ต้องใช้กาวยู้ฮูติดเฮดพีซเก๋ๆ ของนางหรือเปล่า แล้วต้องหยอดกาวร้อนที่แส้มั้ย แต่เวลาเห็นวันเดอร์วูแมนโลดแล่นอยู่ในจอ ฉันก็เกิดความเข้าอกเข้าใจขึ้นมาอย่างประหลาด ว่าทำไมต้องมีอุปกรณ์ชิ้นนี้ชิ้นนั้น มันจำเป็นอย่างไร
นึกๆ ไปก็อยากสนทนาแลกเปลี่ยนเคล็ดลับอยู่เหมือนกัน ว่าซี่โครงหักไปกี่ซี่ มีแผลเพิ่มมาอีกเท่าไหร่ ยาคลายกล้ามเนื้อหมดไปแล้วกี่แผง อันเป็นลักษณะร่วมที่ฉันว่าสายบู๊คนไหนก็คงมีประสบการณ์ร่วมกันแน่ๆ แม้จะไม่มีกาวร้อนเข้ามาเกี่ยวข้องก็ตาม