ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมานั้น มีเหตุการณ์ทางการเมืองที่เข้มข้นหลากหลายทั้งในและนอกประเทศ ตั้งแต่กลุ่มอยากเลือกตั้งโดนจับ ยันพี่คิมกับพี่ทรัมป์เขม่นกัน จนถึงเรื่องราคาน้ำมันกับ ปตท., การบุกจับพุทธอิสระ, ฯลฯ มากมายเกินจะกล่าวถึงได้หมด สิ่งที่ตามมาก็คือ คำอธิบายแก้ต่างหรือคำตอบชนิดที่ฟังแล้วได้แต่ละเหี่ยใจว่ากล้าพูดออกมาได้ของพี่ๆ คสช. เขา อย่างหนึ่งในกรณีล่าสุดนี้ คุณวินธัยออกมาให้การเรื่องเฮลิคอปเตอร์ว่า “เฮลิคอปเตอร์บินไม่ขึ้น แต่มีคุณภาพดี”[1]เป็นต้น ที่ฟังแล้วก็ได้แต่พ่นลมแรงๆ ใส่จอขณะที่อ่านว่า “นี่คิดกันมาจริงแล้วหรือ?”
อย่างไรก็ดี อีกสัญญาณหนึ่งที่ดูจะชัดเจนไปด้วยก็คือ อย่างน้อยๆ นับตั้งแต่ปีที่แล้วจนมาถึงปีนี้ (คือ คสช. อยู่ในอำนาจ 3 – 4 ปี) มีความชัดเจนว่า ทั้งความนิยมและความเกรงกลัวที่มีต่อ คสช. อยู่ในช่วงขาลง (แต่ผมไม่ได้หมายความในทางใดๆ นะครับว่า ‘อำนาจในทางกายภาพ’ ของพวกเขาลดลงด้วย) สื่อกระแสหลักต่างๆ หันมาแซว หรือเล่นงาน คสช. มากขึ้น รวมไปถึงโพลต่างๆ ก็เริ่มชัดเจนว่าบ่งชี้ไปในทิศทางที่ไม่ยอมรับ คสช. มากขึ้นจากเดิม
แต่ตัวเลข 3–4 ปี เดียวกันนี้ หากมองอีกแง่หนึ่งก็เป็นหมุดหมายที่สำคัญด้วยว่า คนในสังคมนี้จำนวนไม่น้อย ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 3–4 ปี (ผมใช้คำว่า ‘อย่างน้อย’ เพราะโดยส่วนตัวผมคิดว่าควรเริ่มนับตั้งแต่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549 เสียด้วยซ้ำ) ถึงจะมาเริ่มเห็นความผิดปกติของระบอบทหารอำนาจนิยมที่อ้างตนว่าเป็นประชาธิปไตย 99.9% นี้ได้ ไม่นับอีกบางกลุ่มที่ยังเชื่อในคำพูดของ คสช. จริงๆ จังๆ อยู่อีกด้วย… ใช่ครับ ที่ผ่านมา “พวกท่านต้องหน้ามืดตามัวกันขนาดไหนถึงไปเชื่อคำพูดอะไรแบบนั้นได้?”
ทั้งนี้ ไม่ได้หมายความในทางใดๆ ว่าไม่สนับสนุน หรือไม่ดีใจที่ท่านที่เคยเห็นด้วย หรือชอบพอคณะ คสช. จะหันมาเห็นถึงความผิดปกติของรัฐบาลทหารอย่างทั่วถ้วนมากขึ้น ตรงกันข้ามเลย ผมดีใจและเอาใจช่วยอย่างเต็มที่ด้วยซ้ำ แต่นั่นไม่ได้แปลว่าควรจะได้รับการงดเว้นการพูดถึงไปด้วย เพราะกำลังทางสังคมที่สนับสนุนรัฐบาลทหารนั้น นำมาซึ่งความเดือดร้อนอย่างสาหัสให้กับคนจริงๆ และตัวสังคมนี้จริงๆ ทั้งมันยังเป็นความวิปริตที่เห็นได้ชัดคาตามากๆ แต่แรกเริ่มด้วย การยอมรับในความผิดพลาด และพร้อมจะก่นด่า หรือจะให้ดีก็ถึงขั้นหาสาเหตุของความผิดพลาดของตนเองนั้นเป็นเหตุผลหลักที่ผมคิดว่าพึงต้องเกิดขึ้นครับ
ประโยคลักษณะว่า “เฮลิคอปเตอร์บินไม่ขึ้น แต่คุณภาพดี” ที่ฟังดูไร้สติในวันนี้นั้น ในอดีตหลายๆ ท่านเคยมองว่ามีเหตุมีผล น่าเชื่อถือมาก่อน และสิ่งเหล่านี้ควรจะต้องหยุดได้แล้ว
เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคมที่ผ่านมา ผมเพิ่งเขียนข้อความนี้ในบทความของผมลงใน The MATTER นี่แหละครับ (เรื่องการทูตบะหมี่เย็น) ที่น้ำเสียงอาจจะดูจิกกัด แต่จริงๆ แล้วเป็นประเด็นที่สำคัญมากต่อคำถามเชิงประณามข้างต้น และมันยังสำคัญมากๆ ด้วยต่อการเข้าใจบริบททางการเมืองไทย ผมจึงขออนุญาตนำข้อความนั้นมาลงซ้ำอีกครั้งหนึ่ง
“เราอาจพูดได้ว่าประเทศไทยนั้น ‘หนักหน่วง’ เสียยิ่งกว่าเกาหลีเหนือได้ ในแง่ที่ว่าประเทศเราไม่ได้ถูกจำกัดการเข้าถึงข้อมูลในระดับเกาหลีเหนือเลย ห่างไกลกันมากๆ และหลายๆ ครั้ง เหตุการณ์อันผิดไปจากข้อเท็จจริง หลักการ และเหตุผลนั้นเกิดขึ้นเต็มๆ คาลูกตา แต่เรากลับทำเป็นไม่เห็น หรือทำประหนึ่งมันไม่เคยมีไม่เคยเกิดขึ้นได้ นี่ต่างหากครับที่เป็นเรื่องประหลาด หากเหตุการณ์อันผิดวิสัยซ่อนเร้นตัวอยู่แล้วเรามองไม่เห็น นั่นก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ หรือ หากสายตาเรามืดบอดหรือถูกบังคับให้พันผ้าปิดตาไว้แต่กำเนิด แล้วเราจะมองไม่เห็นความผิดปกติวิสัยที่เกิดขึ้น นั่นก็ยังเข้าใจได้ แต่หากเป็นอย่างที่เราเป็นกันคือ เขาร้องบอกว่า “หลับตาเสียนะ พวกฉันจะทำเรื่องไม่ดี” แล้วเราก็ยอมปิดตากันไป ปล่อยให้เขาทำอะไรก็ทำกันนั้น มันออกจะเป็นเรื่องที่เข้าใจไม่ได้ด้วยตรรกะปกตินัก และในแง่นี้คงไม่ผิดนักที่จะบอกว่าประเทศไทยเราดูหนักหนากว่าเกาหลีเหนือเสียอีก”[2]
ที่ผมบอกว่าข้อความนี้สำคัญก็เพราะบริบทที่ว่ามานี้ ทำให้คำถามง่ายๆ อย่าง “ทำไมสังคมนี้ถึงโง่กันเช่นนี้?” กลายเป็นคำถามที่ยากเหลือประมาณ เพราะมันขาดความสมเหตุสมผลในตัวมันเองเป็นอย่างมาก และหากกล่าวกันอย่างถึงที่สุด งานที่พยายามอธิบายสังคมไทยอย่างลงรากลึกทั้งหลายนั้น เท่าที่ผมทราบ ก็ยังไม่มีชิ้นใดเลยที่สามารถตอบคำถามข้อนี้ได้อย่างชัดเจน (และก็ต้องขออภัยด้วยว่าผมเองก็คงยังไม่มีความสามารถพอที่จะตอบคำถามว่า “ทำไมจึงเป็นเช่นนี้?” ได้เช่นเดียวกัน)
เวลาที่มีการพูดถึงงานด้านไทยศึกษา ในตอนนี้ชิ้นงานที่เป็นงานระดับแม่เหล็ก ที่คนจะเห็นด้วยหรือไม่ก็ต้องอ้างถึงกันนั้น อย่างน้อยๆ ต้องมี 2 ชิ้นนี้ครับ
คือ Network Monarchy ของ Duncan McCargo ตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 2005 และดังระเบิดระเบ้อในหมู่ผู้ศึกษาด้านไทยศึกษา โดยศาสตรจารย์ McCargo นั้นพยายามอธิบายถึงโครงสร้างที่ชัดเจนของฝ่ายอนุรักษ์นิยมของไทย โดยอภิปรายว่ามันส่งผลกับสังคม รวมถึงนโยบายภาพรวมของรัฐอย่างไร กระนั้นก็พูดได้เช่นเดียวกันว่างานชิ้นนี้พูดถึงแต่ส่วนของอำนาจโครงสร้าง ‘ชั้นในหรือส่วนบน’ ที่ส่งผลกระทบถึง ‘วงกว้าง’ รวมไปถึงสร้างและรักษาความมั่นคงทางสถานะของค่ายอนุรักษ์นิยมในการเมืองไทย[3]แต่ไม่ได้ตอบคำถามว่าทำไมสังคมนี้ยอมทำเป็นไม่เห็นบางครั้งกระทั่งเชื่อในสิ่งผิดปกติ ที่เห็นชัดๆ คาลูกตาอยู่
ราวสิบปีต่อจากงานของ Duncan งานด้านไทยศึกษาอีกชิ้นหนึ่งที่สร้างเสียงฮือฮาไปทั่ววงการก็คือ งานของ Eugénie Mérieau ที่ชื่อ Thailand’s Deep State โดยมีบทความตีพิมพ์ออกมาในปี ค.ศ. 2016 และต่อมาก็เป็นวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกของเธอด้วย กล่าวอย่างรวบรัดที่สุด (และอาจลดทอนความซับซ้อนของงานเป็นอย่างมาก) คำอธิบายเรื่อง Deep State หรือที่แปลไทยกันว่า ‘รัฐพันลึก’ นี้ (หมายเหตุ – โดยส่วนตัวผมค่อนข้างไม่ชอบคำแปลนี้นัก) พยายามท้าทายต่อคำอธิบายสังคมไทยของ McCargo แต่ยังมีฝ่ายอนุรักษ์นิยมเป็นแกนกลางของแนวคิดอยู่ แต่กรอบการมองของเธอทำให้ตัวตนของฝั่งอนุรักษ์นิยมแบบไทยๆ นั้นมีความเป็นสถาบันมากยิ่งขึ้น (Institutionalized) และมองว่าการเมืองไทยมีอำนาจทางการปกครองสูงสุดแบ่งเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งเป็นอำนาจอันชอบธรรมที่มาจากเสียงของประชาชนอย่างรัฐบาลจากการเลือกตั้ง ในขณะที่อีกฝั่งที่เร้นตัวอยู่นั้น คือ อำนาจของอนุรักษ์นิยมแบบไทยๆ ที่ไม่ได้มีความชอบธรรม (เพราะไม่ได้มาจากเสียงของประชาชน) แต่กลับรวมกันอย่างเหนียวแน่นแข็งแกร่ง ทำงานอย่างเป็นกลไกเชิงสถาบันในแทบทุกภาคส่วน โดย Mérieau เน้นไปที่บทบาทของศาล (รัฐธรรมนูญ) เป็นหลัก ที่คอยทำงานเพื่อรักษาสถานภาพของ ‘อำนาจนำ’ ของฝั่งตนเอาไว้[4]
แม้ Deep State จะเป็นงานที่กล่าวได้ว่าพยายามอธิบายสาเหตุของความเป็นไปที่เกิดขึ้นกับสังคมไทยมากกว่างาน Network Monarchy กระนั้น ก็คงไม่ผิดนักที่จะอธิบายว่ามันคือการอธิบายบริบทของสังคมในส่วนที่ ‘เมกเซนส์’ หรือก็คือ เป็นส่วนของความผิดปกติที่ซ่อนตัวเร้นกายอยู่ จึงมองไม่เห็น และสังคมจึงดูเหมือนมืดบอดตาปิดกันไป แต่ก็แปลว่า คำอธิบายสำหรับสังคมไทยในส่วน ‘ไม่เมกเซนส์’ ที่ว่า กระทั่งความผิดปกติที่เด่นชัดคาลูกตา แต่ยังดันทำเสมือนมันไม่มีอยู่ อันเป็นที่มาของคำถามว่า “ทำไมสังคมเราจึงโง่ปานนี้?” นั้น ก็ยังไม่ได้รับการตอบคำถามอย่างชัดเจนอีกนั่นเอง
ที่ผมเขียนมายาวถึงตรงนี้เพื่อจะบอกว่า คำถามพื้นๆ นี้ ไม่ได้ไม่มีคนนึกถึง ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากตอบกันนะครับ เป็นคำถามที่หลายๆ คนก็คิดได้และอยากจะตอบอยู่ แต่เพราะมันตอบได้ยากมากๆ นั่นเอง จึงยังไม่มีการตอบที่ชัดเจนและตรงไปตรงมา และอย่างที่บอก ผมเองก็ยังไม่มีคำตอบให้ท่านหรอก แม้ว่าจะอยากตอบได้มากๆ ก็ตามที
ที่ผมพอจะทำได้คือ ลองพากลับไปดูเคสอันเป็นตัวอย่างการศึกษา ‘ความโง่’ ที่เกิดขึ้นในโลกตะวันตกครับ เผื่อว่าเราอาจจะลองนำมาโยงหรือเปรียบเทียบอะไรกันได้บ้าง อย่างไรก็ตามผมควรรีมาร์กไว้สักนิดด้วยว่า การศึกษาเรื่อง ‘ความโง่’ นี้ เป็นเรื่องที่พูดคุยและพยายามศึกษากันมานานแล้วอย่างจริงจังในโลกตะวันตกเหมือนกันนะครับ ทั้งในแง่ปรัชญา สังคมศาสตร์ จิตวิเคราะห์ และวิทยาศาสตร์ กระนั้นก็พูดไม่ได้นักว่ามีการค้นพบอะไรไปมากนักกับคำถามว่า “ทำไมคนเราจึงทำตัวโง่ๆ?” ฉะนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลก หากงานศึกษาด้านไทยศึกษา ซึ่งเทียบแล้วก็เป็นเพียงฟิลด์ที่เล็กมากๆ ฟิลด์หนึ่งในโลกวิชาการ จะยังคงไม่มีคำตอบให้ด้วย
ในปี ค.ศ. 2015 นักจิตวิทยา Balazs Aczel แห่งสถาบันจิตวิทยา Eotvos University เมืองบูดาเปสต์ ได้ทดลองจำแนกและแบ่งระดับความโง่ครับ ว่าการกระทำแบบไหนบ้างที่จัดว่าโง่ และแบ่งเป็นระดับได้หรือไม่ อย่างน้อยจากสายตาผู้อื่น โดยสำรวจฐานข้อมูลข่าวสำนักดังๆ ของโลกที่เนื้อหามีคำว่า ‘Stupid’ ว่ามีสถานการณ์แบบใดบ้าง ทั้งยังให้เด็กนักศึกษามหาวิทยาลัย 26 คน บันทึกเหตุการที่พวกเขามองว่าโง่ในแต่ละวันมา แล้วนำมาวิเคาะห์ประเมินผล การทดลองของเขาสุดท้ายแล้วจำแนกได้เป็น 3 ชนิดหลักๆ[5]ดังนี้ครับ
1. Confident Ignorance(ความมั่นใจแบบผิดๆ) – ความโง่ชนิดนี้ เป็นความโง่ที่ได้รับการโหวตโดยผู้ร่วมในงานวิจัยว่าเป็นความโง่ประเภทที่ ‘หนักหนา’ ที่สุด โดยมีเงื่อนไขประกอบด้วยว่า ระดับของความโง่นั้นจะยิ่งเพิ่มมากขึ้น ตามขนาดของผลพวงที่ตามมา และตำแหน่งทางอำนาจของผู้ซึ่งแสดงความโง่นี้ออกมาโดยความโง่ชนิด ‘มั่นใจแบบผิดๆ’ นี้ ก็คือ คนที่ทำหรือใช้อะไร โดยไม่รู้ในความสามารถของตนเองและไม่รู้จักในสิ่งที่ตนเองกำลัง (จะ) ทำนั้นด้วย เช่น การเป็นทหารที่ไม่เคยมีความรู้ความสามารถในการบริหารประเทศอะไร แต่กลับอุกอาจยึดอำนาจขึ้นมาเป็นรัฐบาล, การล้มรัฐธรรมนูญและการเลือกตั้งแต่บอกว่าตัวเองเป็นรัฐบาลประชาธิปไตย 99.9%, และรวมถึงคนที่มั่นใจเชียร์ ทั้งยังให้ความชอบธรรมกับอำนาจของรัฐบาลทหารว่าจะบริหารประเทศ เพื่อประชาชนได้ ก็รวมอยู่ในชนิดนี้ได้ทั้งสิ้น เพราะต่างเป็นความมั่นใจในการทำ(งาน) หรือใช้(งาน) แบบผิดๆ ทั้งสิ้น
2. Lack of Control (ไร้ความสามารถในการควบคุม) – การขาดความสามารถในการควบคุมตนเองนั้น เป็นระดับของพฤติกรรมโง่ๆ ที่ได้รับการโหวตโดยผู้เข้าร่วมวิจัยว่าเป็นความโง่หนักระดับถัดมา (คือ โง่กลางๆ) พฤติกรรมนี้ อาจจะเกิดจากความคลั่งไคล้ยึดติด (Obsessiveness) กับบางสิ่งบางอย่างจนเกินไป หรืออื่นๆ ที่ทำให้เราไม่สามารถควบคุมร่างกาย จิตใจ เหตุผล, และ/หรืออารมณ์ของตัวเองได้ เพราะฉะนั้นการมีอารมณ์ฉุนเฉียวจนจะทุ่มโพเดี้ยมใส่นักข่าว การด่าไปทั่วโดยไม่รู้จักตำแหน่งแห่งที่หรือหัวโขนทางอำนาจที่ตัวเองกำลังยืนอยู่ล้วนเป็นความโง่ฐานนี้ได้ทั้งสิ้นครับ แน่นอนว่า การยึดติดกับ ‘ผีทักษิณ หรือระบอบทักษิณ’ เกิน จนไม่สามารถควบคุมเหตุผลอะไรได้ สักแต่ว่าจะเอา ‘ทักษิณและพวกลงให้ได้’ โดยไม่สนใจผลพวงใดๆ ที่ตามมา เชียร์ทุกคน ทุกวิถีทาง ไม่เว้นแม้แต่การทำลายระบบโครงสร้างทางการเมืองทั้งหมดลง ก็ย่อมจัดอยู่ในชนิดนี้เช่นเดียวกัน
3. Absentmindedness (ไร้สติ/เพ้อเจ้อ) – กรณีนี้เป็นการคิดหรือพูดอะไรแบบที่ไร้สติ หรือในความหมายที่เคร่งครัดหน่อยของงานวิจัยน่าจะใกล้เคียงกับคำว่า ‘เพ้อเจ้อ’ มากกว่าครับ นั่นคือ การพูดหรือคิดอะไรที่ใช้งานจริงไม่ได้ หรือไม่มีทางเป็นจริงได้ในหัวเรื่องที่กำลังเป็นประเด็นอยู่ (Lack of Practicality) ถ้าพูดแบบบ้านๆ ก็คือ “พูดทำเพื่อ?” นั่นแหละครับ ฉะนั้นกรณีการพูดว่า “เฮลิคอปเตอร์บินไม่ได้ แต่มีประสิทธิภาพที่ดี” ของคุณวินธัยนั้นก็จัดอยู่ในกรณีนี้นี่เอง คือเป็นการพูดแบบเพ้อเจ้อ ขาดสติ อย่างไรก็ดี กรณีนี้ผู้ร่วมวิจัยเขาโหวตให้เป็นความโง่ระดับต่ำสุดนะครับ ( = โง่ไม่มากนัก โง่เล็กน้อยที่สุด) คือ มันก็เกิดขึ้นได้กับทุกคนด้วย
นี่คือ 3 ชนิดและระดับของความโง่ที่โลกตะวันตกพยายามอธิบายกันอยู่ครับ ก็ต้องลองพิจารณาดูว่า ตัวเราเข้าข่ายไหม และถ้าเข้าข่าย เข้าแค่ไหน ถึงได้เคยเชียร์หรือเชื่อรัฐบาล คสช. นี้มาได้?
อีกหนึ่งคำอธิบายเรื่องสาเหตุของความโง่ โดยเฉพาะในหมู่ชนชั้นกลางในเมืองนั้นได้รับการอธิบายในงานของ Mats Alvesson และ Andre Spicer (2017) ในงานของพวกเขาที่ชื่อ The Stupidity Paradox: The Power and Pitfalls of Functional Stupidity at Work โดยส่วนหนึ่งของงานชิ้นนี้ได้อภิปรายถึงบทบาทของ “วิธีการบริหารจัดการคนยุคใหม่ กับกลไกของระบบทุนนิยม” ที่สร้างเงื่อนไขของ Knowledge Myth หรือมายาคติของความรู้ขึ้นมาด้วย ซึ่งหากเราโยงกลับไปที่งานวิจัยของ Aczel แล้ว มันก็คือ กลไกในการสร้างคนโง่ประเภท Confident Ignorance ที่ครองแชมป์ความโง่ระดับสูงสุดนั่นเองครับ มาดูกันว่ากลไกที่ว่านี้ทำงานอย่างไร[6]
งานชิ้นนี้อธิบายว่าในช่วงปี ค.ศ. 1962 ในสหรัฐอเมริกานั้น Peter Drucker หนึ่งในนักคิดด้านการจัดการ (Management Thinker) คนสำคัญได้เสนอแนวคิดเรื่อง Knowledge Worker หรือคนทำงานที่มีความรู้ ขึ้นมา ว่าในยุคที่คนทำงานโดยเฉพาะชนชั้นกลางจำนวนมากเข้าถึงสื่อและแหล่งความรู้ต่างๆ ได้มากขึ้นจากเดิมมากแล้ว และระดับการศึกษาโดยรวมของสหรัฐอเมริกาขยับตัวขึ้นมาก (โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบกับอดีตหรือกับคนที่แลดูไกลปืนเที่ยง) พวกเขาจึงไม่อยากถูกปฏิบัติด้วยในฐานะ ‘แรงงานมีฝีมือ’ หรือ Skilled Worker อีกต่อไป พวกเขาอยากถูกมองและปฏิบัติด้วยในฐานะ ‘ปัญญาชน’ (Intellectual) แต่ในความเป็นจริง พวกเขาก็ยังถูกมองในฐานะที่เป็นเพียง Staff หรือเจ้าหน้าที่/พนักงานต่อไป ไม่ใช่ปัจเจกผู้ทรงภูมิอย่างที่ตนคาดหวัง
Drucker มองว่าสภาพความอึดอัดแบบนี้นี่เองที่จะทำให้เกิดปัญหาบานปลายในการจัดการทรัพยากรมนุษย์ในการทำงานทางสังคมได้และอาจจะร้ายแรงเสียยิ่งกว่าปัญหาการเหยียดผิวเสียอีก เขาจึงได้เสนอเรื่องนี้ เพื่อเตือนกลุ่มบรรษัทต่างๆ ซึ่งในเวลานั้นก็ตอบสนองต่อคำอธิบายของ Drucker เพื่อให้กลไกการสร้างทุนของตนเองทำงานต่อไปได้โดยราบรื่น จากนั้นเหล่าบรรดานายทุนเจ้าของกิจการต่างๆ จึงพากันสร้างสิ่งแวดล้อมใหม่ในการทำงานให้กับเหล่าชนชั้นกลางผู้คิดว่าตนเองกลายเป็นผู้ทรงภูมิใหม่เหล่านี้ ด้วยการสร้างพื้นที่ทำงานในรูปแบบที่คล้ายคลึงกับกำลังอยู่ในรั้วมหาวิทยาลัย มีการพัฒนาพื้นที่การวิจัยให้ดูดีเป็นสัดส่วนขึ้น และจัดพื้นที่การทำงานแบบเปิดโล่ง (Open space) มากขึ้น เพื่อตอบสนองต่อความต้องการอันมาจากความเชื่อของเหล่าแรงงานยุคใหม่ที่เกิดขึ้นนี้เอง
ในช่วงเวลาใกล้เคียงเดียวกัน นักสังคมวิทยาชาวฝรั่งเศส Alain Touriane ก็ได้ข้อสรุปในปี ค.ศ. 1968ในลักษณะเดียวกับ Drucker แต่อาจสายไปสักหน่อยแล้ว เพราะการเดินขบวนประท้วงไปทั่วด้วยสาเหตุประมาณเดียวกันนี้เกิดขึ้นไปทั่วแล้ว นั่นแปลว่า ความคิดของ Drucker ทำนายเหตุการณ์ได้ไม่ผิดพลาดนัก และแนวทางการแก้ปัญหาแบบ Drucker ก็แพร่หลายมากขึ้น
อย่างไรก็ดี วิธีการของ Drucker นั้นไม่ใช่การสร้าง Knowledge Worker จริงๆ ขึ้นมาไงครับ เป็นเพียงแค่การตอบสนองต่อ “ความมั่นใจต่อตัวเอง ว่าตัวข้านี้เป็นคนเก่ง เป็นคนที่มีสมอง มีความรู้” โดยสร้างเงื่อนไขและสิ่งแวดล้อมรอบตัวแรงงานชนชั้นกลางเหล่านั้นให้พวกเขาพอใจ สนองต่อความมั่นใจเหล่านี้ของพวกเขาเอง เพื่อให้กลไกของระบบทุนนิยมของตัวบรรษัทเดินไปข้างหน้าได้ แต่พร้อมๆ กันไป การตอบสนองแบบนี้ก็ไปสร้าง Knowledge Myth หรือมายาคติของความรู้ ที่หลงคิดว่าตัวเองมีความรู้ มีภูมิมาก เหนือกว่าความรู้ที่ตัวเองมีจริงๆ หรือเหนือกว่าคนที่เขามาจากฐานการศึกษาที่ต่ำกว่า หรือเข้าถึงทรัพยากรทางความรู้ได้ยากกว่าไปด้วย ทั้งที่แรงงานชนชั้นกลางในเมืองผู้หลงมายาของความรู้เหล่านี้ บ่อยครั้งก็ไม่ได้เข้าไปศึกษาอะไรเพิ่มเติมจากช่องทางของทรัพยากรความรู้ที่ตนเองถือครองเหนือกว่าหรอก ก็ชิลไปวันๆ นี่แหละครับ แต่แค่ความรู้สึกที่ได้ถือครองใบปริญญาหรือช่องทางการเข้าถึงความรู้ที่มากกว่า ก็รู้สึกว่าฉลาดกว่าขึ้นมาแล้ว ซึ่งนี่เองที่กลายมาเป็น Knowledge Myth ไปในที่สุด และส่งผลให้เกิดคนประเภท Confident Ignorance หรือมั่นใจตัวแบบผิดๆ เต็มไปหมด
ผมเองไม่ทราบว่ากรณีนี้ของสังคมไทย โดยเฉพาะในหมู่ชนชั้นกลางในเมืองนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร เป็นแบบโลกตะวันตกไหม แต่ที่แน่ๆ เราเคยมีและยังมี Confident Ignorance อยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว อย่างน้อยๆ ก็ที่คิดจะทุ่มโพเดี้ยมเล่นคนนั้น ที่ใส่นาฬิกายืมเพื่อนมาคนนั้น ที่ชื่นชม GT200 คนนั้น ที่บอกว่าเฮลิคอปเตอร์บินไม่ได้ขับดีคนนั้น และแน่นอนว่ารวมไปถึงคนที่เคยเชื่อและยังคงเชื่อ ‘คนนั้นทั้งหลาย’ ด้วยครับ
…นี่ก็ 4 ปีกว่าๆ แล้ว จะต้องปิดตาและหลอกตัวเองว่าที่ได้ยินนั้นมีเหตุผลไปอีกนานเท่าไหร่กันครับ?
อ้างอิงข้อมูลจาก
[1] โปรดดู www.voicetv.co.th
[2] โปรดดู thematter.co/thinkers/cold-noodle-diplomacy
[3] โปรดดู Duncan McCargo (2005). “Network monarchy and legitimacy crises in Thailand” in The Pacific Review. 18:04, pp. 499 – 519.
[4] โปรดดู Eugénie Mérieau (2016). “Thailand’s Deep State, Royal Power and the Constitutional Court (1997 – 2015)” in Journal of Contemporary Asia. 46:03, pp. 445 – 466.
[5] โปรดดู www.independent.co.uk
[6]โปรดดู Mats Alvesson and Andre Spicer (2017).The Stupidity Paradox: The Power and Pitfalls of Functional Stupidity at Work.