เป็นที่รู้กันดีว่าช่วงหลังจากวันหยุดยาวอย่างนี้ผู้คนจำนวนมากที่เริ่มกลับมาทำงานหรือเรียนหนังสือนั้นอาจจะต้องเผชิญกับอาการที่เรียกว่า Post-vacation blues หรือภาวะซึมเศร้าหลังการท่องเที่ยวพักผ่อน แต่ในปี 2005 คลิฟ อาร์นัลล์ (Cliff Arnall) ไลฟ์โค้ชชาวอังกฤษคนหนึ่งได้เสนออะไรที่ไปไกลกว่านั้น เขาเสนอสูตรคณิตศาสตร์เพื่อคำนวณหาวันที่คนเราจะเศร้าที่สุดในปี
เมื่อ W คือสภาพอากาศ D คือหนี้ d คือเงินเดือน T คือระยะเวลานับจากวันคริสมาสตร์ Q คือระยะเวลานับจากปณิธานปีใหม่ที่ล้มเหลว M คือระดับการขาดแรงจูงใจ และ Na คือความรู้สึกว่าต้องทำอะไรสักอย่าง ซึ่งจากสูตรที่ว่านั้นจะได้ว่าโดยทั่วไปวันที่เศร้าที่สุดของปีจะตกอยู่ที่วันจันทร์ที่ 3 ของเดือนมกราคม อย่างของปี 2024 นี้ก็คือวันจันทร์ที่ 15 มกราคมนั่นเอง
ได้โปรด ได้โปรดอย่าถามผมว่าจากสูตรนี้มันแทนค่ายังไงให้ออกมาได้เป็นวันจันทร์ที่ 3 ของปี เพราะผมก็ไม่รู้ เผลอๆ คลิฟเองก็อาจจะไม่รู้ด้วยซ้ำ คือก่อนจะคำนวณตามสูตร เราต้องแทนค่าแต่ละตัวแปรให้ได้ก่อน เริ่มต้นจากอะไรง่ายๆ อย่าง ‘สภาพอากาศ’ คำว่าสภาพอากาศหมายถึงค่าอะไร อุณหภูมิรึเปล่า แล้วเป็นอุณหภูมิของวันไหน?
ปัญหาแรกของสูตรนี้คือมันไม่ได้ระบุว่าแต่ละตัวแปรนั้นหมายถึงค่าอะไร และวัดในหน่วยอะไรกันแน่ ผมเองก็ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าเราสามารถวัดระดับการขาดแรงจูงใจออกมาเป็นตัวเลขกันได้ด้วย นี่ยังไม่นับว่าเมื่อหน่วยมันเละเทะอย่างนี้ ค่าที่คำนวณออกมาได้นั้นควรจะอยู่ในหน่วยอะไรกันแน่
นั่นจึงทำให้สูตรนี้ถูกเรียกว่าเป็น Pseudoscience หรือวิทยาศาสตร์เทียมที่ไม่มีแก่นสาร โดยผู้ที่ออกมาโจมตีเรื่องนี้อย่างจริงจังเป็นคนแรก ๆ คือเบน โกลดาเคร (Ben Goldacre) คอลัมนิสต์นักแหก Pseudoscience แห่งหนังสือพิมพ์ The Guardian รวมไปถึงดีน เบอร์เนทท์ (Dean Burnett) นักจิตวิทยาจากมหาวิทยาลัยคาร์ดิฟฟ์ (Cardiff University) ที่ออกมาบอกว่า Blue Monday อาจจะเป็นเรื่องจริงสำหรับบางคนก็ได้ แต่สิ่งนี้เป็นเรื่องปัจเจก มีปัจจัยมากมายที่ทำให้ใครสักคนซึมหรือเศร้าลงในแต่ละวัน
แม้จะมีงานวิจัยที่บอกว่าสถิติการฆ่าตัวตายในญี่ปุ่นนั้นเกิดขึ้นสูงในวันจันทร์อย่างมีนัยยะสำคัญ แต่นั่นก็ไม่ได้แปลว่าจะต้องเป็นอย่างนั้นกับทุกคน ที่สำคัญคือไม่มีสูตรคำนวณเพื่อหาว่าวันไหนที่ทุกคนจะเศร้าที่สุดอย่างนั้นอยู่จริงด้วย ดังนั้นไอเดียเรื่องสูตรคำนวณวันที่เศร้าที่สุดของปีอย่างนี้นั้นนอกจากเป็นการสร้างความเข้าใจผิดๆ ให้กับสังคมแล้ว ยังเป็นการด้อยค่าคนที่ป่วยด้วยโรคทางจิตเวชจริงๆ ซึ่งอาจส่งผลเสียต่อคนที่กำลังเผชิญกับความยากลำบากจากโรคเหล่านั้นอยู่อีก
แล้วคลิฟ อาร์นัลล์ เสนอสูตรนี้ทำไมตั้งแต่แรก? เรื่องก็คือความคิดเรื่องวันจันทร์ที่เศร้าที่สุดของปีถูกนำเสนอครั้งแรกในบทความของบริษัทท่องเที่ยวที่ชื่อ Sky Travel โดยสันนิษฐานว่าเพราะวันจันทร์ที่ 3 ของปีเป็นช่วงที่คนซื้อทัวร์ท่องเที่ยวน้อยที่สุด (แหงล่ะ ก็มันเพิ่งผ่านวันหยุดยาวมา) ทีมการตลาดของบริษัทจึงรวมหัวกับคลิฟ อาร์นัลล์เพื่อเสนอสูตรมั่วๆ นี้ขึ้นมาเป็นแคมเปญกระตุ้นยอดขายทัวร์ ให้คนอ่านรู้สึกว่าตัวเองจะเศร้ามากแน่ในเวลานั้น และควรจองทริปเล็กๆ น้อยๆ สักหน่อย ดังนั้นมันก็ชัดเจนตั้งแต่แรกแล้วว่าสูตรนี้ไม่ใช่เรื่องของการวิจัยศึกษา แต่มันคือแคมเปญการตลาดแผลงๆ ของบริษัททัวร์เท่านั้น แค่มันดันติดตลาดเลยมีบริษัทอื่นๆ แห่กันเอาไปทำเป็นแคมเปญอย่างมากมายจนราวกับว่าเจ้า Blue Monday นี้เป็นเรื่องที่มีอยู่จริงในทางวิทยาศาสตร์
ตอนจบของเรื่องนี้ก็คือ Sky Travel ปิดตัวไปในปี 2010 และช่วงปี 2016 คลิฟ อาร์นัลล์เองก็ออกมาขอโทษ พร้อมทั้งแสดงจุดยืนต่อต้านไอเดียเรื่อง Blue Monday ของเขาเอง เพราะไม่อยากให้คนรู้สึกว่าตัวเองต้องเศร้าเมื่อถึงวันจันทร์ที่ 3 ของปี แต่แม้เรื่องราวจะจบไปตั้งนานแล้ว นี่ก็เป็นกรณีศึกษาชั้นดีถึงสิ่งที่เบน โกลดาเคร เรียกว่า Churnalism ที่หมายถึงนักข่าวขี้ลอก ที่เขียนข่าวจากการไปอ่านข่าวอื่นแล้วก็ลอกมาเฉพาะจุดที่น่าสนใจโดยไม่ได้เข้าใจเนื้อหาในข่าวนั้นจริงๆ เพื่อเน้นแค่ความเร็วเท่านั้น เขาวิจารณ์เรื่องนี้ต่ออย่างเผ็ดร้อนในบทความเรื่อง How GxPxIxC = selling out to your corporate sponsor ว่าสิ่งนี้มันง่ายมาก ถ้าคุณเป็นฝ่ายการตลาดของบริษัทแห่งหนึ่ง สิ่งที่คุณต้องทำก็แค่จ้างนักวิชาการถูกๆ สักคนเพื่อขอเอาชื่อมาใส่ แล้วก็สร้างสมการหน้าตาแปลกๆ ขึ้นมาสักอันที่จริงๆ แล้วไม่ได้มีความหมายอะไรเลย เท่านั้นก็เป็นอันเสร็จ
เขายกตัวอย่างสูตรการคำนวณอะไรแปลกๆ อย่างเช่น [(V x P x R) + A] ที่ถูกเสนอโดยแครี่ คูเปอร์ (Cary Cooper) นักจิตวิทยาชาวอังกฤษสำหรับให้คะแนนความสำเร็จในด้านกีฬาระดับประเทศ เมื่อ V คือความตื่นเต้นของผู้ชม P คือ ความสามารถของนักกีฬา R คือระดับการบังคับใช้กฎ A คือบรรยากาศของเกม และ VFM คือความคุ้มค่าของค่าตั๋ว
ซึ่งเห็นได้ชัดว่าค่าของตัวแปรแต่ละตัวนั้นวัดไม่ได้ด้วยซ้ำสูตรเหล่านี้ไม่มีความหมายอะไรเลยในทางวิทยาศาสตร์ มันไม่ได้มาจากฐานความรู้หรือผลการวิจัยอะไร มันเป็นเพียงแค่การเอาตัวแปรต่างๆ ที่คนทั่วไปรู้สึกว่าน่าจะเกี่ยวข้องกับสิ่งนี้มันยำๆ รวมกันด้วยสัญลักษณ์ทางคณิตศาสตร์เพื่อตบตาคนทั่วไปว่ามันดูมีหลักการ
ซึ่งเบน โกลดาเครทิ้งท้ายบทความของเขาในเชิงประชดว่า ตัวเขาเองก็สามารถสร้างสูตรแบบนี้ได้ เขาเสนอสูตรสำหรับคำนวณหาโอกาสที่นักวิชาการสักคนจะยอมให้ใช้ชื่อของเขาเพื่อให้บริษัทเอาไปแปะในโฆษณามั่วๆ ซั่วๆ ว่าเท่ากับ G x P x I x C เมื่อ G คือความโลภในตัวนักวิชาการคนนั้น P คือความน่าเชื่อถือของต้นสังกัด I คือความไร้ความสามารถที่จะใช้ชีวิตอย่างซื่อสัตย์ และ C คือความสามารถในการหาเหตุผลทางศีลธรรมให้กับตัวเอง ซึ่งต้องเป็นเหตุผลที่ดีมากพอจะยอมแลกภาพลักษณ์ของวิทยาศาสตร์กับเงิน
และจากข้อความอันหนึ่งที่อ้างว่าถูกคำนวณมาจากสมการยุบยับนั้นสามารถจูงใจผู้คนได้ เพราะคนส่วนใหญ่มีความรับรู้ว่าสมการหรือสูตรคณิตศาสตร์นั้นเป็นของยาก ซับซ้อน และดูเป็นวิทยาศาสตร์ นั่นจึงเป็นช่องว่างที่ฝ่ายโฆษณาของบริษัทสามารถเอามาเล่นกับความเชื่อของผู้บริโภคได้ ไม่ใช่แค่การขายของ แต่พวกดัชนีต่างๆ ที่เกี่ยวกับเศรษฐกิจ สังคม การศึกษา
หรือค่าเกี่ยวกับสุขภาพก็สามารถเขียนในรูปสูตรคณิตศาสตร์ได้ทั้งนั้น สูตรเหล่านี้บางสูตรอาจจะไม่ได้มีอยู่จริงและเป็นแค่เรื่องลวงโลกเพื่อการโน้มน้าวคนฟังก็ได้ แต่ก็ไม่ใช่สูตรคณิตศาสตร์ทุกอย่างที่เป็นเรื่องลวงโลก มีสูตรคำนวณหรือประมาณค่าทางคณิตศาสตร์มากมายที่เป็นเรื่องจริง หรืออย่างน้อยก็มีกระบวนการได้มาของสูตรที่เป็นวิชาการ ในฐานะนักคณิตศาสตร์ ผมขอแนะนำหลักง่ายๆ ในการตรวจสอบว่าสูตรไหนน่าจะใช่หรือสูตรไหนน่าจะมั่วไว้สักสามข้อ
ข้อแรกคือ ตัวแปรแต่ละตัวในสูตรนั้นต้องเป็นค่าที่วัดได้ ไม่ใช่อะไรอย่างระดับการขาดแรงจูงใจ หรือระดับการบังคับใช้กฎ ที่เป็นนามธรรมจนวัดไม่ได้ หรือไม่บอกวิธีการวัดมาให้ชัดเจน ที่สำคัญคือต้องบอกหน่วยด้วยว่าจะให้วัดในหน่วยอะไร ศ่วนข้อสอง สูตรที่เป็นของจริงจะต้องบอกที่มาได้ ว่าสูตรนี้สร้างขึ้นมาอย่างไร มันอาจจะมาจากทฤษฎีที่น่าเชื่อถือ มาจากการเก็บข้อมูลที่ถูกต้องตามระเบียบการวิจัย หรือไม่ก็ต้องมีงานวิจัยทางวิชาการที่น่าเชื่อถือรองรับ
และข้อที่สาม จำไว้ว่าไม่มีสูตรใดที่ใช้ได้ครอบจักรวาล อนาคตอาจจะมี แต่ในปัจจุบันนั้นยัง แม้แต่สูตรการคำนวณที่ใช้กันอย่างแพร่หลายมากๆ อย่าง BMI นั้นก็ยังมีข้อจำกัดในการใช้งาน เพราะยังมีปัจจัยอีกมากมายที่ส่งผลต่อการที่ใครสักคนจะเป็นโรคอ้วน ดังนั้นถ้าไปเจอสูตรไหนที่บอกว่าใช้ได้ครอบจักรวาล ใช้ได้กับทุกคน ทุกสถานการณ์ เหมือนกับกรณีสูตรหา Blue Monday นั้นก็ให้สงสัยไว้ก่อนเลยว่ามันอาจจะมีอะไรแหม่งๆ อยู่ในสูตรนั้น
สรุปคือ สำหรับบางคน Post-vacation blues มีอยู่จริง การฆ่าตัวตายเยอะในวันจันทร์อาจจะมีอยู่จริง หรือแม้แต่ Blue Monday ก็อาจจะตรงกันวันจันทร์ที่สามของปีจริงสำหรับบางคน แต่เน้นว่าสำหรับบางคน และแต่ละคนก็อาจจะมีวันที่เศร้าที่สุดของปีแตกต่างกันไป มันอาจจะเป็นจันทร์อื่นในเดือนมกราคม สักจันทร์ในเดือนอื่นๆ หรือไม่ใช่วันจันทร์เลยก็ได้ ไม่มีสมการแบบนั้นอยู่จริง อย่างน้อยก็เท่าที่ความรู้ของมนุษย์เราจะมีตอนนี้ และส่วนตัวผมคิดว่าแทนที่จะเอาเวลามานั่งหาสูตรเพื่อทำนายกันว่าวันไหนจะเป็นวันที่เศร้าที่สุดของปี การฮีลใจตัวเองเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับวันแบบนั้นเมื่อไรก็ตามมันมาถึงอาจจะสำคัญมากกว่า
อ้างอิงจาก