ขณะที่ทั่วโลกกำลังสนทนาถึงรสนิยมทางเพศและเพศวิถีที่สัมพันธ์กับอัตลักษณ์ทางเพศเช่น เกย์ เลสเบี้ยน คนข้ามเพศ อันที่จริงแล้วไม่เสมอไปที่เพศวิถีจะต้องไปดองอะไรกับเพศสภาพเช่น zoophilia sadomasochismpedophilia และอีกอย่าง จากอัตลักษณ์เราไม่รู้เลยว่าบนเตียงแล้วคู่ของเรามีรสนิยมแบบไหน มีจินตนาการ เกิดอารมณ์ หรืออาจมีสิ่งของอะไรที่กระตุ้นเร้าเย้ายวนเขาได้บ้าง อาจจะเป็นเสื้อบอลกางเกงบอล รองเท้าส้นสูง กางเกงในลูกไม้ suspender ถุงน่อง กลิ่นบุหรี่
และบางคนก็ชื่นชอบหลงใหลในอุจจาระ จนเป็นอีกเพศวิถีหนึ่งที่เรียกว่า Coprophilia หรือ Scatophilia ซึ่งก็ไม่รู้ว่ามีภาษาไทยมั้ย
แม้ว่าเพศวิถีนี้จะไม่ถูกจัดให้เป็นอาชญากรรมเหมือนกับรักเพศเดียวกันในหลายประเทศ แต่หลายคนร้องอี๋ ไม่คิดว่าจะไปมีเพศสัมพันธ์แบบนั้น ไม่ว่าจะเพศสภาพเพศวิถีใด รักต่างเพศ หรือรักเพศเดียวกัน แค่จินตนาการก็อ้วกจะแตก ซ้ำยังถูกนิยามว่าเป็นความผิดปรกติทางจิตเภทอย่างหนึ่งจัดอยู่ในกลุ่ม ‘โรคกามวิปริต’ (Paraphilia) โดย DSM หรือ คู่มือการวินิจฉัยและสถิติสำหรับความผิดปกติทางจิต (The Diagnostic and Statistical Manual of Mental Disorders) อันเป็นหลักเกณฑ์การวินิจฉัยความผิดปกติทางจิตซึ่งจัดทำโดยสมาคมจิตเวชศาสตร์สหรัฐอเมริกา( The American Psychiatric Association-APA) ซึ่งถูกอ้างอิงอย่างกว้างขวางโดยแพทย์ นักวิจัย ผู้ผลิตและผู้ตรวจสอบคุณภาพยาในทางจิตเวช บริษัทประกันภัย นโยบายของรัฐทั้งในสหรัฐอเมริกาและที่อื่นๆ ทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทยด้วย
ขณะที่เพศวิถีรักเพศเดียวกันถูกนิยามว่าเป็น ‘ความผิดปกติทางจิต’ เมื่อแรกมีคู่มือ DSM ในปี 1952 ก่อนจะถอนออกในฉบับปี 1974 อันเนื่องมาจากขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคม ประท้วงของกลุ่มคนรักเพศเดียวกันและการอธิบายเรื่องเพศโดยมิติทางสังคมอื่นๆ ที่ไม่ยอมให้พวกแพทย์ผูกขาด แต่คู่มือ DSM ก็ยังคงตีตราอยู่โดยจัดให้ไปอยู่ในกลุ่มเพศที่ตนไม่พึงประสงค์แทนก่อนจะจัดประเภทใหม่ให้อยู่ในกลุ่มความเบี่ยงเบนทางเพศ
เพศวิถีที่ปรารถนาการกระตุ้นเร้าด้วยขี้ ไม่ว่าจะชอบชมเป็นก้อนๆ ดูคนขับถ่าย หรือให้คนรักเบ่งขี้รดตัวที่เรียกกันว่า ‘Cleveland steamer’ บางคนก็ถึงขั้น ‘Coprophagia’ คือกินสดๆ เข้าไปเลย ไม่เพียงถูกนิยามให้เป็นความผิดปรกติทางจิตใจ ยังจัดให้เป็นอาการความเจ็บป่วยทางสมองที่เป็นภาวะอันตราย ต้องการความช่วยเหลือ
โรงพยาบาลจิตเวชหลายที่สังเกตว่า อาการชอบกินชี้มักเกิดขึ้นในผู้ใหญ่ที่มีโรคเกี่ยวกับสมองและในคนที่ฉลาดน้อยกว่าคนทั่วไปโดยเฉลี่ย แม้ว่าอาการกินขี้ไม่ได้เกิดขึ้นในคนทั่วไปที่เป็นโรคทางสมองและฉลาดน้อยนี้มากนัก แต่คนที่ชอบกินขี้ส่วนใหญ่มักมีอาการของสองโรคนี้ ปริมาณของคนป่วยเป็นโรคชอบกินขี้ไม่ได้เพิ่มขึ้นมากเท่าไหร่ แต่ปริมาณของคนชอบขี้ตอนมีเซ็กส์กลับเพิ่มขึ้น บางครั้งผู้ป่วยอาจล้วงเข้าไปในลำใส่ใหญ่ของตัวเองเพื่อเอาออกมากิน หรือกินขี้ของคนอื่นก็ได้ ส่วนใหญ่ทำเพื่อเรียกร้องความสนใจ ปัญหาคือกลิ่นมันเหม็นและอาจนำไปสู่การติดเชื้อ ป่วยเป็นโรคอื่นๆ อีก ผู้ป่วยโรคนี้จึงมักถูกแยกไว้อยู่คนเดียว
โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคสมองเสื่อมที่เปลี่ยนชีวิตของคนไปหลายอย่าง อย่างหนึ่งคือเรื่องเซ็กส์ ที่ไฮเปอร์มากขึ้นและอาจใช้อุจจาระเพื่อเป็นเครื่องกระตุ้นอารมณ์ทางเพศ เพราะงั้นอารมณ์ทางเพศของคนกลุ่มนี้ไม่ได้อยู่ที่คนหรือเพศตรงข้าม แต่อยู่ที่ตัววัตถุ หรือในกรณีนี้คืออุจจาระนั่นเอง
การกินอุจจาระจึงเป็นการเตือนตัวเอง หรือถ้าเหงามาก ก็อาจกินอุจจาระเข้าไปเพื่อเป็นการชดเชยอุจจาระของเราเองที่หายไปตอนเราขับถ่ายออกมา
มากไปกว่านั้นอาจจะมีอาการที่เดี๋ยวนี้เรียกว่า ‘เล่นขี้’ ชอบละเลงขี้ (Scatolia) ด้วยการเอาขี้มาทาที่มือหรือร่างกายของตัวเอง นักจิตวิทยาพยายามเข้าใจการละเลงขี้นี้ ทว่ากลับเป็นที่เข้าใจน้อยที่สุดว่าจะไปละเลงทำไม? ประเมินกันว่าเป็นการแกล้งผู้ดูแลของผู้ป่วย และผู้ป่วยมักละเลงขี้ในตอนกลางคืนมากกว่าตอนกลางวัน แต่บางทีก็พบว่า ผู้ป่วยสมองเสื่อมเหล่านี้พยายามทำความสะอาดหลังจากที่ขี้แตกแบบไม่รู้ตัว ขี้เลยกระจายทั่วไปหมด ซึ่งมักเกิดขึ้นในผู้ป่วยที่เข้าห้องน้ำเองไม่ได้ หรือว่าเบื่อเฉยๆ ก็ได้ บางครั้งพวกเขาและเธอก็เอามือละเลงขี้แล้วก็ป้ายกำแพง หรือเรียกง่ายๆ ว่ากำลัง ‘ใช้นิ้วทาสี’ ซึ่งพฤติกรรมนี้มักพบในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่ไม่ใช่คน มีคำอธิบายว่าการกระทำนี้อาจเป็นการพยายามโฟกัสความสนใจในการสร้างงานศิลปะ การเอาขี้ป้ายกำแพงเป็นศิลปะบำบัดประเภทหนึ่ง คือ ‘ศิลปิน’ ได้ใช้นิ้วมือของตัวเอง วาดลวดลายหรือรูปทรงง่ายๆ ขึ้นมา เพราะงั้นเมื่อผู้ป่วยโรคสมองเสื่อมนี้ไม่มีปากกาให้วาด ก็เลยใช้ขี้ของตัวเองวาดแทน ผู้ป่วยบางรายปาขี้เพื่อเป็นการเรียกร้องความสนใจ อยากสื่อสารกับเรา หรือแม้กระทั่งเป็นการลงโทษผู้ดูแล[1]
แม้ว่าความเจ็บป่วยทางสมองอาจจะทำให้มีพฤติกรรมใช้ขี้สื่อความหมายกับความรู้สึกนึกคิดกับตนเอง หรือกับเรื่องเพศ แต่คนที่ชอบขี้มันจริงๆ มันก็มีอยู่แหละ ไม่ได้เกิดจากความเจ็บป่วยทางสมองแต่อย่างใด และอันที่จริงรสนิยมทางเพศไม่ใช่เรื่องที่จะให้จิตแพทย์หรือแพทย์ที่ไหนมาเที่ยวยัดความหมายว่าเป็นโรค ตีตราว่าเป็นความเจ็บไข้ได้ป่วย
อย่างไรก็ตาม ขี้ก็เป็นเครื่องยืนยันการเป็นสัตว์สังคมของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ที่ต้องติดต่อสื่อสารกันเหมือนกับมนุษย์ ต้องการแลกเปลี่ยนซึ่งกันละกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเลือกคู่สมสู่และเรื่องเซ็กส์ การขับถ่ายของสัตว์เหล่านั้นเป็นไปเพื่อสร้างกลิ่นเพื่อใช้ในการสื่อสาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเลือกคู่หรือสืบพันธุ์ สัตว์ต้องการแร่ธาตุต่างๆ ที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต ทั้งโซเดียม แคลเซียม แมกนีเซียม และรวมถึงวิตามินอื่นๆ ซึ่งทั้งหมดหาได้ในอาหารตามธรรมชาติ และรวมถึงในขี้ของพวกมันเองด้วย บางครั้งสัตว์กินขี้ของตัวเองเพราะกำลังต้องการวิตามินบางอย่างเพื่อให้ระบบในร่างกายทำงานได้ เพราะงั้นสัตว์เลยมีนิสัยกินขี้เพราะเป็นแหล่งพลังงานและแร่ธาตุอาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งสัตว์แก่ๆ หรือสัตว์ตัวที่ไม่สามารถใช้ฟันเคี้ยวอาหารได้ที่อาจจะเคี้ยวอาหารแข็งๆ ได้ไม่มากนักสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมบางประเภทไม่เพียงกินขี้เท่านั้น แต่ยังปาขี้อีกด้วย! การปาขี้ก็ปาได้ตั้งแต่ทั้งในสัตว์สายพันธุ์เดียวกันและระหว่างต่างสายพันธุ์ ปาเพื่อต่อสู้กันก็ได้ หรือบางทีก็ปาเล่นกันเฉยๆ
สำหรับมนุษย์แล้วเพศสัมพันธ์และการขับถ่ายอาจจะมีประวัติศาสตร์มายาวนานในกรีกโบราณมีพิธีกรรมเซ็กซ์หมู่เพื่ออุทิศให้กับเทพไดอะไนซัส (Dionysus) เทพแห่งการเก็บเกี่ยวองุ่นและไวน์ เทพแห่งปีติศานติ์ มีการนำเอาเพศวิถีต่างๆ และความหลงใหลเสพติดทางเพศหลายๆ อย่างมาใช้ในเซ็กซ์หมู่นั้น และจากหลักฐานทางโบราณคดีมีจิตรกรรมบนโถในช่วง 500 ปีก่อนศริสต์กาล มีการวาดคนกำลังขับถ่ายอยู่ด้วยในกิจกรรมทางเพศ
อย่างไรก็ตาม ความรังเกียจ Coprophilia ยังถูกนำมาใช้ล้อเลียนชาติพันธุ์ เช่น Dirty Sanchez ที่อธิบายว่าเป็นหนวดชาวเม็กซิกัน เพราะมักมีภาพเหมารวมว่าชาวเม็กสิกันมีหนวดหมักหมมสกปรก อุปมากับผู้ที่ชอบกินอึจนเลอะขอบปากเหมือนหนวด ว่าหนวดแม็กซิกันกลายเป็นคำที่แพร่หลายในสังคมเกย์อังกฤษยุค 60’s
ขณะเดียวกันก็นำมาอธิบายเพศวิถีของ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 สหรัฐอเมริกาได้ให้ Walter C Langer ศึกษาจิตวิเคราะห์เกี่ยวกับฮิตเลอร์ และได้สรุปในรายงานทางจิตวิทยาชิ้นหนึ่งชื่อ A Psychological Analysis of Adolph Hitler His Life and Legend ว่าแกมีไข่ทองแดงและจะเกิดอารมณ์ทางเพศเมื่อได้เห็นขี้ รายงานยังระบุต่อไปว่าเขาชอบให้หญิงสาวเบ่งขี้ใส่ปาก และหนึ่งในนั้นคือ Geli Raubal หลานสาวของเขาเอง[2]
เพศวิถีนี้จึงเป็นชายขอบของชายขอบอีกที เป็นชนกลุ่มน้อยของกลุ่มน้อยจริงๆ ถือว่าเป็น rare item มากๆ ตั้งแต่ฉันเกิดมายังไม่เคยเจอคู่ที่เป็น Coprophilia เลย เคยแต่ถูกขอร้องให้ฉี่ใส่กับขอฉี่รดตัว ครั้งเดียวเองในชีวิต ซึ่งครั้งนั้นก็เมื่อสิบกว่าปีก่อนมาแล้ว แต่ก็ไม่ได้ทำเพราะมันเกินจะจินตนาการ โกหกไปว่าเป็นนิ่ว
แม้จะเป็นการขับถ่ายเหมือนกัน แต่เพศสัมพันธ์ที่เกี่ยวข้องอึอาจจะไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรเลยกับฉี่ก็ได้
การชอบให้ชิ้งฉ่องราดตัวระหว่างมีเพศสัมพันธ์ก็เป็นอีกเพศวิถีหนึ่งที่เรียกว่า Urolagnia หรือ Urophilia มีแสลงเรียกเก๋ๆ ว่า ‘ฝนสีทอง’ (golden shower) หรือ ‘กีฬาทางน้ำ’ (water sports) แต่ไม่วายก็ถูกจับใส่กล่องให้เป็นความวิปริตทางเพศและความเจ็บป่วยทางจิตไปอีก มีนักจิตวิเคราะห์จำนวนมากพยายามศึกษาถึงชีวิตพฤติกรรมปัจจัยแวดล้อมในวัยเด็กว่ามีผลย่างไรต่อการมีรสนิยมทางเพศเช่นนี้ เช่นอาจผลพวงมาจากการถูกบังคับให้อั้นฉี่แต่เด็ก การถูกคุณครูหรือพี่เลี้ยงลงโทษไม่ให้เข้าห้องน้ำ ซึ่งกระเพาะปัสสาวะและท่อปัสสาวะอยู่ใกล้กับอวัยวะเพศ การกลั้นฉี่หรือการฉี่ราดสามารถสัมพันธ์การกระตุ้นอารมณ์ทางเพศได้[3]
ขณะเดียวกันทั้ง urophilia และ coprophilia ก็ถูกนำไปเปรียบเทียบกับพฤติกรรมสัตว์ต่างๆ สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมหลายสปีชี่ที่แม่มักเลียรอยเปื้อนคราบสกปรกหรือใช้ปากและจมูกถูไถเพื่อทำความสะอาดลูก เช่น แม่ลิงชิมแปนซีแม่หมา แม่แมว แม้แต่คุณแม่ชาวเอสกิโมก็มีธรรมเนียมเลียลูกน้อยของตนเองเพื่อทำความสะอาด พวกเขาสันนิษฐานว่าเป็นผลพวงมาจากระบบสมองของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม[4]
ในฐานะ ‘ความเบี่ยงเบนทางเพศ’ ‘กามวิปริต’ นักจิตแพทย์จึงมักพยายามเชื่อมโยงเพศวิถีนี้ทั้งอึทั้งฉี่กับเพศวิถีอื่นๆ ที่อยู่ในกลุ่ม ‘ผิดปรกติ’ เช่นกัน อย่างเช่น ซาดิสม์ มาโซคิสม์ เซ็กซ์กับเด็ก พวกถ้ำมอง กำหนัดกับการคอสเพลย์เด็กอ่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มเพศวิถีซาโดมาโซคิสม์ เพราะการฉี่ใส่ไม่เพียงทำให้รู้สึกได้รับจิตวิญญาณของเซ็กซ์พาร์ทเนอร์ ยังเป็นการดูหมิ่นทำให้เสียเกียรติอีกด้วย
มากไปกว่านั้นถูกนำมาเป็นข้อกล่าวหาว่า โดนัลด์ ทรัมป์จ้างหญิงค้าบริการทางเพศปัสสาวะต่อหน้าเขา บนเตียงนอนโรงแรมที่มอสโคว์ ปี 2013[5]
ขณะที่นักบวชบางคนดื่มฉี่ตัวเองเพื่อสุขภาพ เชื่อว่าเป็นการรักษาโรคในบางลัทธิศาสนา กลายเป็นแพทย์ทางเลือกภูมิปัญญาดั้งเดิม การให้ฉี่ใส่ปากหรือราดตัวเพื่อความหฤหรรษ์ทางเพศกลับกลายสิ่งน่ารังเกียจรังงอน
กำหนัดหรือหลงใหลในของขับถ่ายจึงยังเป็นเพศวิถีในมุมมืด ชนิดที่ว่าใต้ตู้เสื้อผ้า มีไม่มากที่จะอาจหาญกล้าเปิดเผยว่าตนเองชอบแนวนี้ ซ้ำยังเป็นเครื่องมือในการโจมตีทางการเมือง ยิ่งนักจิตแพทย์จิตวิเคราะห์พยายามอธิบายเพศวิถีเหล่านี้ ไปเปรียบเทียบกับพฤติกรรมสัตว์นานาชนิด ยิ่งทำให้เป็นตัวประหลาดและความเจ็บป่วย ทั้งๆ ที่ไม่ว่าคนป่วยหรือไม่ป่วยก็เกิดอารมณ์แบบนี้ขึ้นมาได้ และไม่จำเป็นต้องให้อาชีพใดออกมาเที่ยวตีตรา หรืออ้างไปถึงหม้อไหในประวัติศาสตร์หลายร้อยปี
เพราะมันเป็นเพียงส่วนหนึ่งของรสนิยมหรือความต้องการทางเพศในระดับปัจเจกบุคคลเท่านั้น
อ้างอิงข้อมูลจาก
[1] Gregory Tsoucalas, Markos Sgantzos, Konstantinos Gatos. Coprophilia-Faeces Lust in the Forms of Coprophagia, Coprospheres, Scatolia and Plasterering in Dementia Patients, Our Thoughts and Experience. International Journal of Psychological and Brain Sciences 2016; 1(3): 45-53.
[4] www.psychologytoday.com/us/blog