เพิ่งรู้ว่า เพื่อนผู้ชายบางคนที่รู้จัก เกิดมาไม่เคยกินน้ำเชื้อ แม้กระทั่งน้ำเชื้อของตัวเอง แตะๆ แล้วชิม ยังไม่กล้า แปลกใจมาก แต่ถ้าแฟนสาวตัวเองจะกินของเขากลับรู้สึกดี นี่ขอยืนยันกับตัวเองเลยว่ามันกินได้จริงๆ รสชาติไม่ได้แย่ ถั่วงอกหรือแตงกวาอาจจะรสชาติแย่กว่า กินสับปะรดบ่อยๆ ล่วงหน้าก่อนชิมอาจจะช่วยให้ทัศนคติต่อการกินน้ำเชื้อเป็นในทางบวกขึ้นก็ได้
ในโลกภาษาไทย เราเรียกน้ำของผู้ชายที่ทะลักออกมาเมื่อถึงจุดไคลแมกซ์มากมายตามโครงสร้างสังคมที่เป็นพื้นฐานให้กับการใช้ภาษา น้ำเชื้อ (แสดงถึงการร่วมเพศเพื่อสืบพันธุ์) น้ำกาม (น้ำที่แตกหรือพุ่งออกมาจากกิจกาม) น้ำรัก (ด้วยสำนึกที่ว่าเราต้องรักกันถึงจะร่วมเพศกัน หลั่งมาเองเหมือนฝนอันชื่นใจ อาจจะพ้องรูปพ้องเสียงกับน้ำรักที่เป็นรองพื้นก่อนปิดทองในงานศิลปกรรมไทย เป็นน้ำยาสีดำทำมาจากยางของต้นรัก เขาเรียกว่าลงรักปิดทองไง) อสุจิ (เป็นคำบาลีๆ แปลว่าไม่สะอาด ไม่บริสุทธิ์ ไม่สุจิ เป็นคำบนสำนึกแบบพุทธๆ) บางคนเรียกเซลล์สืบพันธุ์ในน้ำไปเลยตามความรู้สุขศึกษาวิชาวิทย์กายภาพว่า สเปิร์ม ที่เป็นเซลล์แบ่งตัวด้วยกระบวนการไมโอซิสจากร่างกายของสัตว์เพศผู้ในวัยเจริญพันธุ์ แต่ก็ไม่ยักกะมีคำสำหรับผู้หญิง คำว่า ‘สารคัดหลั่ง’ ก็ใช้ทั้งผู้หญิงผู้ชาย และก็รวมไปถึงมูกขี้ฉี่ กว่าจะมีคำว่า ‘น้ำเดิน’ ก็เมื่อผู้หญิงเริ่มมีปากมีเสียงในการที่จะพูดเรื่องเพศของตัวเองดังๆ เท่าผู้ชาย
ไม่ว่าเราจะเรียกอย่างไร น้ำเชื้อของผู้ชายก็คือของเหลวที่ดื่มได้ ไม่ท้องร่วงไม่เป็นโรคบิด มีสารอาหารที่ดีต่อร่างกาย ทั้งกรดอะมิโน โปรตีน ฟรุกโตสและกลูโคส ซิงค์ แคลเซียม วิตามินซี
สัตว์บางชนิดก็กินน้ำกามเหมือนกัน กินกันเป็นเรื่องเป็นราวเป็นล่ำเป็นสัน กินเป็นอาหาร สัตว์เพศเมียในหลายๆ อาณาจักรสิ่งมีชีวิตกินน้ำกามเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการการสืบพันธุ์ ส่วนใหญ่เป็นพวกแมลงวัน ปลิง และ ปลาหมึกบางประเภท ที่จะกินเพื่อให้เป็นแหล่งพลังงานและเป็นตัวจุดระเบิดกระบวนการสืบพันธุ์ของตัวมันเอง เพราะในน้ำกามของสัตว์พวกนี้มีโปรตีนมากกว่า 80 ชนิด และยังช่วยกระตุ้นให้เกิดการตกไข่อีกด้วย
ในมนุษย์ มันยังถูกใช้ในพิธีกรรมมงคล ในฐานะน้ำศักดิ์สิทธิ์
ในบางกลุ่มชาติพันธุ์ที่เป็นเนทีฟอเมริกันก็เชื่อว่า ไม่ใช่แต่เฉพาะน้ำเชื้อผู้ชาย แต่รวมถึงเลือดประจำเดือนของผู้หญิงก็มีพลังงานศักดิ์สิทธิ์ นำมาประกอบพิธีกรรมดื่มเป็นยาอายุวัฒนะได้ ด้วยความเชื่อว่าน้ำทั้ง 2 นี้ก่อให้เกิดการกำเนิดสรรพชีวิต พลังงาน และความอุดมสมบูรณ์
ที่ถูกพูดถึงมากที่สุดก็คือวัฒนธรรมดั้งเดิมของชนเผ่า ‘อีโทโร’ (Etoro) ซึ่งอาศัยอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศปาปัวนิวกินี หากมองด้วยสายตาของชาติพันธุ์และวัฒนธรรมต่างถิ่นที่ถูกกระบวนการทำให้เป็นตะวันตกแล้ว พอมองไปยังวัฒนธรรมที่ยังไม่ถูก westernize ก็คงดูแปลกประหลาด พิลึก และไม่อารยะ
ตามจารีตประเพณี เด็กชายเผ่าอีโทโรถูกกำหนดให้ต้องรับเอาน้ำอสุจิของผู้ชายที่อายุเยอะกว่า อาจจะด้วยการกลืนกินลงไป หรือการสอดใส่ทางทวารหนัก เพื่อให้เด็กชายนั้นเติบโตเป็นชายหนุ่มที่แข็งแรง โดยที่เด็กชายทั้งหลายต้อง ‘เก็บแต้ม’ น้ำกามอย่างสม่ำเสมอต่อเนื่องอยู่หลายปี ที่เป็นเช่นนี้เพราะเป็นความเชื่อชองชนเผ่าว่า น้ำกามเป็นขุมพลังของความเป็นชาย เด็กชายอายุ 7-17 ปี จะโตเป็นหนุ่มสมชายชาตรีได้ก็ด้วยการกลืนกินหรือรับเอาน้ำกามจำนวนมากเข้าไป หรือในชนเผ่า Marind-anim ในนิวกินีตะวันตกเฉียงใต้ ซึ่งเป็นชนเผ่านักล่าที่ดุเดือด ก็ส่งเด็กชายในรุ่นราวคราวเดียวกันนี้ให้กับญาติผู้ชายฝ่ายแม่ ลุงหรือน้า ไป ‘ใช้สอย’ และ ‘รดน้ำ’ อยู่ 6 ปี เผ่าอื่นที่อยู่ใกล้ๆ ก็ปฏิบัติคล้าย ๆ กัน บางเผ่ามีคำเรียกลำดับชั้นทางเครือญาติให้กับชายหนุ่มที่เอาเราด้วยว่าเป็น ‘mo-e’ หรือ ‘พ่อทางตูด’ และเราเองก็มีชื่อว่าเป็น ‘ลูกทางตูด’ หรือ ‘mo-mog’ และชนเผ่าเหล่านี้ยังเชื่ออีกด้วยว่า เด็กชายในช่วงวัยนี้ไม่มีน้ำกามเป็นของตัวเอง และจะไม่มีวันมีได้จนกว่าจะได้รับการ ‘ปลูกฝัง’ หรือ ‘ปลูกถ่าย’ จากชายหนุ่มที่โตกว่าแล้วเท่านั้น
คริสต์ศาสนิกชนในช่วงแรกๆ ก็ถูกบันทึกไว้ว่าการดื่มกินน้ำกามเป็นการรับศีลมหาสนิท เพราะเชื่อว่าน้ำกามเป็นของเหลวที่เป็นศูนย์รวมของจิตวิญญาณ
David Titterington ผู้ศึกษาประวัติศาสตร์ของน้ำกามระบุว่า ตามที่ Michel Foucault ใน History of Sexuality บอกว่า “เมื่อสิ่งมีชีวิตปล่อยน้ำกามออกมา สิ่งมีชีวิตเหล่านั้นได้สละสิ่งที่มีค่าต่อการดำรงอยู่ของตัวมันเองออกไป” นั้น เป็นคำอธิบายว่าทำไมน้ำกามจึงเป็น ‘น้ำแห่งจิตวิญญาณ’ ในพิธีกรรมช่วงแรกเริ่มของคริสต์ศาสนา การกลืนกินเอาน้ำอสุจิเข้าไปยังเป็นการทำให้ ‘ไม่เสียของ’ อีกด้วย
พระสงฆ์ในพุทธศาสนาบางนิกายในญี่ปุ่นก็ฉันน้ำกามของพระผู้ใหญ่ของตัวเองในฐานะที่น้ำกามเป็นสื่อกลางในการถ่ายทอดความคิด ในพิธีกรรมนิกายตันตระท้องถิ่นก็เช่นกัน ที่การกลืนกินน้ำเชื้อเป็นส่วนหนึ่งของพิธีไม่ว่าจะของผู้หญิง ของผู้ชาย ใช่ๆ ผู้หญิงก็หลั่งน้ำกามได้นะ
ประเพณีเหล่านี้ถูกมองว่าป่าเถื่อน barbaric แต่มันคือการประกอบสร้าง ‘ความเป็นชาย’ ของอีกวัฒนธรรม อีกโครงสร้างสังคมเท่านั้น ขณะที่ในโลกที่ westernized การถูกสอดใส่อวัยวะเพศไปที่ทวารหนัก หรือในปากคือการสูญเสีย ‘ความเป็นชาย’ แล้วยิ่งแตกใน ฝากไว้ในกายเธอ ยิ่งไม่ใช่ผู้ชาย เพราะเชื่อว่าเป็นสภาวะของ ‘ความเป็นหญิง’
ขณะเดียวกันก็ตีความว่า พลีกรรมดื่มกินน้ำกามระหว่างผู้ชายด้วยกันในหลากหลายวัฒนธรรม เป็นการสร้างความสัมพันธ์ความใคร่แบบพวกรักเพศเดียวกัน ซึ่งมันก็อาจจะมีสมาชิกสักคนที่ชอบเพศเดียวกันในชุมชนในชาติพันธุ์นั้น แต่ประเพณียิ้มสดแตกในนี้เป็นคนละเรื่องกับต้องการทางเพศ ความใคร่ ตามสำนึกภาวะสมัยใหม่ตะวันตกตามวาทกกรรมทางการแพทย์ที่เพิ่งเกิดขึ้นในศตวรรษที่ 19 ในการแบ่งเพศวิถีแบบเป็นขั้วตรงข้ามระหว่างรักต่างเพศ (heterosexuality) กับรักเพศเดียวกัน (homosexuality) เพียงแต่กิจกรรมบางประการเหมือนกันเท่านั้น การดูดกลืนน้ำเชื้อไม่ใช่กิจกรรมที่ผูกขาดกับเพศวิถีใดเพศวิถีหนึ่ง
อ้างอิงข้อมูลจาก