“ถ้ายอมมอบตัว ก็คงโดนประหารด้วยเก้าอี้ไฟฟ้า ถ้าสู้ต่อ ก็สงสัยว่าจะมีชีวิตรอดไปได้ สักกี่น้ำ”
1.
วันที่ 22 กรกฏาคม ปี 1934 สหรัฐอเมริกาอยู่ระหว่างฟื้นตัวเองจากวิกฤติเศรษฐกิจตกต่ำ โจรเต็มบ้าน อาชญากรเต็มเมือง รัฐบาลมีนโยบายปราบปรามทรชนให้สิ้นซาก
แต่แม้สังคมอเมริกันจะเสื่อมโทรม คนก็ยังออกมาเที่ยวเล่นยามค่ำคืนกันอยู่เสมอ ดังเช่นที่หน้าโรงภาพยนตร์แห่งหนึ่ง ในเมืองชิคาโก ผู้คนมากมายควงคู่ดูหนัง หาของกิน
อย่างไรก็ดีที่หน้าโรงหนังแห่งนี้ มีชายฉกรรจ์มากหน้าหลายตา ยืนหลบซ่อนตัวอยู่เยอะเกินไป ดีที่ไม่มีใครสงสัยหรือผิดสังเกต เพราะพวกเขาต่างยืนนิ่ง ไม่สนใจบรรยากาศคึกคักนี้แม้แต่น้อย
ทั้งหมด เป็นเจ้าหน้าที่รัฐสังกัดสำนักงานสอบสวนกลาง หรือเอฟบีไอ หน่วยงานที่เพิ่งก่อตั้งใหม่ได้ไม่ถึง 10 ปี สังกัดกระทรวงยุติธรรม ทุกคนผิวขาว หุ่นนักกีฬา บึกบึน สง่างาม ชวนน่ามอง ผิดที่ว่าพวกเขาไม่ได้สนใจจะมองใคร นอกจากเป้าหมายเพียงรายเดียวเท่านั้น ที่ทำให้พวกเขาต้องมายืนรอคอยกว่า 2 ชั่วโมง ทุกคนกระจายกำลังปิดกั้นทางออกไว้ทุกจุดของโรงภาพยนตร์แห่งนี้ ทั้งด้านหน้า ด้านข้าง และด้านหลัง
โรงภาพยนตร์แห่งนี้ ฉายเรื่อง Manhattan Melodrama นำแสดงโดย ดาราชายสุดหล่อมากเสน่ห์แห่งยุคสมัยที่ชื่อว่า คลาร์ก เกเบิ้ล (Clark Gable) มันเป็นหนังเกี่ยวกับ ผู้ชาย 2 คน ที่เป็นเพื่อนรักกัน ทั้งคู่เติบโตมาแล้ว เผอิญอยู่กันคนละฝั่งของกฎหมาย คนหนึ่งเป็นโจร อีกคนเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งทั้ง 2 ดันตกหลุมรักผู้หญิงคนเดียวกัน
มันเป็นหนังที่น่าสนใจมาก แต่เอฟบีไอ ที่นำโดยเจ้าหน้าที่เมลวิน เพอร์วิส (Melvin Purvis) ไม่ได้สนใจหนังมากไปกว่าผู้ชมคนหนึ่งในโรงภาพยนตร์แห่งนี้ต่างหาก
เพอร์วิส เกิดในครอบครัวชนชั้นกลาง มีความฝันอยากเป็นทูต แต่กระทรวงต่างประเทศไม่เปิดรับสมัคร เขาเรียนจบกฎหมาย มีพื้นเพเป็นคนทางรัฐตอนใต้ หน้าตาดี มีเสน่ห์ ชายหนุ่มจึงลองสมัครงานกับทางกระทรวงยุติธรรม ซึ่งมีคนแจ้งว่า มีหน่วยงานเปิดใหม่เรียกว่า เอฟบีไอ เขาเลยไปลองสมัครดู แล้วดูเหมือนโชคชะตาแห่งการรับใช้ประเทศจะสดใสยิ่งกว่าการเป็นทูตเสียอีก
เพราะที่นี่เพอร์วิส ได้รับการอวยยศ ขยับตำแหน่งอย่างรวดเร็ว โดยผู้อำนวยการหนุ่มอย่าง เจ เอดการ์ ฮูเวอร์ (J. Edgar Hoover) คอยผลักดัน และส่งให้เขาไปคุมเมืองชิคาโก ดินแดนที่เต็มไปด้วยอาชญากรตัวเอ้ทั้งนั้น
ระหว่างที่เพอร์วิสกำลังครุ่นคิดอยู่นั้น หนังก็จบ ประตูโรงภาพยนตร์เปิด คนจำนวนมากเทออกมา เสียงพูดดังขึ้น หลายนาทีผ่านไปอย่างช้าๆ ในที่สุดเพอร์วิสก็เห็น ชายที่เขาเฝ้ารอมาหลายเดือน
ตามที่ตกลงนัดหมาย เจ้าหน้าที่หนุ่มจึงได้จุดไม้ขีดไฟ แล้วจ่อไปที่ซิการ์ของตัวเอง นั่นทำให้เอฟบีไอคนอื่นรู้ตัว ว่าเจอบุรุษที่กำลังค้นหาแล้ว พวกเขาพุ่งตามเพอร์วิสที่ทะยานไปก่อนแล้ว
กินเวลาไม่นาน ทุกคนก็เข้าใกล้และล้อมชายคนหนึ่งที่เดินอยู่กับหญิงสาว 2 คน บุรุษผู้ซึ่งบอกกับเพื่อนสนิทว่า ไม่รู้ว่าชีวิตตัวเองจะมีจุดจบอย่างไร หากมอบตัว ก็คงโดนประหารด้วยเก้าอี้ไฟฟ้า แต่ถ้าเลือกสู้ก็สงสัยว่าจะมีชีวิตรอดไปได้ สักกี่น้ำ
วินาทีต่อจากนี้ ชายคนนี้จะไม่รู้ตัวเลยว่า เขาเหลือเวลาหายใจบนโลกอีกไม่นานเสียแล้ว
“หยุดอยู่ตรงนั้น จอห์นนี่ เราล้อมนายไว้แล้ว”
ชายที่เพอร์วิสเฝ้ารอ สะดุ้งชะงัก แล้วเริ่มวิ่งหนี วินาทีนั้น พยานเผยว่า เห็นบุรุษที่เอฟบีไอหมายตา ล้วงเข้าไปในเสื้อ เพื่อหยิบปืนพกออกมา
เสี้ยววินาทีต่อมา คือเสียงกระสุนที่สาดเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ทำเอาคนโดยรอบตื่นตกใจ กรีดร้องเสียงหลง
กินเวลาไม่นาน บุรุษที่เพอร์วิสพยายามเข้าจับ ก็นอนนิ่งกับพื้น ไร้ลมหายใจ เลือดอาบหลังถูกกระหน่ำยิงหลายนัด
ชายคนนี้ถูกตั้งสมญานามว่า ศัตรูของประชาชน หมายเลข 1 เขามีค่าหัวถึง 1 หมื่นเหรียญ และเพิ่งจะถูกวิสามัญฆาตกรรม โดยกระบอกปืนของเอฟบีไอไปหมาดๆ
นามของเขาคือ จอห์น ดิลลิงเจอร์ (John Dillinger) ตำนานโจรปล้นธนาคารสุดโด่งดัง
ความตายของเขา ทำให้เจ้าหน้าที่เพอร์วิส ถูกตั้งฉายาจากสื่อว่า ชายผู้พิชิตดิลลิงเจอร์ ความตายของเขา ทำให้เอฟบีไอกลายเป็นหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายที่ทรงพลังสุดในอเมริกา
เหตุการณ์นี้ ทำให้เจ เอดการ์ ฮูเวอร์ เป็นข้ารัฐการที่คนอเมริกันชื่นชอบที่สุด เพราะจัดการกวาดล้างอาชญากรรมอย่างเข้มข้น กลายเป็นประวัติศาสตร์สุดตื่นตะลึง
แต่ความจริงแล้ว กว่าจะมาถึงวันที่ 22 กรกฏาคม ปี 1934 นั้น มันมีอะไรมากมายที่ลึกซึ้งอย่างยิ่ง โดยเรื่องราวทั้งหมด มีบุคคลเกี่ยวข้อง 3 คนด้วยกัน ฮูเวอร์ เพอร์วิส
และจอห์น ดิลลิงเจอร์
2.
เริ่มจากเจ เอดการ์ ฮูเวอร์ก่อน ชายซึ่งสร้างอาณาจักรเอฟบีไอให้ยิ่งใหญ่ กลายเป็นหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายที่โด่งดังและมีคุณภาพมากสุดในโลก
ฮูเวอร์เกิด โต และใช้ชีวิตที่เมืองหลวงวอชิงตัน ดีซี เพียงเมืองเดียว จวบจนวันตาย เรียนจบด้านกฎหมาย ไปทำงานที่กระทรวงยุติธรรม ทำงานในหน่วยงานหนึ่ง ซึ่งจะพัฒนากลายเป็นเอฟบีไอในเวลาต่อมา แต่ตอนนั้น มันยังเป็นหน่วยเล็กๆ มีหน้าที่เพียงรับใบสั่งจากกระทรวง ประสานกับหน่วยอื่นๆ เท่านั้น
อย่างไรก็ดีฮูเวอร์โด่งดังในหน่วยงาน จากผลงานเรื่องการคุ้ยหาหลักฐานผ่านทางเอกสาร เขาค้นข้อมูลบุคคลต้องสงสัยว่าจะเป็นคอมมิวนิสต์ และก่อความวินาศ เขย่าความมั่นคงต่ออเมริกา และประสานกระทรวงแรงงานให้ออกคำสั่ง ไล่บุคคลเหล่านี้ออกจากอเมริกาไป นั่นคือสิ่งที่ฮูเวอร์ชำนาญมาก เขาทำงานจัดการพวกคนเยอรมันในอเมริกา ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ไล่ออกนอกประเทศ จนได้รับความก้าวหน้าในเส้นทางอาชีพ
ด้วยคุณสมบัติทำงานรับใช้นักการเมืองแบบรู้ทิศทางลมเป็นอย่างดี ฮูเวอร์จึงได้เป็นผู้อำนวยการหน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย ด้วยวัยแค่ 30 นิดๆ หน่วยงานนี้ถูกตั้งชื่อโดยตัวเขาเองว่า เอฟบีไอ และเมื่อได้เป็นใหญ่ เขาก็ปฏิรูปหน่วยงานแห่งนี้ครั้งใหญ่ ไล่คนผิวดำออก คัดแต่นักศึกษาจบใหม่ด้านกฎหมาย รูปร่างดี ผิวขาว ไม่มีเชื้อสายยิว แถมต้องมีหุ่นแบบนักกีฬาด้วย
งานของเอฟบีไอที่ฮูเวอร์เริ่มต้นสร้างนั้น เน้นเรื่องการทำงานเอกสาร ส่งข้อมูลให้ตำรวจ ความฝันที่ยิ่งใหญ่ของฮูเวอร์ ซึ่งก้าวหน้ามากๆ คือการสร้างระบบฐานข้อมูลลายนิ้วมือทั้งสหรัฐอเมริกา เพื่อที่จะสามารถรู้ตัวได้ว่าเจ้าของลายนิ้วมือนั้นๆ ก่อเหตุกระทำผิดในพื้นที่ไหนในอเมริกาอันกว้างใหญ่บ้าง
มันเป็นงานที่ล้ำสมัยมากๆ และใช้เวลาในการรวบรวมข้อมูล แน่นอนว่าฮูเวอร์สร้างเอฟบีไอ ไม่ให้เหมือนตำรวจ จะไม่มีการสืบสวน สอบสวนแบบผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ จะไม่มีการใช้สายข่าว จะไม่มีการสอบแบบโหดๆ วิสามัญฆาตกรรมคนร้ายเหมือนตำรวจแน่นอน
นั่นคือสิ่งที่ฮูเวอร์เฝ้าฝันไว้
จนกระทั่งการมาถึงของยุคเศรษฐกิจตกต่ำ รัฐมนตรียุติธรรม ภายใต้ประธานาธิบดี แฟรงคลิน ดี รูสเวลท์ (Franklin D. Roosevelt) ต้องการปฏิรูปประเทศ ฉุดอเมริกาจากหายนะความตกต่ำ รัฐบาลลงทุนสร้างระบบสาธารณูปโภคใหม่ เพื่อสร้างงานให้กับประชาชน และที่สำคัญพวกเขาต้องการกวาดล้างอาชญากรที่อาศัยความยากจนตกต่ำ ก่อเหตุปล้นธนาคารเป็นว่าเล่นในตอนนั้น
นักการเมืองเริ่มเรียกคนเหล่านี้ว่า ศัตรูของประชาชน และเพื่อจะสนองคืนความสงบสุขให้สังคม รูสเวลท์เห็นว่าเอฟบีไอเหมาะจะเป็นหน่วยงานปราบปรามเรื่องนี้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ฮูเวอร์คัดค้านอย่างมาก เขาพยายามทำให้เจ้าหน้าที่ของตัวเอง เป็นมือกฎหมาย ทำงานเอกสาร ไม่ใช่มือปราบปืนโหดแต่อย่างใด
แต่คำสั่งนักการเมืองที่บัญชามายังเจ้าหน้าที่รัฐ สูงส่งเพราะมาจากอำนาจแห่งการเลือกตั้ง เป็นตัวแทนประชาชน ฮูเวอร์จึงต้องปฏิบัติตาม
สุดท้ายผลงานจากคำสั่งนักการเมือง จะกลายเป็นผลงานที่เป็นเกียรติประวัติจนคนคิดว่าฮูเวอร์เป็นคนเริ่มกวาดล้างอาชญากรด้วยตัวเอง แต่ความจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่
อย่างไรก็ดีฮูเวอร์อาศัยผลงานตรงนี้ ทำให้คนนิยม ครองตำแหน่งผอ.เอฟบีไอจนตายคาเก้าอี้เลยทีเดียว
3.
ชายที่ต้องกล่าวถึงคนต่อมา จอห์น ดิลลิงเจอร์ เขาเกิดในครอบครัวมีฐานะ พ่อร่ำรวย วิกฤติเศรษฐกิจตกต่ำทำอะไรเขาไม่ได้เลย มีเพียงความห่ามของเขา ที่ขับดันให้เดินเลือกเส้นทางสายโจร เมื่อเลิกเรียนตั้งแต่อายุ 16 ปี ก็ไปทำงานเป็นช่าง จนวันหนึ่งความคะนอง พาเขาไปสู่การปล้นร้านขายของชำ มีการทำร้ายเจ้าของบาดเจ็บ
ตำรวจรวบตัวได้ พ่อของดิลลิงเจอร์บอกให้ลูกรับสารภาพ เพื่อจะได้ชดใช้ความผิดในคุกสักหน่อย แต่แล้วศาลกลับลงโทษให้เขาติดคุกถึง 10 กว่าปี ทั้งที่มันคือการกระทำผิดกฎหมายครั้งแรกของดิลลิงเจอร์ ส่วนเพื่อนที่ร่วมก่อเหตุได้ทนายดี กลับติดคุกเพียง 3 ปีเท่านั้น
ความอยุติธรรมผลักดันดิลลิงเจอร์ไปสู่โลกหลังกำแพงสูง เมียขอหย่า ทุกอย่างหดหู่ แต่ที่นี่ เขาได้รับการศึกษาวิธีการปล้นธนาคารจากคนในคุก ซึ่งใช้วิธีการที่มีระเบียบวินัยอย่างมาก
หลักการปล้นธนาคารที่ดิลลิงเจอร์ได้รับการถ่ายทอดนั้น ผู้ก่อเหตุทุกคนต้องมีระเบียบวินัยแบบทหาร จะต้องมีการสำรวจคนเข้าออก โดยเฉพาะช่วงที่คนพลุกพล่าน รถจะต้องซ้อมขับรับเพื่อนที่ไปปล้น และขับหนีอย่างชำนาญ พวกเขาจะซ้อมกัน 3-4 รอบ จนมั่นใจ และจะมีการวางน้ำมันสำรองใส่แกลลอน ซ่อนไว้ระหว่างทางด้วย
นอกจากนี้พวกเขาจะตรวจว่าโรงพักที่ใกล้ธนาคารสุดคือตรงไหน และที่สำคัญสมาชิกปล้น จะไม่ดื่มเหล้าก่อนและระหว่างการลงมือ เพราะจะต้องมีสติพร้อมที่สุดในเวลานั้น
11 ปีที่ดิลลิงเจอร์ติดคุก เขากับเพื่อนกลับสู่โลกข้างนอก สูดกลิ่นอิสรภาพ พร้อมประกาศิตจะใช้ชีวิตให้เต็มที่ หลังสูญเสียทุกอย่างในโลกหลังกำแพงสูง
พวกเขาออกล่าปล้นธนาคารทันที
ดิลลิงเจอร์กลายเป็นชื่อที่ตำรวจรู้จักขึ้นมาทันที เขาปล้นธนาคารหลายแห่ง ยิงตำรวจตาย หลบหนีมือกฎหมายไปได้ แม้จะถูกรวบตัวได้ ก็ยังแหกคุกออกมาได้อีก ซึ่งในเวลานั้นดิลลิงเจอร์พร้อมพวกได้ขโมยรถหลวงแล้วขับข้ามรัฐ ซึ่งกลายเป็นฐานความผิดที่รัฐบาลกลางต้องลงมาสืบสวน นั่นทำให้เอฟบีไอต้องลงมาดูเรื่องนี้ทันที
“ทีแรกฮูเวอร์บอกว่า มันเป็นเรื่องเล็กๆ ให้ตำรวจท้องที่จัดการก็ได้ แต่พอดิลลิงเจอร์ทำแบบนี้ นักการเมืองจึงมีสิทธิ์กดดัน ทำให้เขาต้องส่งเจ้าหน้าที่ไปล่าตัวอย่างไม่เต็มใจเท่าไหร่นัก”
ฮูเวอร์ส่งเพอร์วิสไปลุยงาน แต่ช่วงเวลานั้น เอฟบีไอไม่ได้มีอาวุธอย่างดีเลย เจ้าหน้าที่ทำงานกฎหมาย แต่ไม่ได้เป็นเหมือนตำรวจ หลายคนไม่เคยยิงปืน พวกเขาไม่มีเครื่องมือจะล่าดิลลิงเจอร์ได้ นอกจากสอบปากคำพยาน แล้วขู่ว่าหากไม่ร่วมมือก็จะเนรเทศออกจากอเมริกา
ความอ่อนหัดของเอฟบีไอเกิดขึ้น เมื่อพวกเขาได้เบาะแสว่าดิลลิงเจอร์ไปพักฟื้นที่โรงแรมแห่งหนึ่ง หลังไปทำการศัลยกรรมใบหน้ามา เจ้าหน้าที่เอฟบีไอเข้าจับ แต่หมาของโรงแรมดันเห่า นั่นทำให้เหล่าขุนโจรตื่นทันที
จังหวะนั้นทางการเห็นคนเดินออกมา 2-3 คน จึงกระหน่ำยิง ปรากฎว่าพวกเขายิงประชาชนคนบริสุทธิ์ที่มาหาเบียร์ดื่มตาย หลังจากนั้นดิลลิงเจอร์พร้อมพวกจึงตั้งตัวได้ สวนกระสุนกลับทำเอฟบีไอตายไป 1 ศพ แล้วหลบหนีไป
เรื่องนี้สร้างความอับอายแก่ฮูเวอร์เป็นอย่างมาก ดีที่สื่อยกย่องความทุ่มเทให้กับเอฟบีไอ มากกว่าจะแฉความโหลยโท่ย ในที่สุดฮูเวอร์ก็สั่งการให้เพอร์วิสใช้วิธีการอะไรก็ได้ ขอเพียงให้ได้ตัวดิลลิงเจอร์
คำสั่งนี้เอง ทำให้เจ้าหน้าที่หันไปใช้ข้อมูลคุยกับสายข่าว มอบเงินเพื่อเป็นแรงจูงใจให้เบาะแส อันเป็นสิ่งที่ตำรวจนิยมทำกัน และเป็นสิ่งที่ฮูเวอร์ไม่ชอบเป็นอย่างยิ่ง
แต่วิธีการนี้กลับสัมฤทธิ์ผล เพราะตำรวจแจ้งเอฟบีไอว่า มีเจ้าของซ่องให้ข้อมูลเบาะแสดิลลิงเจอร์จะไปดูหนัง นั่นจึงนำไปสู่การจับกุมแห่งศตวรรษ ที่กลายเป็นข่าวใหญ่ไปทั่วโลก
ตอนที่ฮูเวอร์รู้ข่าว เขาจัดแถลงต่อหน้าสื่ออย่างใหญ่โต แต่เมื่อพูดจบ ผอ.เอฟบีไอคุยกับนักข่าวที่สนิทว่า “ผมอยากพูดประโยคเดียวจริงๆ นะ เราจัดการดิลลิงเจอร์ได้แล้ว จบ หลังจากนี้ก็ลืมมันไปได้แล้ว”
แต่ไม่มีใครลืมจอมโจรผู้เป็นตำนานคนนี้ มันจะกลายเป็นสิ่งที่อยู่กับฮูเวอร์ไปชั่วชีวิต
หลังการวิสามัญฆาตกรรม เอฟบีไอโด่งดัง ฮูเวอร์สั่งการให้มีการฝึกซ้อมยิงปืน ติดตั้งอาวุธหนักๆ ให้ ประธานธิบดีเพิ่มอำนาจให้หน่วยงานแห่งนี้ กินเวลาไม่นาน พวกเขาจะมีฉายาจากสื่อว่า คนของรัฐบาล หรือ Government Man เรียกย่อๆ ว่า G-Man
ทุกอย่างโด่งดัง โดยที่ฮูเวอร์ไม่ได้อยากมีส่วนร่วมด้วยเลย แม้แต่น้อย
4.
ในเวลาต่อมา เจ้าหน้าที่เพอร์วิสจะเล่าให้คนรู้จักฟังว่า เขาไม่เคยลั่นไกยิงดิลลิงเจอร์เลย แต่เป็นเจ้าหน้าที่คนอื่นร่วมสาดกระสุน สาเหตุที่เขาไม่เคยออกมาบอกสื่อว่า ใครเป็นคนทำ เพราะกลัวเพื่อนร่วมงานและลูกน้องจะถูกฆ่าล้างแค้นโดยสมุนดิลลิงเจอร์
สื่อยกย่องเขามาก จนกลายเป็นภัยกับตัวเอง เพราะชื่อเสียงนี้ทำให้ผอ.ฮูเวอร์หมั่นไส้ จนมอบหมายงานยากๆ แก่เพอร์วิส กดดันให้เขาลาออกในเวลาต่อมา
มีหลักฐานชี้ชัดว่า ฮูเวอร์เคยเขียนจดหมายจีบเพอร์วิสหลายครั้ง และอีกฝ่ายก็รู้ดี แต่เพราะเห็นว่าฮูเวอร์เป็นนาย จึงต้องเขียนจดหมายตอบกลับ ในยุคนั้นฮูเวอร์ไม่แต่งงาน ไม่มีแฟน คนเรียกเขาว่าชายที่สมรสกับงาน
อย่างไรก็ดีหากมองด้วยสายตาปัจจุบัน เขาคือเกย์ ที่อยากอยู่ท่ามกลางวงล้อมของชายหนุ่มรูปร่างดี หน้าตาหล่อเหลา เมื่อเพอร์วิสไปไกลเกินกว่าความฝันเอฟบีไอที่ฮูเวอร์หวังไว้ มันจึงนำไปสู่การอัปเปหิผู้พิชิตยอดโจรปล้นธนาคารในที่สุด
ไม่ถึงปีหลังดิลลิงเจอร์ตาย เพอร์วิสก็ลาออก และหางานกฎหมายทำไม่ได้ เพราะฮูเวอร์ใช้เส้นสายขวาง เจ้าหน้าที่หนุ่มต้องไปทำงานอื่น อยู่อย่างลำบาก เคยต้องไปรับงานโฆษณา ซึ่งเขารังเกียจและอับอายเป็นอย่างมาก
และแล้วในปี 1960 หรือ 26 ปี หลังวิสามัญดิลลิงเจอร์ เพอร์วิสก็เอาปืนที่เพื่อนเอฟบีไอให้ไว้เป็นที่ระลึกตอนลาออก ยิงตัวตาย
ด้านฮูเวอร์ บุรุษเหล็ก ผอ.เอฟบีไอ มีชีวิตอย่างยาวนาน เป็นคนที่สังคมอเมริกันยกย่องนิยมมาก ว่ากันว่าช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 หากเขาลงจากตำแหน่ง คนจะนิยมเขาไปตลอดกาล
แต่เมื่อฮูเวอร์เลือกอยู่ต่อ และเจอกับกระแสคนดำเรียกร้องสิทธิพลเมือง และสิทธิ์เลือกตั้ง ฮูเวอร์ใช้วิธีสกปรก เล่นงานผู้นำการประท้วงผิวดำ จนมีภาพลักษณ์เป็นจอมเผด็จการ เจ้าเล่ห์ไปแทน กลายเป็นชื่อเสียที่ติดตัวจวบจนวันที่เขาเสียชีวิตในปี 1972 หรือ 12 ปีหลังเพอร์วิส อดีตลูกน้องคนโปรดยิงตัวตาย หรือ 38 ปี หลังดิลลิงเจอร์โดนวิสามัญ
อย่างไรก็ดีสิ่งที่เขาทิ้งไว้ คือหน่วยงานเอฟบีไอที่ถูกสร้างมาอย่างยิ่งใหญ่ ซึ่งทั้งหมดนี้ จะเกิดขึ้นไม่ได้ หากไม่มีชีวิตแสนโลดโผนของจอห์น ดิลลิงเจอร์ โจรปล้นธนาคาร ที่ในเวลาต่อมา เขาถูกสร้างภาพโดยสื่อให้เป็นอาชญากรที่คนหลงใหล นับถือ มีเสน่ห์ ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยในชีวิต
เพราะแม้เจ้าตัวจะเลือกเส้นทางสายโจร แต่ลึกๆ แล้ว ดิลลิงเจอร์เคยเปรยถึงความฝันที่แท้จริงกับเพื่อนสนิท ซึ่งตัวเขา เพอร์วิส และฮูเวอร์ ไม่มีวันทำได้เลย
ฝันนั้นก็คือ
“ผมก็แค่อยากเป็นคนธรรมดา แต่งงาน แล้วลงหลักปักฐาน อยู่สักที่สักแห่ง แค่นั้นเอง”
อ้างอิงจาก
https://www.pbs.org/wgbh/americanexperience/features/dillinger-melvin-purvis/
https://www.fbi.gov/history/famous-cases/john-dillinger
https://www.pbs.org/wgbh/americanexperience/features/dillinger-john-dillinger/
หนังสือ G-Man : J. Edgar Hoover and the Making of the American Century โดย Beverly Gage