“Fin อาทิตย์หน้าผมกับครอบครัวกำลังจะเดินทางไปประเทศญี่ปุ่น ฝากนัดทานข้าวเย็นกับเพื่อนมหาวิทยาลัยที่อยู่ในโตเกียวหน่อย สักหนึ่งทุ่ม ขอเป็นร้านซูชิที่มีคนไม่แน่นมาก ถ้าใกล้สถานีรถไฟก็จะดีมาก แล้วเป็นร้านไม่สูบบุหรี่และมีพื้นที่เหมาะสำหรับเด็กสองขวบ จัดการจองโต๊ะให้ด้วยเลยนะ…
“หลังจากนั้นช่วยเช็กตารางรถไฟกลับโรงแรมว่าเที่ยวสุดท้ายตอนกี่โมง ร้านสะดวกซื้อแถวนั้นมีอะไรบ้าง ฝากซื้อตั๋วไปดิสนีย์แลนด์สำหรับผู้ใหญ่สองคนและเด็กหนึ่งคนให้ด้วยสำหรับวันต่อไป อีกอย่างหนึ่งขอเลื่อนตั๋วกลับออกไปอีกสองวัน แคนเซิลนัดทุกอย่างที่อยู่ในช่วงเวลานั้น แล้วก็อย่าลืมซื้อหนังสือใหม่ของ Tom Hanks จากอะเมซอนแล้วส่งไปที่บ้านด้วย ตัดจากบัตรเครดิตที่อยู่ในไฟล์ได้เลย มีคำถามตรงไหนติดต่อมาทางเมสเซจ”
กดส่งแล้วหลังจากนั้น ‘Fin’ ผู้ช่วยดิจิทัลแสนฉลาดจะไปจัดการทุกอย่างที่สั่งไว้ หาข้อมูล จองโต๊ะ นัดเพื่อน หาร้าน ซื้อตั๋ว จ่ายเงิน โดยที่ผู้ใช้บริการก็ดำเนินชีวิตของตัวเองไปเรื่อยๆ ถ้าติดขัดตรงไหนก็จะติดต่อมาเพื่อกลับไปทำงานต่อจนเสร็จ เมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้น Fin จะคิดค่าบริการตามเวลาที่ใช้ในการทำงานทุกอย่างเป็นนาที นาทีละ 1 ดอลลาร์ หรือประมาณ 33 บาท (ให้ลองคาดคำนวณเล่นๆ ว่างานข้างบนใช้เงินประมาณเท่าไหร่?)
Fin เปิดตลอด 24 ชั่วโมง ไม่มีวันหยุด เป็นผู้ช่วยดิจิทัลที่ช่วยเคลียร์งานยุบยิบออนไลน์ โดยกองกำลังผู้อยู่เบื้องหลังงานเหล่านี้ไม่ใช่สมองกลอัจฉริยะที่รู้ทุกข้อมูลทุกเรื่องบนอินเทอร์เน็ต (Artificial Intelligence) หรือมนุษย์เลขาที่ช่ำชองเจนประสบการณ์ทำได้ทุกอย่าง แต่เป็นการประสานงานโดยใช้จุดแข็งของทั้งมนุษย์ ที่มีสัญชาตญาณ เก่งเรื่องการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า เอาใจใส่ และเข้าใจความรู้สึกของมนุษย์ด้วยกันเองเป็นอย่างดี บวกกับสมองกล ที่ชำนาญเรื่องการค้นหาข้อมูล และดึงคำตอบต่างๆ ออกมาจากโลกอินเทอร์เน็ตอย่างรวดเร็ว และระหว่างที่ร่วมงานกันสมองกลก็เรียนรู้งานใหม่ๆ เพิ่มเติมจากมนุษย์ไปด้วย ส่วนมนุษย์เองก็ได้รับข้อมูลใหม่เพิ่มเติมตลอดเวลา เป็นถนนทูเวย์ของแห่งการพัฒนาความรู้ แถมยังไม่พอ Fin ยังเรียนรู้พฤติกรรมของผู้ใช้ หาดีลที่ดีที่สุด ต่อรองราคาสินค้า และทำงานที่ซับซ้อนอย่าง สร้างเว็บไซต์เลยก็ยังได้
ในยุค ‘everything-is-bot’ กำลังเป็นกระแสของโลกอนาคตที่แมชชีนอยู่ทุกที่ Sam Lessin หนึ่งในผู้ก่อตั้ง Fin บอกว่า “ตอนนี้มันเป็นเหมือนกระแสที่บ้าหลุดโลก ‘บอทเป็นทุกอย่าง บอทสุดยอด เป็นผู้ช่วยในทุกเรื่อง’ แต่นั่นห่วยสิ้นดี”
Fin ถูกสร้างขึ้นมาด้วยแรงขับที่จะไม่ ‘ห่วยแตก’ เหมือนผู้ช่วยออนไลน์แบบอื่น (มีคนเปรียบเทียบ Fin เป็น Siri, Echo และ Google Now ต่างกันตรงที่ Fin ทำงานได้จริงๆ) หลังจากบริษัทก่อตั้งมาสองปีและได้รับเงินลงทุนจากนักลงทุนกระเป๋าตุงหลายคน ตอนนี้ Fin เริ่มค่อยๆ เปิดตัวสู่สาธารณะและสื่อมากยิ่งขึ้น
จุดเริ่มต้นของบริษัทผู้ช่วยลูกผสมมนุษย์และ AI นี้เกิดขึ้นกลางปี 2015 เมื่อเพื่อนเก่าสองคน Sam Lessin และ Andrew Kortina รู้สึกเบื่อๆ หลังจากเพิ่งออกจากที่ทำงานเดิม เลยชวนกันเริ่มโปรเจกต์ใหม่ขึ้นมา ด้วยการระดมสมองหาข้อมูลกันบนอินเทอร์เน็ตถึงไอเดียใหม่ๆ และสิ่งที่น่าสนใจ พวกเขาเริ่มรู้สึกว่า “อินเทอร์เน็ตในรูปแบบของเครื่องมือค้นหาข้อมูลนั้นห่วยแตกมาก” และควรจะเป็นได้มากกว่าแค่ศูนย์กลางความบันเทิง การพักผ่อนหย่อนใจ การฆ่าเวลา และสำหรับบริษัทเพื่อสร้างผลประโยชน์เข้ากระเป๋า
ตอนนั้นเองที่ไอเดียของ Fin เริ่มต้นขึ้น พวกเขาทั้งสองคนเลยลองแลกเปลี่ยน to-do lists (ลิสต์ของงานที่ต้องทำ) และดูว่ามีอะไรบ้างที่พวกเขาสามารถทำแทนกันได้ และผลลัพธ์ที่ได้คือมีงานมากมายที่ทั้งคู่ทำให้กันไม่ได้ และนั้นก็เป็นที่มาของสโลแกน Fin ที่ว่า
“Everyone needs an assistant”
(ทุกคนล้วนต้องการผู้ช่วย)
Kortina ให้สัมภาษณ์ว่า “ผมรู้สึกโอเคนะกับการทำงานยิบย่อยน่าเบื่อให้เพื่อน แต่สำหรับชีวิตตัวเองกลับไม่ได้เป็นแบบนั้น ผมอาจจะไม่ไปหาหมอฟันเป็นสิบปีหลังจากจบมหาวิทยาลัย ผมอยู่โดยไม่มีประกันสุขภาพถึงสิบปี คะแนนเครดิตของผมก็ห่วยแตกเพราะมีบิลเก็บเงินบางอันที่ขี้เกียจเกินกว่าจะพยายามหาวิธีไปจ่ายมัน”
คนส่วนมากเป็นแบบนี้ มีงานจุกจิกที่ต้องใช้เวลาในการทำหลายอย่าง ยกตัวอย่างเช่นเมื่อถึงเวลาเลือกประกันรถยนต์ คุณต้องโทรไปหาบริษัทประกันกี่บริษัทเพื่อต่อรองราคา หรือตอนคอมพิวเตอร์เสียต้องเช็กประกันว่ายังมีอยู่ไหม ต้องส่งซ่อมที่ไหน เรียกคนมารับยังไง หรือส่งไปรษณีย์ไปที่ไหน หรือแม้แต่การตามหาร้านอาหารในวันวาเลนไทน์สำหรับคุณและคนรัก จริงอยู่ว่ามันเป็นวันแห่งความโรแมนติกแสนวิเศษ แต่แค่คิดว่าต้องโทรไปร้านอาหารแทบทั้งเมืองเพื่อหาโต๊ะว่าง มันก็เป็นงานที่ใช้พลังงานสูงมากทีเดียว แน่นอนว่าคุณเลือกทำสิ่งเหล่านี้เองได้ทั้งหมด หรือ…ให้ Fin ทำแทน จบ.
โมเดลการทำงาน ‘เงิน แลก เวลา’ เป็นที่คุ้นเคยกันดีอยู่แล้ว ดูตัวอย่างการเรียก Uber ที่รวดเร็วกว่าแท็กซี่หรือรถโดยสารสาธารณะทั่วไป หรือเวลาต้องการไปที่ไหนตอนรีบๆ และไม่มีเวลาวนหาที่จอดรถ ในยุคสมัยแห่งความเร่งรีบแบบนี้ เราชินกับการใช้เงินเพื่อซื้อเวลาและความสะดวกคืน การเรียกใช้ Fin จึงไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อะไร
ในมุมมองหนึ่งมันเหมือนเป็นเครื่องมือที่สะดวกสบายของคนมีเงินแสนขี้เกียจ แต่ในอีกด้านหนึ่งมันก็เป็นผู้ช่วยที่คอยดูแลงานจุกจิกกวนใจ (ที่ส่วนมากแล้วกินเวลานาน) เป็นเครื่องมือช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของเราโดยไม่ต้องมีสิ่งอื่นมากวนใจ เพื่อให้เราไม่ห่วงหน้าพะวงหลัง และโฟกัสกับงานที่สำคัญกว่าของตัวเอง เพราะ Fin ไม่ใช่เพียงแค่การเสิร์ชหาข้อมูล แต่มันคือการโยกงานทั้งหมดออกไปให้คนอื่นแบบทันที โดยที่เราแน่ใจได้ว่าจะมี ‘ใครสักคน’ จัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย โดยถึงแม้ว่าเราจะทำได้เร็วกว่า Fin และทำได้โดยไม่ต้องเสียเงิน แต่การดูงานสลับไปมาตลอดทำให้โฟกัสการทำงานพังเละเทะ และสุดท้ายอาจจะจบไม่สวยงามสักอย่าง ถ้าใครที่เซียนเรื่องการ multitasking ก็อาจจะไม่ได้สนใจเรื่องนี้ แต่สำหรับหลายคน (ผมเป็นหนึ่งในนั้น) การเข้าสู่ flow state หรือ in-the-zone การทำงานนั้นยากมาก และการหลุดโฟกัสนั้นง่ายพอๆ กับเอาน่องไก่ทอดล่อหมาข้างถนน
Fin ไม่ใช่เจ้าเดียวในตลาดสตาร์ทอัพของ ‘ผู้ช่วยส่วนตัว’ ที่พยายามช่วยลูกค้าประหยัดเวลา แต่หลายบริษัทที่ผ่านมานั้นตกม้าตายกันเยอะเพราะพึ่งพาคอมพิวเตอร์และโปรแกรมที่เขียนเพื่อตอบคำถามทุกอย่าง Lessin บอกว่า “ความผิดพลาดที่ผ่านมาคือเรามอง machine learning แล้วคิดว่ามันเข้าใกล้สิ่งที่เรียกว่า general intelligence (สมองกลที่สามารถทำได้ทุกอย่าง) การทดแทนมนุษย์ทั้งหมดนั้นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ อนาคตมนุษย์ก็ยังคงต้องช่วยเหลือมนุษย์อยู่”
คู่แข่งที่ใช้แค่แมชชีน AI จะมีขีดจำกัดของงานที่ค่อนข้างแคบ อย่างเช่น x.ai ที่มีหน้าที่ในการนัดประชุม ผู้ช่วยเสมือนในรูปแบบเดิมก็ทำงานได้ไม่เพียงพอ มี Facebook M Assistant ที่ใช้เทคนิคเดียวกัน ใช้มนุษย์และ AI ทำงานแต่ก็ยังไม่เปิดให้ใช้ได้ทั่วไป มี GoButler ที่มีบริการคล้ายคลึงกับ Fin แต่สุดท้ายก็ถูกหั่นแบ่งขายให้ Amazon โดยตอนนี้คู่แข่งโดยตรงรายเดียวของ Fin คือบริษัทที่เรียกว่า Magic ซึ่งค่าบริการถูกกว่า ($0.59/นาที) แต่รับออเดอร์ได้จากเมสเซจเพียงอย่างเดียว (ของ Fin สามารถพิมพ์หรือพูดก็ได้)
แต่ช้าก่อน แล้วเทรนด์ที่ AI จะทดแทนงานของมนุษย์ทุกคนหล่ะ หายไปไหน? มันไม่ได้หายไปหรอกครับ AI ยังคงมีการพัฒนาต่อไป แน่นอนว่ามีงานหลายอย่างที่สามารถทดแทนได้ด้วยแมชชีนล้วนๆ แต่ในขณะเดียวกันก็มีอีกหลายงานที่จะต้องเป็นการทำงานร่วมกันระหว่างสองฝ่าย ให้นึกถึง AI ว่าเป็นเพียงเครื่องมือช่วยให้เราทำงานได้ดีขึ้นแบบนั้นมากกว่า
Fin พยายามผสมผสานระหว่างเครื่องมือที่ดีที่สุด (ซึ่งในเวลานี้ก็คือ AI) กับมนุษย์เพื่อให้บริการที่ดีเยี่ยม มากกว่าที่จะหาได้จากมนุษย์เพียงหนึ่งคนหรือซอฟต์แวร์เพียงชิ้นเดียว ซึ่งนี่ก็เป็นที่มาของชื่อบริษัท Fin ที่แปลว่า ‘The End’ (จบสมบูรณ์) ในภาษาฝรั่งเศส และพวกเขายังเชื่ออีกว่านี่จะเป็นรูปแบบของการทำงานในอีกหลายทศวรรษข้างหน้า การทำงานแบบทีมของ ‘แมชชีน-มนุษย์’
Fin อาจจะไม่ใช่บริการสำหรับทุกคน ในราคาที่เรียกว่าพรีเมี่ยมคุณต้องมีความจำเป็น มีเหตุผล และมีกำลังทรัพย์มากพอที่จะเรียกใช้บริการแบบนี้ (ไม่ใช่แค่หาข้อมูลบนกูเกิลหรือจับเวลาต้มไข่ทำอาหาร) ไม่ว่าจะเป็นความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีหรือการแข่งขันของตลาดก็ตาม ในอนาคตเราอาจจะได้เห็นราคาของบริการเหล่านี้ลดลงจากตอนนี้บ้างก็ได้
ในยุคที่เทคโนโลยีถูกสร้างขึ้นมาเพื่อดึงดูดเวลาของผู้ใช้ให้มากที่สุด Fin เพิ่มทางเลือกให้คุณซื้อมันกลับมาได้บ้าง แต่ทุกคนก็ต้องตัดสินใจด้วยตัวเองว่ามันมีค่ามากแค่ไหน และเราพร้อมจะจ่ายซื้อเวลาคืนมาในราคาเท่าไหร่
ถ้าลองคำนวณจากงานที่เขียนนี้แล้ว ผมใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่งเพื่อจบงาน ซึ่ง Fin อาจจะทำได้เร็ว/ช้ากว่านี้ แต่ถ้าให้ยึดเอาตรงนี้เป็นฐาน ผมจะต้องเสียค่าบริการประมาณ 90 ดอลลาร์ หรือประมาณ 3,000 บาท…เอาไว้โอกาสหน้านะ Fin