ภายใต้สถานการณ์ COVID-19 ปรากฏชัดเจนว่าการศึกษาในระดับมหาวิทยาลัยกำลังมีปัญหาอย่างรุนแรง
เมื่อเศรษฐกิจถดถอย ผู้คนสูญเสียงาน สูญเสียรายได้ รายจ่ายที่ไม่มีความจำเป็นก็จะถูกตัดทิ้งไปก่อน และสำหรับกลุ่มผู้ที่มีรายได้น้อย การศึกษาระดับมหาวิทยาลัยจึงกลายเป็นสิ่งฟุ่มเฟือย นักเรียนในระดับมัธยมศึกษาปีที่ 6 ส่วนหนึ่งจำเป็นต้องตัดสินใจชะลอการเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัย นักศึกษาที่เรียนอยู่จำนวนไม่น้อยต้องดร็อปจากการเรียนเพื่อหารายได้เสริม เมื่อครอบครัวสูญเสียรายได้หลักในวิกฤติที่ยาวนานกว่า 18 เดือน การปรับสู่การเรียนแบบออนไลน์เป็นการเพิ่มค่าใช้จ่ายส่วนตัวของนักศึกษา และกระหน่ำด้วยค่าเทอมที่กลายเป็นภาระหนักอึ้งในช่วงวิกฤติ
การศึกษาระดับมหาวิทยาลัยมักเป็นที่เข้าใจว่าเป็นหนทางที่ทำให้ผู้คนสามารถยกระดับทางชนชั้นได้ แต่ว่ามหาวิทยาลัยไทยในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจถดถอยอาจทำหน้าที่ตรงกันข้าม เมื่อความฝันในการศึกษาต่อกลายเป็นสิ่งฟุ่มเฟือย มหาวิทยาลัยก็กลายเป็นเพียงแค่น้ำมนต์ที่ทำให้ความเหลื่อมล้ำนั้นศักดิ์สิทธิ์และชอบธรรมต่อไป
ขบวนการเรียกร้องคืนค่าเทอมของนักศึกษาจึงไม่ใช่เรื่องใหม่ เมื่อปี พ.ศ.2563 การเรียกร้องการคืนค่าเทอมเริ่มต้นตั้งแต่ช่วงต้นปี หรือระลอกแรกของโรคระบาด และทุกระลอกก็จะมีขบวนการเรียกร้องเพื่อคืนค่าเทอมอยู่ตลอดเวลา ส่วนหนึ่งที่ผลักดันให้เกิดขบวนการเคลื่อนไหวของคนรุ่นใหม่ในปี พ.ศ.2563
ด้านหนึ่งก็เป็นปัญหาความเหลื่อมล้ำที่เกิดจากการศึกษาที่ขยายออกในช่วงวิกฤติการเมือง แต่แทบทุกครั้งมหาวิทยาลัยตอบสนองอย่าง ‘น้อย’ และ ‘ล่าช้า’ ส่วนมากแล้วมหาวิทยาลัยจะใช้วิธีการเลี่ยงบาลีด้วยการคืน ‘เฉพาะค่าหน่วยกิต’ ซึ่งไม่ใช่ค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่นักศึกษาได้จ่ายไป และหลายมหาวิทยาลัยก็คืนค่าเทอม 10–20 เปอร์เซ็นต์ของค่าเทอม ซึ่งเมื่อเทียบแล้วก็เป็นเพียงหลักพันบาทซึ่งไม่เพียงพอต่อการที่จะทำให้นักศึกษาสามารถรักษาโอกาสในการเรียนของตนไว้ได้ เมื่อวนไปถึงช่วงการจ่ายค่าเทอมอีกครั้ง และบรรยากาศของการต้องเรียนออนไลน์ต่อไปอีกครึ่งปีเป็นอย่างน้อย ความไม่พอใจในหมู่คนรุ่นใหม่ก็เพิ่มทวีคูณอีกครั้ง
คำถามสำคัญคือ มหาวิทยาลัยสร้างความเท่าเทียมหรือเพิ่มความเหลื่อมล้ำ?
รายงาน ในปี พ.ศ.2559 จาก Quacquarelli Symonds (QS) สถาบันประเมินคุณภาพการศึกษาระดับนานาชาติ ได้เผยแพร่บทความซึ่งส่งผลต่อการทำความเข้าใจความเหลื่อมล้ำในการศึกษาระดับสูงว่า “หรือแท้จริงการศึกษาในระดับมหาวิทยาลัยสร้างความเหลื่อมล้ำ” รายงานระบุว่า ในสหรัฐอเมริกาคนผิวขาวมีโอกาสที่จะได้เรียนในมหาวิทยาลัยระดับรัฐสูงกว่าคนอเมริกันเชื้อสายแอฟริกันและสเปน แม้จะได้รับเกรดเฉลี่ยเกิน 3.5 เหมือนกัน ในอินเดียผู้หญิงมีโอกาสในการเรียนมหาวิทยาลัยน้อยกว่าผู้ชายถึงสามเท่า เหตุผลหลักคือเรื่องทางสังคมและเศรษฐกิจ ค่าเทอมโดยเฉลี่ยของอินเดียอบู่ที่ประมาณ 4,000 บาท/ปี (แต่หลักสูตรวิชาชีพอาจมีค่าใช้จ่ายสูงถึง 25,000 บาท/ปี) สวนทางกับรายได้ของประชากรวัยทำงานในอินเดียกว่าครึ่งที่น้อยกว่า 2,500 บาท/เดือน
การศึกษามหาวิทยาลัยเป็นเรื่องไกลตัวสำหรับคนส่วนใหญ่ แม้จีนจะมีผลประเมินการศึกษาที่ดีเลิศระดับนานาชาติ แต่ประชากรชนบทในจีนมีโอกาสได้เรียนมหาวิทยาลัยเพียง 5 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น
ในประเทศไทย สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมรายงานความยากจนและความเหลื่อมล้ำในฐานข้อมูล ปี พ.ศ.2561 ได้ระบุว่า คนไทยได้เรียนมหาวิทยาลัยประมาณครึ่งหนึ่งของผู้สำเร็จการศึกษาระดับมัธยมปลาย หรือประมาณ 26 เปอร์เซ็นต์ของรุ่นเท่านั้น โดยมีเพียง 4 เปอร์เซ็นต์ของประชากรกลุ่มยากจนที่ได้เรียนต่อมหาวิทยาลัย
แม้ประเทศต่างๆ จะมีเงื่อนไขเศรษฐกิจ การเมือง วัฒนธรรมต่างกันแต่มีจุดร่วมสำคัญคือความเหลื่อมล้ำในการศึกษาต่อในมหาวิทยาลัย กลายเป็นตัวค้ำยันความเหลื่อมล้ำด้านอื่นๆ ตามมา
ทั้งหมดข้างต้นนี้นี้คือก่อนสถานการณ์ COVID-19 ซึ่งแน่นอนว่าในช่วง 18 เดือนที่ผ่านมา สถานการณ์นั้นรุนแรงมากขึ้น
บัณฑิตจบใหม่ในประเทศไทย อาจว่างงานสูงถึง 1.4 แสนคน ในสหรัฐอเมริกา Pellinstitute ได้รายงานว่าเมื่อภาคการศึกษาในปี ค.ศ.2021 มาถึง นักศึกษาที่วางแผนจะหยุดเรียนมีโอกาสสูงที่จะไม่ได้กลับมาเรียนมหาวิทยาลัยอีกเลยในชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มรายได้น้อยที่พ่อแม่ไม่ได้สำเร็จการศึกษาในระดับมหาวิทยาลัยมาก่อน เมื่อพักการศึกษาก็มีโอกาสสำเร็จการศึกษาเพียงแค่ร้อยละ 21 เท่านั้น และเมื่อเศรษฐกิจถดถอย ปรากฏการณ์ที่น่ากลัวอย่างยิ่งสำหรับคนรุ่นใหม่ คือ พวกเขาจะไม่ได้อยู่กับสิ่งนี้เป็นการชั่วคราว พวกเขาเสียโอกาสที่จะคิดฝันถึงสังคมที่ดีกว่า ได้ทำงานที่ตรงกับความถนัดและความชอบ เมื่อพวกเขาถูกบังคับให้ทิ้งสิ่งเหล่านี้ มันคือแผลเป็นที่อาจจะอยู่ยาวนานทั้งชีวิต
ไม่นานมานี้นักศึกษาท่านหนึ่งที่ผมมีโอกาสสอนได้แชร์ข้อมูลยอดหนี้กองทุนกู้ยืมเพื่อการศึกษา ตัวเลขสองแสนกว่าบาทในวัย 25 ปี มันหนักหน่วงอย่างมากในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจถดถอย เพราะนั่นหมายความว่าเขากำลังเริ่มต้นด้วยชีวิตติดลบ ในสถานการณ์ประเทศและโลกที่ติดลบ—และน่าคิดว่าไม่ใช่เขาแค่คนเดียว—ขณะนี้กำลังมีคนรุ่นเดียวกันและรุ่นน้องอีกนับแสนคนที่เผชิญเงื่อนไขที่ยากลำบากนี้
ปัญหาสำคัญคือผู้มีอำนาจในสังคมไม่เคยมองว่าการศึกษาในระดับมหาวิทยาลัยควรเป็นสิทธิพื้นฐานของประชาชนทุกคน เมื่อการเรียนระดับอุดมศึกษาถูกจัดวางว่า ‘การศึกษาระดับสูง’ เป็นสิ่งหรูหรามากกว่าสิทธิพื้นฐาน เป็นเรื่องการลงทุนของปัจเจกชน สุดท้ายจึงวนสู่การรับผิดชอบของแต่ละคน และกลายเป็นเครื่องมือในการส่งต่อความเหลื่อมล้ำในสถานการณ์โรคระบาด คำถามสำคัญคือ เราสามารถใช้โอกาสนี้ในการผลักดันจินตนาการใหม่ว่าด้วยการศึกษามหาวิทยาลัยที่ไม่มีค่าใช้จ่ายทำได้หรือไม่
สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งมหัศจรรย์เหมือนไปดาวอังคาร เพราะมีหลายประเทศในโลกนี้ที่มหาวิทยาลัยฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย (หรือน้อยมากโดยเปรียบเทียบ) พร้อมกับเงินเดือน ไม่เกี่ยวว่าเป็นประเทศเกษตรกรรมหรือประเทศอุตสาหกรรม ประเทศที่มีประชากรน้อยหรือประชากรมหาศาล ไม่เกี่ยวว่าคนอยากเรียนมหาวิทยาลัยมากหรือน้อย แต่สำคัญที่เรามองว่าสิ่งเหล่านี้สามารถเป็นสิทธิพื้นฐาน เมื่อเปรียบเทียบสหรัฐอเมริกาที่การศึกษาเป็นสินค้าอย่างมาก คนจากครอบครัวที่จบมหาวิทยาลัยมีโอกาสได้เรียนมหาวิทยาลัยสูงกว่าครอบครัวที่พ่อแม่ไม่จบมหาวิทยาลัยถึง 6.8 เท่า แต่ในฟินแลนด์ซึ่งการศึกษาฟรีไม่มีค่าใช้จ่ายนั้น ความแตกต่างลดลงเหลือเพียงแค่ 1.4 เท่า เท่านั้น ฟินแลนด์ที่ขนาดเศรษฐกิจเล็กกว่าสหรัฐอเมริกาหลายเท่า แต่เลือกจะยืนยันสิทธิพื้นฐานของประชาชน คือการยืนยันว่าเราเชื่อในความเสมอภาคหรือไม่
หากเราปรับเปลี่ยนให้กองทุนกู้ยืมเพื่อการศึกษาซึ่งเป็นกองทุนหมุนเวียน สู่การเป็นหน่วยงานเพื่อสร้างความเสมอภาคทางการศึกษาอย่างเท่าเทียมให้กับนักศึกษาในระบบการศึกษาอุดมศึกษาราวสองล้านคน หากรัฐบาลสามารถกำหนดค่ากลางของค่าใช้จ่ายการศึกษา เช่นเดียวกับที่เราสามารถทำสำเร็จได้ในระบบการรักษาพยาบาล เราจะใช้งบประมาณเพียง 200,00 ล้านบาท/ปี หรือราว 6 เปอร์เซ็นต์ของงบประมาณรายจ่ายประจำปีเท่านั้น จะสามารถทำให้การศึกษาฟรี พร้อมมีเงินเดือนสำหรับนักศึกษาทุกคน การปรับเปลี่ยนส่วนนี้ทำได้สองแบบ คือการที่รัฐสร้างระบบการศึกษาฟรีผ่านการปฏิรูป กยศ. หรืออีกด้านคือการคงระบบการกู้ที่รัฐบาลเป็นนายประกันต่อการกู้ ที่มีหน้าที่ใช้คืนผ่านกลไกทางภาษีเมื่อประชาชนทำงานและเสียคืนต่อรัฐ แต่ทั้งหมดนี้ไม่ใช่หน้าที่ของประชาชนที่ต้องแบกรับความกังวลนี้
ผู้เขียนมีโอกาสรวบรวมสถิติของแต่ละประเทศถึงการเลื่อนลำดับชั้นระหว่างรุ่น หากรุ่นพ่อรุ่นแม่ยากจน รุ่นลูกมีโอกาสปรับเปลี่ยนสถานะทางสังคมได้เพียงใด (อ่านเพิ่มเติมที่ วารสารสิทธิมนุษยชนและสันติศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล)
โดยสรุปแล้วการมีชีวิตที่ดีขึ้นเกี่ยวข้องกับความเก่งของแต่ละคน ว่าตั้งใจเรียนหนังสือ สอบเข้าไหม ได้เกรดเฉลี่ยเท่าไร ทั้งหมดมันล้วนเกี่ยวกับระบบสวัสดิการของประเทศต่างๆ ยิ่งสวัสดิการดี คนก็ยิ่งสามารถเลือกแบบแผนของชีวิตตัวเองได้มากขึ้น ไม่ถูกกำหนดโดยชาติกำเนิดของพ่อแม่ ประเทศที่สวัสดิการแย่คนรวยก็จะสามารถรักษาสถานะของตัวเอง คนรายได้น้อยก็ถูกกักขังด้วยชาติกำเนิดต่อไป
ในสภาพวิกฤติของโรคระบาดที่ยาวนานและสิ้นหวังนี้ ถึงเวลาที่เราจำเป็นต้องยืนยันความฝันและสิทธิของคนหนุ่มสาว การสร้างการศึกษาที่ฟรีในระดับมหาวิทยลัยเป็นสิ่งที่เป็นไปได้และควรเป็น
Illustration by Kodchakorn Thammachart