เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมามีข่าวฮือฮาในโลกศิลปะ เมื่อผลงานของ แบงก์ซี (Banksy) ถูกบริษัทธุรกิจดิจิทัล Blockchain ประมูลไป และทำการเผาจนไม่เหลือซาก โดยถ่ายทอดสดการเผางานศิลปะทางแอคเคาท์ทวิตเตอร์ชื่อ BurntBansky ให้เห็นกันจะจะ
พวกเขากล่าวว่าเหตุผลที่พวกเขาทำเช่นนี้ ก็เพราะผลงานชิ้นนี้ถูกนำไปเข้ารหัสและเก็บรักษาเป็นข้อมูลดิจิทัลในระบบเทคโนโลยีที่เรียกว่า NFT (Non-Fungible Tokens) หรือการแปรเปลี่ยนผลงานศิลปะให้กลายเป็นสินทรัพย์ดิจิทัลที่ถูกเข้ารหัสให้มีลักษณะเฉพาะตัวจนไม่สามารถถูกทำซ้ำหรือคัดลอกได้ ทำให้ผลงานชิ้นนั้นกลายเป็นผลงานชิ้นเดียวในโลก ไม่ต้องกังวลในเรื่องการถูกปลอมแปลงผลงานหรือละเมิดลิขสิทธิ์ และผลงานศิลปะที่อยู่ในระบบดิจิทัล หรือที่เรียกกันว่า Crypto Art ที่ว่านี้ก็สามารถคงอยู่ได้อย่างยาวนานโดยไม่เสื่อมสลายเหมือนงานศิลปะในโลกแห่งความเป็นจริง ดังนั้นผลงานต้นฉบับที่เป็นวัตถุที่จับต้องได้จึงไม่ใช่สิ่งที่จำเป็นอีกต่อไป (ก็เลยเผาทิ้งแม่มเลย!)

ผลงานของแบงก์ซีที่ถูกเผาถ่ายทอดสดทางทวิตเตอร์ที่ใช้ชื่อว่า BurntBansky ภาพจาก https://www.dazeddigital.com/science-tech/article/52116/1/a-95k-banksy-artwork-has-been-set-on-fire-and-turned-into-an-nft
ไม่เพียงแต่การเผาผลงานของแบงก์ซี แต่กระแส NFT เป็นที่ฮือฮาในวงการศิลปะและวงการสร้างสรรค์ในแขนงต่างๆ ศิลปินมากหน้าหลายตาต่างเฮโลเข้าไปขายผลงานในรูปแบบ NFT และ Crypto Art กันถ้วนหน้า ไม่เว้นแม้แต่ในวงการดนตรี, ภาพยนตร์ หรือวงการเกมด้วยแต่ในตอนนี้เราไม่ได้จะกล่าวถึง NFT หรือ Crypto Art แต่อย่างใด (อ้าว!) เพราะตัวผมเองก็ยังไม่ค่อยเข้าใจระบบของมันสักเท่าไหร่ เขียนมากไปเดี๋ยวจะขายหน้าเสียเปล่าๆ ในคราวนี้เลยจะขอเล่าถึงงานศิลปะที่มีลักษณะที่ใกล้เคียงกับอะไรเทือกนี้แทนก็แล้วกันความจริงในประวัติศาสตร์ศิลปะที่ผ่านมา มีรูปแบบของการทำงานศิลปะที่ไม่ให้ความสำคัญกับตัวงานศิลปะที่เป็นวัตถุที่จับต้องได้อยู่ งานศิลปะประเภทนั้นมีชื่อว่า ‘คอนเซ็ปต์ชวลอาร์ต’ (Conceptual art)ด้วยความที่คอนเซ็ปต์ชวลอาร์ต เป็นกระแสเคลื่อนไหวทางศิลปะที่ให้ความสำคัญกับความคิด มากกว่าสุนทรียะและความงาม หรือแม้แต่รูปแบบหรือองค์ประกอบทางสายตาของงานศิลปะ และปฏิเสธแนวทางและขนบธรรมเนียมเดิมๆ ของศิลปะอย่างสิ้นเชิง พวกเขามองว่าความคิดนั้นเป็นสิ่งที่จำเป็นที่สุดและพอเพียงแล้วสำหรับศิลปะ ส่วนสิ่งอื่นอย่างความงาม สุนทรียะ ทักษะ ฝีมือของศิลปิน การแสดงออกทางอารมณ์ หรือแม้แต่มูลค่าทางการตลาด เป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นเลยแม้แต่น้อย ด้วยเหตุนี้เองที่ทำให้คนส่วนใหญ่อาจมองว่าคอนเซ็ปต์ชวลอาร์ต ‘ไม่ใช่ศิลปะ’ เลยด้วยซ้ำไป ยิ่งไปกว่านั้นสำหรับคอนเซ็ปต์ชวลอาร์ต การทำงานศิลปะไม่จำเป็นต้องเป็นการสร้างสรรค์เสมอไป การทำลายก็สามารถเป็นศิลปะได้เหมือนกัน

จอห์น บัลเดสซารี: The Cremation Project (1970) ภาพจาก https://www.wikiart.org/…/the-cremation-project-1970

โรเบิร์ต เราเชนเบิร์ก: Erased de Kooning Drawing (1953) ภาพจาก http://nasjonalmuseet.no

ทีมงานของกลุ่ม MSCHF ขณะกำลังค่อยๆ บรรจงตัดแยกภาพพิมพ์จุดสีของ เดเมียน เฮิร์สต์ ออกมาทีละจุด, ภาพจาก https://severedspots.com/#purchase-details

โจเซฟ โคซุธ: One and Three Chairs (1965) ภาพจาก https://goo.gl/o4WaV2
ดังตัวอย่างเช่นผลงาน Buried Cube Containing an Object of Importance but Little Value (1968) ของ โซล เลวิตต์ ที่ประกอบกิจกรรมทางศิลปะด้วยการฝังกล่องสี่เหลี่ยมลูกบาศก์ที่สวนในชนบทแห่งหนึ่ง กิจกรรมนี้ทำขึ้นโดยที่ไม่มีผู้ชมร่วมรู้เห็น ไม่มีใครรู้ด้วยซ้ำว่ามีอะไรอยู่ในกล่อง มีเพียงภาพถ่ายเป็นหลักฐานว่าเขาประกอบกิจกรรมครั้งนี้ขึ้นเท่านั้นกิจกรรมทางศิลปะครั้งนี้ของเขาทำขึ้นภายใต้แนวคิดที่ปฏิเสธค่านิยมที่ศิลปินเป็นผู้มีอำนาจสั่งการและเป็นผู้ควบคุมอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดต่องานศิลปะ ด้วยกิจกรรมทางศิลปะครั้งนี้ เขาปลดเปลื้องตัวเองเป็นอิสระจากผลงาน ซึ่งสอดคล้องกับทฤษฎีความตายของประพันธกร (Death of the Author) ของนักปรัชญาชาวฝรั่งเศส โรลอง บาร์ตส (Roland Barthes) ดังที่ปรากฏในคำกล่าวของเลวิตต์ ที่ว่า”เมื่อศิลปินทำผลงานเสร็จและนำออกสู่สาธารณะแล้ว พวกเขาก็ไม่มีอำนาจที่จะควบคุมหรือบงการการรับรู้ของผู้ชมได้อีกต่อไป เพราะคนแต่ละคนก็จะมีความรับรู้และความเข้าใจต่อผลงานชิ้นนั้นๆ ในรูปแบบที่แตกต่างกันออกไป”ตัวอย่างอันเด่นชัดของการปฏิเสธอำนาจและความเป็นผู้สร้างสรรค์แต่เพียงผู้เดียวของศิลปินในผลงานของโซล เลวิตต์ ปรากฏชัดเจนในผลงานหลายชิ้นที่ทำขึ้นหลังจากเขาเสียชีวิตไปแล้ว ซึ่งแม้จะขึ้นชื่อว่าเป็นผลงานของเขา แต่เขาก็ไม่ได้เป็นผู้ลงมือทำขึ้นมาเองที่เป็นเช่นนั้น เพราะหลังจากที่ โซล เลวิตต์ เสียชีวิตลงในปี 2007 ผลงานภาพร่างความคิดสำหรับงานประติมากรรมและจิตรกรรมหลายต่อหลายชิ้นของเขาที่ยังไม่เคยมีใครเห็น ก็มีทีมงาน ผู้ช่วย หรือแม้แต่ศิลปินรุ่นหลัง สร้างสรรค์ออกมาใหม่ได้เรื่อยๆ แม้ว่าเจ้าตัวจะไม่อยู่ในโลกนี้แล้วก็ตามหรือ do it โครงการศิลปะแบบ DIY ที่ริเริ่มโดยภัณฑารักษ์ชาวสวิส ฮานส์-อุลริช โอบริสต์ (Hans Ulrich Obrist) กับศิลปินชาวฝรั่งเศส คริสเตียง โบลตองสกี้ (Christian Boltanski) และ แบร์กตง ลาเวียร์ (Bertrand Lavier) โดยขอให้เหล่าบรรดาศิลปินมากหน้าหลายตา สร้างคู่มือแนะนำการทำงานศิลปะสำหรับให้ผู้ชมทำงานศิลปะขึ้นมาด้วยตัวเอง และบรรจุลงในหนังสือส่งไปหลายประเทศทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยด้วยด้วยการให้ความสำคัญกับความคิดมากกว่าตัวงานที่เป็นวัตถุนี่เอง ที่ทำให้ผลงานของศิลปินคอนเซ็ปต์ชวลบางคนดูเหมือนทำไม่เสร็จ นั่นเพราะพวกเขาไม่มุ่งเน้นที่ความเสร็จสมบูรณ์แบบของตัวงาน หากแต่แสวงหาความเป็นไปได้อันไม่รู้จบทางความคิดมากกว่า ศิลปินคอนเซ็ปชวลบางคนถึงกับประกาศว่าจะหยุดทำผลงานศิลปะออกมาเป็นชิ้นเป็นอัน เพราะเขาคิดว่า เมื่องานศิลปะได้ถูกสร้างในความคิดไปแล้ว ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องสร้างมันออกมาจริงๆ อีกต่อไป เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว การเผางานก็อาจไม่ใช่สิ่งที่จำเป็นด้วยซ้ำไป เพราะในเมื่อไม่มีตัวงานถูกทำออกมาตั้งแต่แรก แล้วเราจะเผาอะไรอีก?ยิ่งไปกว่านั้น ความคิดเองก็เป็นสิ่งที่สามารถคงอยู่ได้อย่างยาวนานโดยไม่เสื่อมสลายไปเช่นเดียวกัน เผลอๆ จะยาวนานกว่าข้อมูลดิจิทัลด้วยซ้ำไป ยกตัวอย่างเช่นแนวความคิดทางปรัชญาหรือศาสนาที่ยังคงสืบทอดต่อมาถึงปัจจุบันถึงแม้เวลาจะผ่านไปหลายพันปีก็ตามในทางกลับกัน สิ่งที่แตกต่างกันระหว่าง NFT หรือ Crypto Art คือแนวคิดเกี่ยวกับการเผยแพร่ผลงาน เพราะในขณะที่ NFT มุ่งเน้นในการทำให้งานศิลปะกลายเป็นข้อมูลดิจิทัลที่ถูกเข้ารหัสเพื่อให้ผลงานนั้นกลายเป็นผลงานชิ้นเดียวในโลกที่ไม่สามารถถูกทำซ้ำหรือคัดลอกได้เพื่อผลประโยชน์ทางธุรกิจและมูลค่าทางการตลาด ในขณะเดียวกัน ศิลปินคอนเซ็ปชวลอาร์ตโดยส่วนใหญ่กลับไม่ค่อยแยแสธุรกิจ (ถึงแม้ผลงานบางคนจะถูกนำไปประมูลขายในราคามหาศาลก็ตามที) และมุ่งเน้นในการเผยแพร่ผลงานให้คนส่วนใหญ่สามารถเข้าถึงได้โดยทั่วกัน
ยกตัวอย่างเช่นผลงานของ อราม บาร์ธอลล์ (Aram Bartholl) คือศิลปินคอนเซ็ปต์ชวลชาวเยอรมัน ผู้เป็นที่รู้จักจากการสำรวจความสัมพันธ์ระหว่างโลกดิจิทัลกับโลกกายภาพได้อย่างลุ่มลึกและท้าทายอย่าง Dead Drops (2010) ที่เขาสร้างเครือข่ายแชร์ไฟล์อย่างเสรี ด้วยการใช้แท่ง USB ฝังไว้ตามพื้นที่สาธารณะให้คนเอาโน๊ตบุ๊กมาดาวน์โหลดไฟล์ผลงานของเขาไปได้ตามใจชอบ โครงการนี้ขยายตัวจากนิวยอร์กไปทั่วโลก ทั้งแอฟริกาใต้, กาน่า, เยอรมนี, อิหร่าน และรัสเซีย และยังคงถูกทำต่อเนื่องจนถึงทุกวันนี้
แนวคิดของโครงการนี้ขยายตัวไปเป็นงานศิลปะจัดวาง DVD Dead Drop (2012) ที่เขาเอาเครื่องไรท์แผ่นดีวีดีซ่อนไว้ในผนังด้านนอกของพิพิธภัณฑ์ Museum of the Moving Image ในนิวยอร์ก ให้คนที่พบเห็น เอาแผ่นดีวีดีเปล่ามาเสียบเพื่อไรท์เอาข้อมูล, ภาพนิทรรศการศิลปะดิจิทัล, สื่อและเนื้อหาหรือผลงานศิลปะต่างๆ ที่เขาคัดสรรกลับไปได้อย่างเสรีทั้งวันทั้งคืนตลอด 24 ชั่วโมง
DVD Dead Drop (2012) ภาพจาก Creative Commons by-nc-sa. Data Privacy. Aram Bartholl 2018

ฮิโต สไตเยิร์ล: Actual RealityOS (2019) ภาพจาก http://ivaylogetov.com/aros
ท้ายที่สุด ในความเข้าใจของผม ศิลปะคือเครื่องมือในการสื่อสารไม่ต่างกับภาษา เพราะฉะนั้น ไม่ว่ามันจะถูกทำลงบนสื่อแบบไหน จะเป็นการวาดสีจากเปลือกไม้บนผนังถ้ำ เขียนหมึกลงบนหนังสัตว์ วาดสีน้ำบนกระดาษ และสีน้ำมันผืนผ้าใบ หรือถูกแปลงเป็นไฟล์ดิจิทัลอัพโหลดข้อมูลขึ้นไปบนโลกออนไลน์และไซเบอร์สเปซ สิ่งที่สำคัญที่สุดก็ยังคงเป็น ‘สาร’ ที่ถูกส่งผ่านมาถึงผู้ชมอยู่ดี.
ข้อมูลtheartstory.orgen.wikipedia.orgtheartstory.orgบทสัมภาษณ์ศิลปิน อราม บาร์ธอลล์ โดย ภาณุ บุญพิพัฒนาพงศ์arambartholl.comen.wikipedia.orgหนังสือ ART IS ART, ART IS NOT ART อะไร (แม่ง) ก็เป็นศิลปะ, INSIDE ART, OUTSIDE ART ข้างนอก ข้างใน อะไร (แม่ง) ก็ศิลปะ ผู้เขียน: ภาณุ บุญพิพัฒนาพงศ์, สำนักพิมพ์: Salmon Books