เมื่อมองย้อนกลับไปดูประวัติศาสตร์มนุษย์ ตั้งแต่การล่าแม่มด การรุมประชาทัณฑ์คนเสนอแนวคิดใหม่ที่แหวกแนวและแตกต่าง การสนทนาเกี่ยวกับบุคคล ศิลปะ และการเมืองในหมู่เพื่อน จนถึงล่าสุดอย่างการพิมพ์คอมเมนต์วิพากษ์วิจารณ์เรื่อง เหตุการณ์ ประเด็น กับบุคคล ด้วยคีย์บอร์ด ก็สามารถบ่งบอกได้ชัดเจนว่าสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่ามนุษย์มีความสามารถในการ ‘ตัดสิน’ ติดตัวมาตั้งแต่กำเนิด
ตัดสินว่าดีชั่วถูกผิด ตัดสินว่าชอบไม่ชอบ ตัดสินว่าเหมาะหรือไม่ควร บางการตัดสินเกิดขึ้นภายในจิตใจ และหลายคำตัดสินเกิดขึ้นจากการกระทำและการเปล่งวาจา โดยที่ไม่ต้องเรียนจบกฎหมายหรือเป็นผู้พิพากษา
แต่ไม่มีการตัดสินไหนน่ากลัวเท่ากับการตัดสินด้วย ‘ความเชื่อ’ ‘ความศรัทธา’ และการตัดสินที่มาจาก ‘การตีความ’ อีกแล้ว และนั่นคือประเด็นขบคิดที่ซีรีส์ที่ขึ้นอันดับ 1 ใน Netflix ประเทศไทยอย่าง ‘Hellbound ทัณฑ์นรก’ นำเสนอ ผ่านเรื่องราวที่ขุดลึกให้เห็นถึงธรรมชาติของมนุษย์ กับขุดอาสัญชาตญาณดิบมาตีแผ่ว่าลึกๆแล้ว ทุกคนชอบตัดสินแค่ไหน
(เนื้อหาต่อไปนี้เปิดเผยรายละเอียดสำคัญซีรีส์ Hellbound)
Hellbound ทัณฑ์นรก เป็นซีรีส์ 6 อีพีจบ (รึเปล่านะ?) ของ Netflix ที่ดัดแปลงมาจากเว็บตูนชื่อดังของเกาหลี ที่อำนวยการสร้างโดย ยอน ซังโฮ ผู้กำกับชาวเกาหลีใต้ผู้เคยสร้างผลงานอันเลื่องลืออย่าง Train to Busan และภาคต่ออย่าง Peninsula ซึ่งต้องบอกว่าหลังจากความผิดหวังของคนดูที่ชอบภาคแรกหลังจากได้ดูภาคหลัง ซีรีส์ Hellbound ดูจะเป็นการแก้มือที่สมศักดิ์ศรีเลยทีเดียว
เรื่องราวของ Hellbound จะเกี่ยวกับการที่จู่ๆ มีสัตว์ประหลาดตัวใหญ่ๆ หนาๆ สีดำ 3 ตัว โผล่มาพร้อมกับควันดำและความรุนแรง หลังจากที่มนุษย์ผู้หนึ่งโดยใบหน้าที่มากับควันสีเทาลอยมาบอกว่า “ภายใน…วัน เจ้าจะต้องตกนรก” เจ้า 3 ตัวนี้ก็จะมารุมสกรัมคนด้วยการเตะ ต่อย ฉุดกระชากลากถู แทง โยน ทุบ สารพัด จากนั้นก็จะทำการส่งผู้นั้นลงนรก เหลือเพียงกระดูกและเถ้าจนจำเค้าโครงเดิมไม่ได้
ถ้านั่นฟังดูน่ากลัวแล้วผิดถนัด เพราะยังไม่ได้ใกล้เคียงกับสิ่งที่เกิดขึ้นเลยซักนิด ความน่าสนใจของมันอยู่ตรงนี้ ตรงที่ว่ามนุษย์จะตีความและนำพาสิ่งนี้ไปถึงเลเวลไหน
ในหนังสือเซเปี้ยนส์ ประวัติย่อของมนุษยชาติ (Sapiens A Brief History of Humanknd) ของ ยูวัล โนอาห์ แฮรารี (Yuval Noah Harari) ได้พูดถึงสองประเด็นที่น่าสนใจที่เกี่ยวข้องกับประเด็นสำคัญในซีรีส์เรื่องนี้เอาไว้ว่า
- เราไม่สามารถสัญญากับลิงว่า หากพวกมันให้กล้วยเราแล้วเมื่อมันตายไป มันจะได้ขึ้นสวรรค์ที่เต็มไปด้วยกล้วยได้
- ความเป็นจริงคือไม่มีพระเจ้า/เทพเจ้า ไม่มีศาสนา ไม่มีชาติ ไม่มีเงินตรา ไม่มีสังคม ไม่มีการเมือง ทั้งหมดเป็นเพียงสิ่งที่สมมติสร้างขึ้นมาจากจินตนาการของมนุษย์ทั้งสิ้น และถ้าหากเราลืมตรงนี้ว่ามันเกิดขึ้นจากการสร้างขึ้นมาสมมติเอง เราก็อาจฆ่ากันได้เลย
สองข้อนี้อธิบายได้เป็นอย่างดีว่าทำไมชีวิตของมนุษย์ซับซ้อนกว่าสัตว์ชนิดอื่นบนโลก เพราะเรามีความสามารถในการจินตนาการ วางแผน สร้างสิ่งแทนหรือให้สัญลักษณ์ให้ความหมายกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ที่ดูเป็นระบบและเข้าใจร่วมกันได้มากกว่าสิ่งมีชีวิตอื่น
ประเด็นอยู่ที่ว่า เราสามารถให้ความหมายกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้ มีความเชื่อเป็นของตัวเองได้ เพราะอย่างที่ได้ยินกันบ่อยๆ ศาสนากับความเชื่อเป็นเรื่องส่วนบุคคล เป็นความตีความที่แตกต่างกันไปของแต่ละบุคคล ซึ่งไม่ใช่เรื่องผิดหากจะมีสิ่งยึดเหนี่ยวและเป็นที่พึ่งพิงในยามเศร้าหรือทุกข์ใจ หาทางออกกับชีวิตไม่ได้ แต่ก็มีหลายเคสที่บ่งชี้ให้เห็นว่ามีการใช้ศาสนาและนามของพระเจ้า (ซึ่งไม่มีใครเคยเห็น) มาชี้นำ ชักจูง กระทำการ ก่อให้เกิดความขัดแย้ง กดขี่ข่มเหง จนไปถึงทำให้คนคนนั้นมีความชอบธรรมที่จะทำอะไรก็ได้ในนามของศาสนาหรือเทพเจ้าสูงสุดที่ตัวเองนับถือ
และนั่นคือสิ่งที่ จองจินซู (รับบทโดย ยู อาอิน (Yoo Ah in)) ทำ เขานำการตีความของตัวเองไปเผยแพร่สู้วงกว้าง ในระยะเวลานานนับ 10 ปีหลังจากอ้างตัวเองพบเทพเจ้าลงทัณฑ์คนที่ประเทศทิเบตระหว่างทริปที่จะไปฆ่าตัวตาย และรอวันที่ทุกๆ อย่างจะชัดเจนต่อสาธารณชน หรือเป็นที่ประจักษ์ต่อสายตา และมีเค้าลางที่คล้ายหรือเหมือนกับที่เขาพร่ำบอกมาตลอด จากนั้นก็ใช้จังหวะนี้พูดว่า “นั่นไง ผมบอกแล้ว”
จองจินซู ก่อตั้งลัทธิหรือกลุ่มความเชื่อที่มีชื่อว่า ‘กลุ่มสัจธรรมใหม่’ ที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า ‘The New Truth’ นั่นคือความน่ากลัวของกลุ่มๆนี้ เพราะไม่ใช่ผลิตศาสนาทางเลือกขึ้นมา แต่เคลมกันโต้งๆอย่างโอหังว่าการตีความของเขาคือ ‘ความเป็นจริงใหม่ ‘ที่มาแทนที่ความเป็นจริงเดิม และความเป็นจริงก่อนหน้าคือสิ่งที่เก่าล้าสมัย (obsolete) และไม่จริง ไปแล้ว
กลุ่มนี้มีความเชื่อว่าพี่เบิ้มสามตัวนี้คือ ‘เทพเจ้า’ และการที่มารุมตุ้บตั้บแล้วส่องแสงเผาคนคือ ‘การกระทำหรือคำพิพากษาของพระเจ้า’ ส่วนคนที่โดนจึงกลายเป็น ‘คนบาป’ ไปโดยปริยาย
ซึ่งเมื่อมองดู ก็จะเห็นได้ว่าซีรีส์เรื่องนี้มีความคล้ายคลึงกับซีรีส์เรื่อง Midnight Mass ไม่น้อย ในเรื่องของการตีความสิ่งสิ่งหนึ่งเพียงแต่ด้านที่ตัวเองมองเห็น และคนอื่นๆ ที่ขาดความคิดเชิงวิพากษ์ (critical thinking) ก็เชื่อตาม โดยที่ไม่มองรอบด้านและถามหาที่มาที่ไป หรือเหตุของสิ่งนั้น โดยเฉพาะเรื่องที่เชื่อว่าสัตว์ประหลาดน่าตาน่ากลัวและดูคุกคาม (intimidating) เช่นนี้ คือพระเจ้า
ส่วนผู้คนที่ดูจะขาดสติที่สุดก็เห็นจะเป็นกลุ่มหัวรุนแรงอย่ากลุ่มหัวลูกศร (Arrow Head) ที่ถือคำพูดของจองจินซูเป็นความจริงสูงสุดและถือกำเนิดมาจากกลุ่มสัจธรรมใหม่อีกที
หลังจากคลิปที่ชายในร้านกาแฟโดยลงทัณฑ์ และคลิปอื่นที่ตามมาอีกมากมาย เคสที่ทำให้จองจินซูและกลุ่มสัจธรรมใหม่ จาก ‘กลุ่มความเชื่อ’ แปลเปลี่ยนเป็น ‘ลัทธิ’ และมีอิทธิพลในระดับประเทศกับมีคนนับถือครึ่งโลก คือ ‘การสาธิต’ ที่จะมีทั้งแขก VIP แถวหน้า (front row) รวมถึงไลฟ์สดออกอากาศการพิพากษาของ ปาร์คจองจา โดยเสนอให้เงิน 3 พันล้านวอนหรือประมาณ 84 ล้านบาทกับเธอให้ทิ้งไว้กับลูกๆ หลังการพิพากษา
และความโกลาหลก็ได้เริ่มขึ้น เมื่อปาร์คจองจา เสียชีวิตคาหน้าจอ กับสัตว์ประหลาดทั้ง 3 มีตัวตนจริงๆ ผู้คนจึงเริ่มกราบไหว้ และหวาดกลัวการถูกพิพากษา จนเชื่อกลุ่มสัจธรรมใหม่ว่าพวกเขาเป็นคนชั่วคนเลว ถึงขั้นมีลูกสาวมาออกทีวีบอกว่าพวกตัวเองเป็นคนไม่ดีอย่างโน้น ไม่ดีอย่างนี้ และสมควรตกนรกแล้ว
เรื่องราวตั้งแต่การได้รับคำประกาศิตว่าจะถูกลงทัณฑ์ของปาร์คจองจาจนไปถึงช่วงเวลาที่ถูกลงทัณฑ์ เป็นเนื้อหาที่สนับสนุนข้อเท็จจริงได้ดีว่า ‘มนุษย์ชอบตัดสิน’ เพราะจากคำบอกเล่าของเธอ เธออยู่กับลูกชายลูกสาวแต่ไม่มีพ่อของเด็ก ทั้งยังปรากฏรอยช้ำบนตัวของเด็กอีก โลกโซเชี่ยลจึงต่างก็คาดเดาความเป็นจริงว่าเธอผิดอะไรถึงโดนลงทัณฑ์ ซึ่งสามารถสันนิษฐานได้ว่า จองจาเป็นภรรยาเก็บ/ภรรยาน้อย ก่อนที่จะสรุปการคาดเดาว่าเธออาจจะฆ่าสามีตัวเองเพื่อปกป้องลูก
ซีรีส์ไม่ได้เล่าหรือเฉลยตรงนี้ชัดเจนก็เพื่อส่งสารให้กับคนดูว่า ในบางครั้งเราตัดสินเรื่องราวต่างๆ โดยที่ไม่ได้รู้ความจริงครบทุกด้านหรือครบถ้วน 100% เลยว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง ฉะนั้นทางที่ดีที่สุดคืออย่างเพิ่งทำสินตัดสินผู้อื่น (judging) หรือจริงๆ ไม่ควรแม้แต่จะคิด
คำถามคือถ้าปาร์คจองจาฆ่าสามีเพราะต้องปกป้องลูกจากการถูกสามีทำร้ายที่เข้าข่ายความรุนแรงในบ้าน (domestic violence) แล้วเธอพยายามป้องกันลูกจนพลั้งพลาดปลิดชีวิตสามี คนที่ควรไปลงนรกคือเธอหรือสามีของเธอกันแน่? อะไรคือตัวตัดสินว่าเธอเป็นคนควรไปลงนรกขณะที่ในโลกมีคนชั่วช้ากว่าเธอมากที่ยังคงลอยนวลอยู่ ไม่ว่าจะเป็นฆาตรกรรม อาชญากร หรือนักการเมืองที่ขูดรีดผลประโยชน์ด้วยตำแหน่งจนทำประชาชนต้องตาย?
อาณาเขตและอิทธิพลของจองจินซูและกลุ่มสัจธรรมใหม่ได้แผ่ขยายอิทธิผลในวงกว้าง และกลุ่มหัวลูกศรได้ไปไล่ฟาดคนที่เห็นต่างและแสดงทัศนคติอะไรก็ตามที่หักล้างความความเป็นจริงใหม่ของพวกเขาหรือสิ่งที่ท่านผู้นำพูด
สิ่งที่น่าคิดอยู่ตรงที่อะไรคือสาเหตุที่ทำให้กลุ่มกลุ่มนี้มีอำนาจและน่ากลัวขนาดนี้?
คำตอบคือการที่โลกนี้เป็น ‘โลกสมัยใหม่’
จริงๆ จะให้ถูกต้องบอกว่าน่ากลัวกันคนละแบบ ในสมัยก่อนที่ข้อมูลความรู้ไม่ทั่วถึง ผู้คนมีสิ่งที่ไม่เข้าใจและหาคำตอบไม่ได้อยู่มาก จะมีก็เพียงศาสนาและความเชื่อเป็น ‘ความเป็นจริงสูงสุด’ ที่เทียบเท่ากับสิ่งที่วิทยาศาสตร์ทำการตั้งสมมุติฐาน ทดลอง ค้นพบ หาข้อสรุปของยุคนี้ แต่แตกต่างที่การตีความใหม่จะทำให้เกิดความขัดแย้งทั้งกับศาสนาเดียวกันและต่างศาสนา หรือความเชื่อเดิม รวมถึงมีคนเห็นต่างไม่ได้เลยเนื่องจากสิทธิมนุษยชนในสมัยนั้นยังไม่ได้เท่าทุกวันนี้ (แม้ทุกวันนี้ในบางประเทศเองก็ใช่ว่ามีแล้ว) ในขณะที่วิทยาศาสตร์ไม่ได้ตัดสินว่านั่นคือความจริงสูงสุดและเปิดรับความเป็นจริงใหม่เสมอ
แต่ความน่ากลัวในแบบปัจจุบันคือความคิดที่แพร่กระจายเร็ว ทำให้คนรับรู้เร็ว ตัดสินเร็ว ยิ่งมีอะไรที่เข้าเค้ากับคำทำนายหรือคำพูดด้วย และเป็นกระแสด้วยสาเหตุใดสาเหตุหนึ่งด้วยแล้วก็ ยิ่งทำให้ผู้คนสร้างชื่อเสียง ยิ่งทำให้ความเชื่อแผ่ขยายอิทธิพลได้อย่างได้ผลมากขึ้นเท่านั้น เหมือนที่นายไลฟ์สดที่ชอบตะเบ็งคนนี้ เขาเป็นกระบอกเสียงของกลุ่มสัจธรรมใหม่และมีส่วนอย่างมากในการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร รวมถึงการปลุกระดม
โชคดีที่คนสมัยใหม่มีแนวโน้มที่จะมีความคิดเชิงวิพากษ์ แยกผิดชอบชั่วดีมากขึ้น เป็นกลางไม่ฝักใฝ่ไม่เชื่อสิ่งใดหรือบูชาตัวบุคคลอย่างไม่ลืมหูลืมตา แต่ก็ยังมีคนที่มีน้อยไปจนถึงไม่มีที่สามารถเป็นเหยื่อของโฆษณาชวนเชื่อ (propaganda) ได้ง่าย
ฉากนี้คือหนึ่งฉากที่แสดงถึงการถูกชักจูงขั้นสุดคือการบูชาตัวบุคคลและความสลักสำคัญในคำพูดของจองจินซู เป็นฉากที่ตำรวจนักสืบตามหาลูกสาวด้วยการบุกไปที่ห้องของจูจินซู จะเห็นได้ว่ามีการตั้งแคมป์อารักขาอย่างแน่นหนา และนักสืบเกือบจะถูกรุมทึ้งแล้ว หากไม่ใช่เพราะจองจินซู และหากไม่ใช่เพราะนักสืบเอามือถือที่มีหน้าของจองจินซูไปชูเพื่อแหวกทาง (เหล่าสาวกไม่กล้าทำร้ายหรือทำให้ผู้ที่ตัวเองบูชาดูแปดเปื้อน แม้รูปเคารพ ภาพเคลื่อนไหวในมือถือหรืออะไรที่เกี่ยวข้องก็ตาม)
เป็นฉากที่ของจินซูแสดงว่าตัวเองมีอำนาจแค่ไหน และนักสืบตัวเล็กแค่ไหน ที่ให้พลังพอๆ กับฉากเบนเอามือไปวางบนบ่าเบาๆ ในหนัง The Dark Knight Rises (2012) ของคริสโตเฟอร์ โนแลน (Christoher Nolan)
“ยินดีต้อนรับ สู่โลกใหม่”
จองจินซูกล่าวออกทีวี บัดนี้โลกได้โกลาหล ไม่เพียงแต่ผู้คนต้องใช้ชีวิตอย่างหวาดกลัวว่าวันดีคืนดีในวันนี้สุดแสนจะแฮปปี้ จะมีใบหน้าลอยมาพร้อมกับหมอกควันแล้วบอกว่าพวกเขาจะต้องไปลงนรก แต่พวกเขายังต้องหวาดกลัวกลุ่มหัวลุกศรและกลุ่มสัจธรรมใหม่ที่อาจไปพบเจอและทำคนเหล่านั้นไม่พอใจในชีวิตประจำวันได้ ด้วยการแสดงท่าทีที่ไม่เชื่อหรือเห็นแย้งกับกลุ่มทั้งสองที่ตอนนี้เป็น ‘คนหมู่มาก’ และถือหางตัวเองด้วยการมีตัวตนอยู่จริงของสัตว์ประหลาด
เรื่องราวได้น่าสนใจขึ้นไปอีกเมื่อจองจินซูบอกว่าหลังจากนี้ตัวเองจะก้าวลงมา และเขาจะไม่มีบทบาทอีกต่อไป ก่อนที่คนดูจะได้รับรู้ว่าแท้จริงแล้วตั้งแต่สมัย ม.ปลายเขาได้รับคำประกาศิตว่า จะต้องตายในอีก 20 ปี ที่นี่ เวลาเท่านี้ ซึ่งนั่นสามารถสั่นคลอนเหล่าสาวกผู้ศรัทธาจนถึงขั้นทำให้กลุ่มทั้งสองล่มสลายได้เลย เพราะขนาดผู้นำของพวกเขาที่ก่อตั้งและเป็นคนนำความจริงใหม่นี้มาเผยแพร่ ยังมีมลทินและมีบาปจนต้องตกนรก
เรื่องนี้จะพูดต่อไปในช่วงหลังของบทความ เกี่ยวกับประเด็นเจตจำนงเสรี เอาเป็นว่าคร่าวๆ คือมันมาจากความเจ็บแค้นที่เขาต้องรู้ล่วงหน้าว่าจะต้องตาย ทำให้ชีวิตไร้จุดหมายและจะไม่ยอมตายคนเดียว โลกจะต้องลุกเป็นไฟด้วยการที่เข้าสร้างจุดหมายคือ ‘ก่อตั้งสัจธรรมใหม่ ยิ่งไปกว่านั้นจองจินซูแม้กระทั่งพูดว่า ‘ผมเองก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่านั่นใช่พระเจ้ารึเปล่า?’ นั่นก็พอจะบอกอะไรได้หลายอย่างแล้วว่าตัวเขาเองก็ยังไม่แน่ใจ แต่เขาอยากให้คนเชื่อ และคนก็ดันเชื่ออย่างบ้าคลั่ง
การตายของจองจินซู เป็นอะไรที่ช็อคคนดูพอสมควรหลังจากเห็นหน้านักแสดงและคิดว่ายังไงก็อยู่นานแน่ๆ แต่นั่นเป็นข้อความที่สำคัญอีกข้อความหนึ่งของซีรีส์เรื่องนี้ ที่สะท้อนไปถึงโลกความเป็นจริงที่ว่า ‘คำพูด ความคิด ความเชื่อ เจตนารมณ์’ อย่างใดอย่างหนึ่งและทั้งสี่อย่างนี้เป็นมรดกตกทอดที่ทรงพลังแค่ไหนและสามารถส่งต่อและแพร่กระจายได้เร็ว ลงรากไปยังใจผู้คนได้ลึกแค่ไหน มั่นคงแค่ไหน แม้ตัวจะไม่อยู่ แต่สิ่งที่จองจินซูได้เริ่มไว้ได้ทำงานต่อไปด้วยตัวมันเองแล้ว
แม้ว่าบาทหลวงคิมจองชิลจะขึ้นมาเป็นผู้นำคนใหม่ นั่นไม่ได้ทำให้อะไรเปลี่ยนแปลง ซ้ำร้ายดูเหมือนว่าคิมจองชิลจะชั่วร้ายคนละแบบกับจองจินซูด้วยซ้ำ
อาณาเขตและอิทธิพลของจองจินซูและกลุ่มสัจธรรมใหม่ได้แผ่ขยายอิทธิผลในวงกว้าง ถึงขั้นมีสำนักงานใหญ่ มีรูปปั้นสามเกลอ มีรูปปั้นจองจินซูและภาพของเขาในฐานะศาสดาบนฝาผนัง มีการทำสื่อแพร่กระจายความคิด มีนักบวช มียูนิฟอร์ม มีพิธีกรรมการสาธิตให้เห็นเป็นประจำ
ไหนจะกลุ่มหัวลูกศรที่ได้ไปไล่ฟาดคนที่เห็นต่างและแสดงทัศนคติอะไรก็ตามที่หักล้างความความเป็นจริงใหม่ของพวกเขาหรือสิ่งที่ท่านผู้นำพูด แถมคนเหล่านี้ยังทำสิ่งที่ทำเพราะ ‘ทำได้’ แถมกฎหมายยังไม่เอาผิดเนื่องจากมีคนที่เป็นสมาชิกหรือเป็นผู้ศรัทธาในแนวคิดของสัจธรรมใหม่ ปะปนอยู่ทั่วในทุกสังคม (จนไม่อาจรู้ได้ว่าใครเป็นสปายหรือเป็นสมาชิก) ตั้งแต่คนตัวเล็กๆ คนธรรมดา ยันระดับชนชั้นนำ (elite) คนมีชื่อเสียง คนมีอิทธิพล และเจ้าหน้าที่รักษากฎหมาย
เรียกได้ว่าโลกไม่น่าอยู่สุดๆแล้ว เมื่อคนเราใช้ศีลธรรมทางศาสนาหรือลัทธิความเชื่อของตัว มาเป็นบรรทัดฐานในการตัดสินผู้อื่นอย่างหนักข้อเช่นนี้
ถึงตรงนี้ดูจะพูดได้แล้วว่า Hellbound น่ากลัวกว่า Train to Busan ซะอีก ตรงที่เป็นการใช้ประโยชน์ (capitalize) จากสิ่งที่เกิดขึ้นในสถานการณ์หนึ่งๆ มาเข้าข้างตัวเองและโจมตีผู้อื่น เพราะมันไม่ใช่แค่’ความเห็นแก่ตัว’ แต่เป็นการให้ผู้อื่น ‘เห็นเหมือนกัน’ และพูดได้เช่นกันว่าอิทธิพลของกลุ่มสัจธรรมใหม่ไม่ใช่แค่ระดับ ‘ลัทธิ’ แต่เป็นระดับ ‘ศาสนา’ ไปแล้ว
ลัทธิ (Cult) กับศาสนา (Religion) มีข้อแตกต่างกันอยู่
ลัทธิเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดจากศาสนาดั้งเดิมไม่ตอบโจทย์ และสภาพจิตใจของผู้คนภายใต้ระบบสังคมและเศรษฐกิจผุพัง เน่าเฟะ มีปัญหา จึงก่อให้เกิดการรวมกลุ่มขึ้นมาใหม่เป็น ‘ทางเลือกใหม่’ เพื่อตอบโจทย์ความคิดของตัวเองหรือผู้อื่นที่เห็นพ้องต้องกัน และเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมาใหม่ได้ไม่นานหากเทียบกับศาสนาที่มีความเก่าแก่และอยู่มานานกว่า รวมถึงศาสนาต้องมีผู้นับถือจำนวนมากประมาณหนึ่ง
องค์ประกอบสำคัญของการเป็นลัทธิคือการมีจุดร่วมกันกับศาสนา แต่น้อยกว่า หรือในฐานะซับเซ็ต (subset) ที่จะมีแค่ความเชื่อและความเห็นร่วมกัน แต่นักบวช พิธีกรรม ความเป็นกลุ่มระดับองค์กร สถานที่ หรือกฎเกณฑ์แนวทางข้อปฏิบัติไม่จำเป็นต้องมีก็ได้ ฉะนั้นเมื่อดูจากสิ่งที่เกิดขึ้นหลังการตายของจองจินซูแล้ว สัจธรรมใหม่ได้กลายเป็นศาสนาแล้ว และทรงอิทธิพลมากกว่าที่เคย มากกว่าตอนที่ผู้ก่อตั้งยังมีตัวตนอยู่ซะอีก (เหมือนหลายศาสนาในโลกความจริงของเรา)
แล้วอะไรจะสามารถสั่นคลอนอิทธิพลของกลุ่มสัจธรรมใหม่และกลุ่มหัวลูกศรได้อีก? นั่นคือคำถามสำคัญ และสิ่งนั้นคือ ‘ข้อโต้แย้ง’ ที่จะสร้างความย้อนแย้งให้กับกลุ่มสัจธรรมใหม่ กับการกำหนดกฎเกณฑ์ต่างๆ ของกลุ่มสัจธรรมใหม่ที่ทำให้หลักคำสอนของตัวเองไม่เข้าท่าซะเอง
ในทีแรกกลุ่มสัจธรรมใหม่มีบทบัญญัติและกฎเกณฑ์ที่สร้างขึ้นไว้อย่างชัดเจน แต่ก็ยังมีคำถามเกิดขึ้นมากมายทั้ง อะไรคือเกณฑ์ตัดสินว่าใครควรตกนรก ใครชั่วกว่าใคร แบบนี้ผิดแบบนี้ถูก พี่เบิ้มทั้งสามมาจากไหน และมีเกณฑ์ในการคัดเลือกยังไงว่าใครจะต้องไปลงนรกหรือใครไม่ลง รวมถึงตัวพวกเขาเองที่ไปไล่ฟาด ไล่ฆ่า ไล่ตัดสินคนอื่น รวมถึงการเลยเถิดไปถึงการเฟคการตายให้ดูเหมือนถูกพิพากษา นั่นมันไม่บาปเลยหรอ?
สิ่งที่จะมาย้อนแย้งและเป็นตัวเปลี่ยนเกม (game changer) คือ ‘เด็กทารกที่ต้องตายภายในสามวัน’
ลูกของภรรยาโปรดิวเซอร์สารคดีที่ชื่อแบยองแจ และการสาธิตการพิพากษาเด็กคนนี้เป็นสิ่งเดียวที่ทำให้กลุ่มสัตธรรมใหม่หวาดกลัว เพราะไปทำลายความน่าเชื่อถือของสิ่งที่พวกเขาสร้างมาทั้งหมดและทำให้พวกเขาถึงกับกลืนไม่เช้าคายไม่ออก
พวกเขาไม่สามารถตอบได้เลยว่าเด็กทารกที่เกิดมา 3 วันทำบาปอะไรถึงต้องไปลงนรก นี่จึงเป็นสิ่งที่กลุ่มโซโด หรือกลุ่มแอนตี้สัจธรรมใหม่ที่ก่อตั้งโดยอดีตทนายหญิง มินฮเยจิน สามารถนำไปเผยแพร่ให้โลกรู้แล้วล้มองค์กรศาสนาสุดคลั่งนี้ลงได้ ด้วยการชวนตั้งคำถามเกี่ยวกับการลงทัณฑ์ของ 3 หนุ่ม 3 มุมว่าบางทีมันอาจไม่มีความหมายเลยก็ได้ และเรื่องทั้งหมดนี้อาจเป็นการกระทำแบบสุ่ม หรือไม่ได้มีรูปแบบชัดเจน และคนที่จะโดนพิพากษาไม่ได้หมายความว่าเป็นคนชั่ว
ความสำคัญของกลุ่มสัจธรรมใหม่จะหมดเกลี้ยงไปโดยปริยาย เพราะพวกเขาไม่สามารถตอบได้ว่าทำไมเด็กทารกถึงต้องมาตายทั้งที่ยังไม่ได้ทำอะไรผิด ทั้งยังไม่สามารถโต้แย้งด้วยข้อโต้แย้งที่ว่าทุกคนมี ‘บาปแต่กำเนิด’ ได้เลย เนื่องจากกลุ่มสัจธรรมใหม่ให้ความสำคัญอันดับ 1 (top priority) คือ ‘การเกรงกลัวการทำบาปและสำนักความผิดของบาปที่ก่อขึ้นขณะมีชีวิตอยู่’ หรือเรียกได้ว่า พวกเขาตีความเข้าข้างตัวเอง และอะไรขัดกับหลักคำสอนและข้อบัญญัติก็จะมองข้ามและยกเว้น
ซึ่งมันกลายมาเป็นงูพิษที่แว้งกัดพวกเขาเอง ไม่สิ ที่จริงแล้วมันมีช่องโหว่และไม่เคยสมบูรณ์แต่แรกแล้ว ทั้งจองจินซูเองกับสาวกก็ไม่มีใครเข้าใจปรากฏการณ์ ‘ต้องตกนรก’ นี้มากไปกว่ากัน แค่มีคน (ซึ่งก็คือพวกเขา) ทำเป็นว่าเข้าใจมันมากกว่าผู้อื่น คิดว่าตัวเองเข้าใจในสิ่งที่อยากจะเข้าใจ ไม่ต่างจากโลกความจริงที่มีคนบอกว่ารู้ที่มาหรือความเป็นไปของสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ไม่มีหลักฐาน ไม่เคยปรากฏให้เห็น โดยเฉพาะการที่นิยามว่าสิ่งที่อยู่เหนือความเข้าใจตัวเองและหาคำตอบกับมันไม่ได้ว่าเป็น ‘พระเจ้า’
พวกเขาถึงได้หวาดหวั่นเมื่อมีสิ่งใหม่มาสั่งคลอนความเป็นจริงที่พวกเขาสร้างขึ้นและประคับประคองมาโดยตลอด การแย่งชิงตัวเด็กทารกที่เป็นตัวแปรและจุดเปลี่ยนสำคัญจึงเริ่มต้นขึ้น และจบลงด้วยการสละชีวิตของพ่อแม่ทั้งสอง ที่ช่วยชีวิตลูกน้อยได้ราวกับปาฏิหาริย์ โดยที่คนที่เห็นเหตุการณ์กับคนดูที่นั่งดู Netflix ผ่านหน้าจอก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเพราะอะไร
หากให้ตีความอีกแง่เกี่ยวกับการประกาศิต ก็พบว่าน่าสนใจไม่น้อยที่จะมองว่าพี่เบิ้มทั้งสามและคำพิพากษาที่มาเยือนถึงที่เป็น ‘การสิ้นสุดชะตา’ ของคนคนนั้น หรือที่บ้านเราเรียกว่า ‘ถึงฆาต’ นั่นแหละ เคสที่น่าสนใจมากๆ นอกจากเคสของเด็กทารกและเป็นเคสที่ทำให้คิดแบบนั้นคือเคสของผู้สาวอาจารย์มหาลัยฮันกุกที่เป็นสมาชิกกลุ่มโซโดที่เล่าเรื่องราวให้โปรดิวเซอร์ฟังก่อนถูกนำตัวไปเผา ว่าลูกสาวของเขาได้รับคำประกาศิตว่า “จะตายภายใน 30 วินาทีข้างหน้า” นั่นมันไม่ยุติธรรมเลย อะไรทำให้พ่อกับลูกต้องมาจากกัน แล้วทำไมต้องเป็นภายใน 30 วินาทีด้วย?
ทำให้ฉุกคิดขึ้นได้ว่า หรือการประกาศิตและการพิพากษา ที่แท้แล้วเป็นตัวแทนถึง ‘การตาย’ ที่ไม่รู้ว่าจะดีหรือไม่ดี เมื่อการที่คนคนหนึ่งจะต้องรู้ว่าตัวเองจะต้องมาตาย กับการที่ไม่รู้เลยว่าตัวเองจะมีจุดจบเมื่อไหร่ ที่ไหน เวลาใด นี่เป็นคำถามที่ค่อนข้างตอบยากหากเป็นเราที่ต้องเผชิญกับสิ่งสิ่งนี้ คิดไม่ตกเช่นกันว่าถ้าเป็นเราจะเลือกอะไร รู้หรือไม่รู้ล่วงหน้าถึงวันและเวลาตายของตนเอง?
สุดท้ายแล้วในเชิงสัญญะ สิ่งเหนือธรรมชาติในเรื่องที่ทำให้เกิดการตีความก็ไม่ได้แตกต่างอะไรไปกับคำทำนายทายทักของหมอดูว่าสิ่งนั้นสิ่งนี้จะเกิดขึ้น คนนั้นจะเลิกกัน คนนี้จะประสบความสำเร็จ และคนนโน้นจะตาย สิ่งเหล่านั้นเป็นอะไรที่เติมเต็มได้และเลือกได้ ในขณะที่ซีรีส์ Hellbound ต้องการพูดถึงชะตากรรมที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ (inevitable death) ด้วยการนำมันออกมาให้เห็นด้วยตาเปล่าเป็นรูปธรรม จับต้องได้ (โดนจับต้องน่าจะถูกกว่า แถมยังรุนแรงกว่าคำนั้นด้วย) จนถึงถ่ายภาพและวิดีโอได้
หนึ่งในประเด็นที่อยากส่งท้ายและควรพูดถึงที่สุดคือเรื่องของ ‘เจตจำนงเสรี’ ว่าการที่มี 1 หน้ากับ 3 ตัวเข้ามาป่วนโลกใบนี้ ทุกคนมีทางเลือกในการใช้ชีวิตหรือไม่? มีเนื้อเรื่องสองจุดที่ชวนนึกถึงเจตจำนงเสรี
จุดแรก จองจินซูได้รับคำประกาศิตตั้งแต่ยังเป็นเด็ก เขาไม่เคยทำผิดหรือไม่เคยฆ่าสัตว์ตัวเล็กๆด้วยซ้ำ นั่นทำให้เขาก่อตั้งกลุ่มสัจธรรมใหม่ขึ้นมา เพื่อที่ว่านั่นจะเป็นบาปมหันต์บาปเดียวของเขา และเขาเลือกไม่ได้เลย
จุดที่สอง นายไลฟ์สดบอกว่าเขาจะต้องมาตายหลังเด็กทารกเพียง 5 นาที แถมยังไม่เคยฆ่าใคร นั่นมันจึงเป็นอะไรที่ชัดเจน (obvious) มากๆ ที่จะชี้ให้เขาคิดว่าเขาเป็นคนสำคัญ คือเมสสิยาห์ หรือผู้ถูกเลือกที่จะทำหน้าที่ปกปิดความผิดพลาดของพระเจ้าด้วยการกำจัดเด็กทารก เขาคิดเช่นกันว่าการที่เขาถูกกำหนดมาแบบนี้คือเขาต้องทำแบบนี้
ท้ายที่สุดหากมนุษย์เชื่อในคำทำนาย สิ่งนั้นจะเป็นจริงด้วยตนเอง หรือที่เรียกกันว่าการเติมเต็มโชคชะตา (self-fulfilling) เพราะต่อให้มันไม่ยุติธรรม แต่ทั้งสองหรือใครก็ตาม ไม่เห็นจำเป็นจะต้องก่อบาปเพื่อให้เข้าเค้ากับการประกาศิตและการลงทัณฑ์ พวกเขาสามารถพิสูจน์ได้ว่าพวกเขาไม่ผิด สามารถพิสูจน์ได้ว่าพวกเขาเลือกที่จะไม่ทำได้
ในฉากสุดท้ายของซีรีส์ที่ปาร์คจองจากลับมาอีกครั้งเป็นอะไรที่น่าคิดไม่น้อย ซีรีส์สามารถไปต่อซีซั่น 2 ได้โดยทิ้งให้เรื่องนี้เป็นปม ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไปหากคนที่ถูกพิพากษาฟื้นคืนกลับมา ในขณะเดียวกันก็สามารถจบลงที่ซีซั่นนี้ทั้งๆแบบนี้ได้เช่นกัน ด้วยฉากนี้ที่บอกว่ามันเป็นตลกร้ายที่สุดท้ายแล้วทุกอย่างคืนกลับมาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น และพวกสัตว์ประหลาดไม่เคยมีส่วน
ผู้ที่มีส่วนและทำให้เรื่องมาถึงขนาดนี้ (take it this far) โลกโกลาหลขนาดนี้ คือมนุษย์ด้วยกันเอง ผู้ชอบตัดสินกันอยู่ตลอดเวลาจนบางครั้งนำไปสู่จุดที่กู่ไม่กลับและแย่กว่าที่พวกเขาจะคาดคิดได้
ท้ายที่สุดแล้วในเรื่องของการถูกตัดสิน การที่สังคมบอกว่าเราผิดอาจเป็นเรื่องแย่แต่หากเราถูกหรือไม่ผิด เรารู้ในใจอยู่เต็มอก ในขณะเดียวกันหากเราทำผิดแล้วเรายังลอยหน้าลอยตา ใช้ชีวิตได้อย่างเป็นปกติสุข แม้ไม่ได้รับคำพิพากษา คนผู้นั้นก็ไม่มีทางใช้ชีวิตโดยปราศจากเสียงค้อนที่เคาะไม่หยุดไม่หย่อนโดยผู้พิพากษาที่ชื่อว่า ‘ใจตนเองได้’
การที่ซีรีส์เรื่องนี้ปล่อยให้ทั้งทุกตัวและเราคนดูตีความเอง ไม่บอกว่าทำไมเด็กทารกรอด ไม่บอกที่มาของสามหน่อและหนึ่งหน้า ไม่บอกกฎเกณฑ์การประกาศิตชีวิตมนุษย์ว่าตัดสินจากอะไร นั่นแหละคือพอยต์ของซีรีส์เรื่องนี้ ‘เราไม่ได้เข้าใจอะไรไปซะทุกอย่าง’ และบางครั้งทุกอย่างเกิดขึ้นแบบสุ่มตามประโยคที่ว่า “Everything is so random.” พอๆ กับการเกิด การพบพาน การตายการจากลา และการที่เกิดขึ้นของสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
ไม่มี ‘ประสงค์ของประเจ้า’ ไม่มี ‘โชคชะตา’ ไม่มี ‘ที่เป็นอย่างนี้เพราะถูกกำหนดมาแล้วโดยเบื้องบน’