วันอังคารคล้อยค่ำริมแม่น้ำเจ้าพระยา ผมนั่งเพลิดเพลินสนทนากับผู้ถ่ายทอดงานเขียนของเรเชล พี. เมนส์ (Rachel P. Maines) สู่ภาษาไทย นั่นคือหนังสือ เทคโนโยนี : ประวัติศาสตร์ไวเบรเตอร์ ฮิสทีเรีย และออกัสซั่มของผู้หญิง ซึ่งแปลมาจาก The Technology of Orgasm : “Hysteria,” the Vibrator, and Women’s Sexual Satisfaction โดยนภ ดารารัตน์ ก็ด้วยการพูดคุยที่ว่ามาแหละครับ จึงกลายมาเป็นเรื่องราวที่ผมจะสาธยายเกี่ยวกับการนำเสนอ ‘ฮิสทีเรีย’ ต่อสายตาสังคมสยามผ่านวรรณกรรมเรื่องเพศของไทยยุคแรกๆ อย่าง ผจญบอ
มูลเหตุที่ทำให้ผมและผู้แปลเอ่ยถึง ‘เทคโนโยนี’ อีกหน เพราะเมื่อเร็วๆ นี้มีสื่อออนไลน์แนะนำหนังสือดังกล่าว เราทั้งสองอ่านแล้วพบข้อฉุกคิดพ้องพานกัน จึงเสวนาในประเด็นความเป็นนักประวัติศาสตร์มืออาชีพของผู้เขียน และเพื่อมิให้ปากว่างขณะอรรถรสเจรจรากำลังเข้มข้น เลยบอกแก่คุณนภ ดารารัตน์ว่า ตอนผมทำวิทยานิพนธ์ได้เล็งเห็นวรรณกรรมทางเพศในยุคแรกของไทยเรื่องหนึ่งสะท้อนภาพการรักษาอาการ ‘ฮิสทีเรีย’เฉกเช่นเดียวกับที่ปรากฏในเนื้อหาหนังสือของเรเชล พี. เมนส์ วรรณกรรมเล่มนั้นคือ ผจญบอเชื่อกันว่าเป็นผลงานของครูเหลี่ยมหรือหลวงวิลาศปริวัตร นักเรียนวิชาครูจากประเทศอังกฤษ ผู้บุกเบิกสิ่งที่เรียก ‘วรรณกรรมโป๊’ และ ‘รูปโป๊’ คนแรกของไทย
ผจญบอ หรือที่โปรยชื่อภาษาอังกฤษไว้บนปกหนังสือว่า Maniacism เป็นงานเขียนเรื่องหนึ่งในชุด ‘ลอนดอนเนอร์’ ดูเหมือนผู้ที่หยิบยกงานเขียนชิ้นนี้มาศึกษาเชิงวิชาการคนแรกๆ คือ สรณัฐ ไตลังคะ สิ่งที่ทำให้สรณัฐวิเคราะห์ว่า ผจญบอย่อมใช่ผลงานของครูเหลี่ยม แม้ตัวเล่มหนังสือจะไม่ระบุนามผู้เขียนไว้ เนื่องจากด้านหลังปกหนังสือให้รายละเอียดชื่อเรื่องอื่นๆ ในชุด ‘ลอนดอนเนอร์’ อันได้แก่ ผจญบอ,แอคสิเดนแตลชส์, พรหมจารี, แม่แรง, เงือกตัวผู้,หมอลามก, มนุษ(ย์)วานร ทั้งยังมีชื่อเรื่อง นางเนระมิตร ปรากฏอยู่ใต้เส้นขีดคั่นด้วย ขณะเรื่อง พรหมจารี ในข้อมูลชีวประวัติของครูเหลี่ยมได้ระบุให้เป็นผลงานเรื่องเพศหรือ ‘เรื่องโป๊’ ที่มีชื่อคล้องจองกัน ‘กล่อมครรภ์ พนัญชม พรหมจารี ดรุณีประวัติ’ นั่นทำให้สรณัฐเชื่อว่า ผจญบอไม่แคล้วจะถูกเขียนขึ้นโดยครูเหลี่ยม
ผมเองเคยสบโอกาสได้อ่านงานเขียนของครูเหลี่ยมมาจำนวนมากชิ้น มิเว้น นางเนระมิตร (ซึ่งครูเหลี่ยมใช้นามปากกา ‘นายสำราญ’ประพันธ์) และ กล่อมครรภ์ พอพิจารณาจากเนื้อหาและสำนวนภาษาดูแล้วก็ยินดียืนยันหนักแน่นอีกเสียงว่าผจญบอ จะเป็นงานเขียนของใครอื่นมิได้หรอกนอกจากครูเหลี่ยมเท่านั้น อ้อ ควรบอกด้วยว่าที่ผมได้อ่านหนังสือเรื่อง ผจญบอก็เนื่องด้วยความอนุเคราะห์จากคุณธงชัย ลิขิตพรสวรรค์แห่งสำนักพิมพ์ต้นฉบับ จึงขอบคุณไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ
ผจญบอมีขนาดรูปเล่มแบบสมุดฝรั่งขนาด 16 หน้ายก หน้าปกแสดงภาพผู้หญิงหันด้านข้าง เธออยู่ในชุดเปิดไหล่แบบฝรั่ง ขับเน้นหน้าอกสองเต้าและหัวนม แขนข้างหนึ่งเท้าศีรษะ มืออีกข้างถือกระดาษเหมือนกำลังอ่านบางสิ่งบางอย่าง โปรยถ้อยคำว่า “เรื่องเร้นซึ่งยังไม่เคยถูกแสดง” ระบุราคาไว้ 50 สตางค์ พอพลิกเข้าไปในเล่มจะมีทั้งหมด 69 หน้า เนื้อเรื่องยังมีตอนต่อไป โดยปรากฏข้อความในหน้าสุดท้าย “ดูต่อไปในเรื่องแอคสิเดนแตลส์”
ผจญบอเปิดฉาก ณ มณฑลคอนวอล ประเทศอังกฤษ เผยน้ำเสียง ‘ยอน สะตำป์’ เป็นผู้เล่าเรื่องราวของตัวเขาเอง บทแรกสุดได้กล่าวถึงชีวิตยอนช่วงวัยเยาว์ขณะอายุ 12-13 ปี เมื่อครั้งที่เขาต้องเดินเท้าไปเรียนหนังสือเพราะโรงเรียนห่างไกลจากบ้าน อาสะใภ้ผู้แก่กว่าและตอนนั้นกำลังตกพุ่มม่ายจึงได้ชวนยอนไปอยู่บ้านของเธอที่ตั้งอยู่ใกล้กับโรงเรียน แม่ของเด็กชายเห็นด้วย
ปกติยอนเป็นเด็กชอบหาไข่นกและชอบเล่นน้ำทะเลซึ่งไม่ห่างออกไปไกลเท่าไหร่นัก ส่วนอาสะใภ้ก็ชอบจ้องมองเวลายอนลงเล่นน้ำ จนกระทั่ง “ในวันอาทิตย์ซึ่งกำลังจะต้องไปโบสถ์ อาสะใภ้ไม่สบายจึงนอนพักอยู่ในห้อง เมื่อยอนเข้าไปเยี่ยม เห็นเธออยู่ในชุดเสื้อซับในตัวเดียว อาสะใภ้ร้องขอให้ยอนช่วยทั้งลูบไล้และบีบนวดตามเนื้อตัวให้…” ถัดจากนั้น มีอยู่คราวหนึ่ง “…ยอนไปเก็บไข่นกแล้วเกิดอุบัติเหตุตกจากต้นไม้ อาสะใภ้ได้ช่วยทำแผล และเห็นว่ายอนโตเป็นหนุ่มแล้วเพราะนมแตกพาน เธอจึงเป็นลม” ไม่เพียงแค่นั้น ยอนยังอธิบายลักษณะของอาสะใภ้ในตอนหมดสติกับผู้อ่านอีกว่า
“แลมีสิ่งปลาดอีกที่ข้าพเจ้าเห็น คือแกสลบด้วยโรคใจอ่อน หรือด้วยสิ่งที่มีพิรุทใหม่ พิรุทใหม่คือข้าพเจ้าเห็นท้องแกอูดพองนูน จะเปนท้องขึ้นหรืออะไรกระมังกับทั้งกายแกขาวผ่องกว่าเก่า โลหิตบริบูรณ์กว่าเก่า แต่ที่หน้าอกนั้นมีเส้นเขียวๆ ขึ้นมาก แลเต้าก็สล้างกล้ามมากกว่าเก่า หัวนมก็ดำแลแข็งขึ้น จนทำให้ข้าพเจ้าใจเด็กคิดว่าเกิดโรคห่าขึ้น จนพระเจ้าบรรดานให้นมข้าพเจ้าขึ้นเปนไตแข็ง แล้วเลยติดโรคนี้ไปถึงคุณอาว์ที่อยู่ใกล้ข้าพเจ้าให้แกเกิดมีหัวนมแข็งดำเปนไตขึ้นอีกจนถูกเข้าเจ็บเหมือนข้าพเจ้า แท้จริงข้าพเจ้าไม่ทันคิดว่าส่วนตัวข้าพเจ้านั้นพานขึ้น แลส่วนคุณอาว์นั้นเปนไปโดยตั้งครรภ์”
ถัดต่อมาไม่นานนัก มิสเตอร์ไมลส์ ผู้ชายจากเมืองเคปทาวน์ก็มาเข้าวิวาห์กับอาสะใภ้ ยอนมักแอบดูเวลาทั้งสองคนอยู่ด้วยกันและจะมองเห็นมิสเตอร์ไมลส์นวดตัวให้อาสะใภ้เสมอ กระทั่งวันหนึ่งยอนกลับมาบ้านหลังจากไปเก็บไข่นกแล้ว เขาเห็นอาสะใภ้มีอาการปวดตามตัวอีก เด็กชายเข้าไปช่วยนวดตัวพร้อมถามถึงเหตุผลที่อาสะใภ้รีบแต่งงาน เธอตอบ “นี่เปนโทษของเจ้าเองทั้งหมด” ยอนเลยรู้เรื่องราวทั้งหมดว่าอาสะใภ้ตั้งครรภ์กับเขาเอง แต่รู้สึกอับอายหากเรื่องนี้ถูกเปิดเผย เธอจึงแต่งงานกับมิสเตอร์ไมลส์เพื่อหาพ่อให้กับเด็กในท้อง
คุณผู้อ่านอาจชักจะสงสัย เอ๊ะ! เรื่องมันเป็นอย่างไรกันแน่ คืออย่างนี้ครับ การ ‘นวดตัว’ ในครั้งแรกสุดนั้น หาใช่แค่ใช้มือบีบนวดตัวกันอย่างเดียว แต่ยังมีนัยยะว่าแท้แล้วยอนกับอาสะใภ้ได้ร่วมเพศกัน ครั้นภายหลังเมื่ออาสะใภ้ได้เห็นยอนนมแตกพานเธอก็ตกใจจนเป็นลม นั่นเพราะทีแรกเธอคิดว่ายอนยังเป็นเด็ก แต่พอประจักษ์ความเป็นหนุ่มของยอน อาสะใภ้ก็ตกใจมากเพราะแสดงว่าเธอสุ่มเสี่ยงที่จะตั้งครรภ์กับยอนได้ ซึ่งมันเกิดขึ้นจริงๆ เธอเลยต้องไปหาผู้ชายจากเคปทาวน์มาเข้าพิธีแต่งงานด้วย
อันที่จริง อาการประหลาดของอาสะใภ้เห็นจะมิพ้น ‘ฮิสทีเรีย’ (Hysteria) ซึ่งผู้หญิงแสดงออกแรงปรารถนาทางเพศ ในยุคสมัยวิกตอเรียนของอังกฤษถือว่าเป็นอาการทางจิต สามารถทำให้ทุเลาลงได้ด้วยการนวดตัว โดยเฉพาะนวดบริเวณเชิงกรานเพื่อกระตุ้นส่วนของอวัยวะเพศให้ถึงจุดสุดยอด
ในบทที่ 2 เรื่องราวเกิดขึ้นตอนยอน สะตำป์โตเป็นหนุ่มแล้ว กำลังเรียนแพทย์และพักอยู่กับนายแพทย์มอริสซึ่งมีบุตรสาวนามว่า ‘อาดะลีน’ เธอมีชายคนรักที่ปรารถนาจะแต่งงานด้วย แต่นายแพทย์มอริสไม่ยินยอม อาดะลีนจึงเกิดอาการ ‘บอ’ ซึ่งก็คือความบ้าหรือมีอาการ ‘ฮิสทีเรีย’ ขึ้นมา มิหนำซ้ำ เธอยังพยายามยั่วยวนนักเรียนแพทย์ยอนบ่อยๆ ยอนทดลองใช้ไฟฟ้าช็อตรักษาเธอจนหายขาด นายแพทย์มอริสจึงไปตามผู้ชายที่อาดะลีนชอบพอให้มาแต่งงานด้วย เธอจะได้ไม่เป็นฮิสทีเรียอีก
โยงใยมายังบทที่ 3 ชื่อเสียงจากการรักษาผู้หญิง ‘บอ’ ด้วยวิธีช็อตไฟฟ้าทำให้ยอน สะตำป์ถูกตามตัวไปรักษาหญิงสาวคนหนึ่ง ที่บ้านของเธอมีน้าสาวอยู่ร่วมชายคาและแสดงท่าทีชอบพอนายแพทย์ยอน เมื่อเขารักษาหญิงสาวหายขาดแล้ว กลายเป็นว่าน้าสาวของเธอแกล้งทำให้ตนมีอาการคล้ายๆ กัน ทั้งนี้เพราะได้ยินฟังมาว่าการช็อตด้วยไฟฟ้าทำให้รู้สึกเสียวซ่าน ยอนเลยต้องย้อนกลับมารักษาอีกหน
เรื่องราวในเล่ม ผจญบอสิ้นสุดลงเพียงเท่านี้ แต่ดูเหมือนการรักษาผู้เป็นน้าสาวจะดำเนินต่อไปในหนังสืออีกเล่มหนึ่งคือ แอคสิเดนแตลส์ซึ่งเป็นเล่มที่ผมยังไม่เคยค้นพบ
ชัดเจนว่าตลอดทั้งเรื่องผจญบอครูเหลี่ยมจงใจนำเสนออาการฮิสทีเรีย (Hysteria) ซึ่งคือปรากฏการณ์สำคัญในสังคมอังกฤษสมัยวิกตอเรียน สืบเนื่องจากผู้หญิงมีความเก็บกดทางเพศค่อนข้างสูง ตามสายตาชาวตะวันตกนับแต่โบราณตราบศตวรรษที่ 19 อาการแบบนี้นับว่าเป็นโรคร้าย ผู้หญิงที่ถูกวินิจฉัยเป็นฮิสทีเรียมักมีมูลเหตุมาจากการขาดเพศสัมพันธ์หรือเจาะจงไปเลยว่าขาดการถึงจุดสุดยอด ส่วนกรณีของสาวรุ่นที่ปราศจากสามี หากเป็นโรคนี้การรีบแต่งงานย่อมเป็นหนทางหนึ่งที่จะรักษาโรคได้
‘ฮิสทีเรีย’ ยังถูกเรียกขานเป็นอาการประสาทเปลี้ย สืบเนื่องจากมดลูกมีการไหลเวียนเลือดผิดปกติทำให้ร่างกายบังเกิดความอึดอัด ฉะนั้น จึงเป็นที่เชื่อกันถึงวิธีรักษาอาการนี้ว่าจะต้องนวดคลึงบริเวณเชิงกรานหรืออวัยวะเพศหญิงให้พวกเธอถึงจุดสุดยอด ดังเห็นได้จากยอน สะตำป์นวดคลึงให้กับอาสะใภ้ในบทแรกสุดของ ผจญบอ ส่วนในบทที่ 2 และบทที่ 3 ยังแสดงถึงวิทยาการทางการแพทย์ที่ใช้รักษาอาการฮิสทีเรีย (Hysteria) แบบสมัยใหม่นับแต่ช่วงครึ่งหลังของศตวรรษที่ 19 เป็นต้นมา กล่าวคืออาศัยเครื่องมือกระแสไฟฟ้า ซึ่งจากท้องเรื่อง ยอน สะตำป์ก็รักษาหญิงสาวที่ ‘บอ’ ด้วยการช็อตไฟฟ้าบนเรือนร่างพวกเธอ
สิ่งที่ผมเล่ามานั้น สามารถจะเลาะสายตาอ่านอย่างเพลิดเพลินและสนุกสนานได้จากหนังสือ เทคโนโยนี : ประวัติศาสตร์ไวเบรเตอร์ ฮิสทีเรีย และออกัสซั่มของผู้หญิง เป้าหมายของเรเชล พี. เมนส์อาจจะพยายามบ่งชี้พัฒนาการอันนำไปสู่การถือกำเนิดและมีอยู่ของ ‘เครื่องไวเบรเตอร์’ ที่เราๆ ท่านๆ คงพอจะคุ้นเคยกันบ้างในปัจจุบัน แต่เธอก็ปูพื้นให้ผู้อ่านเห็นภาพสะท้อนของอาการ ‘ฮิสทีเรีย’ ในประวัติศาสตร์ รวมถึงวิธีการรักษาทั้งแบบเดิมและแบบที่เริ่มอาศัยเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ไว้น่าสนใจทีเดียว ก็ดูสิครับ ขนาดผมย้อนไปศึกษาหลักฐานชั้นต้นของวรรณกรรมที่นำเสนอโดยคนไทยเมื่อราวๆ 100ปีก่อนแท้ๆ ยังฉวยใช้คุณประโยชน์จากหนังสือเล่มนี้ได้เลย
วกกลับมาที่ ผจญบอหากมองในแง่ของงานเขียนนำเสนอเรื่องเพศและกามารมณ์แล้ว แฟนตาซี (fantasy) สำคัญที่ครูเหลี่ยมใช้เย้ายวนแรงปรารถนานักอ่านคงจะมิพ้นอาการ ‘ฮิสทีเรีย’ ที่เป็นสื่อกลางชักนำให้ตัวละครมีกิจกรรมทางเพศกัน อย่างไรก็ดี ผจญบอมิได้แสดงให้เห็นถึงฉากร่วมเพศโจ่งแจ้งตรงไปตรงมาเหมือนงานเขียน ‘วรรณกรรมโป๊’ เล่มอื่นอันลือชาของครูเหลี่ยมอย่างเช่นเรื่องกล่อมครรภ์ เป็นต้น แต่กลับบอกเล่าอ้อมๆ แล้วแฝงนัยยะไว้ รวมถึงพยายามเอาวิทยาศาสตร์ทางการแพทย์มาใช้เป็นอุปลักษณ์แทน เนื้อหาลักษณะนี้คล้องจองกับสถานการณ์ยุคสมัยวิกตอเรียน (Victorian era) ของอังกฤษ ห้วงยามที่มีการใช้แนวคิดวิทยาศาสตร์การแพทย์ (Medicalization) อธิบายปัญหาสังคมต่างๆ ขณะเดียวกันก็พยายามควบคุมและสร้างกรอบศีลธรรมทางสังคมโดยอาศัยวิทยาศาสตร์เป็นเครื่องมือ ยิ่งพฤติกรรมทางเพศที่ถูกสายตาคนมองว่าผิดปกติด้วยแล้วก็ย่อมจะได้รับความสนใจจากแวดวงการแพทย์ แน่ล่ะ ‘ฮิสทีเรีย’ อยู่ในข่ายอาการยอดนิยมที่เกิดขึ้นกับผู้หญิงในยุคนั้น
ความสนใจต่อเรื่องเพศและวิทยาศาสตร์ทางการแพทย์ของครูเหลี่ยม รวมถึงความหาญกล้าจะเปิดพื้นที่ให้เรื่องราวแบบนี้ได้โลดแล่นในสังคมสยามช่างเป็นอะไรที่ชวนทึ่งและติดตามอีกทั้งน่าฉุกคิดว่าสังคมสยามเมื่อราว 100 ปีก่อนมีความเข้าใจต่ออาการ ‘ฮิสทีเรีย’ แบบใดกัน ซึ่งผมจะขะมักเขม้นสืบค้นคำตอบต่อไป
สำหรับข้อสงสัยเคลือบแคลงในแง่ที่ ผจญบอเป็นการแปลมาจากงานเขียนของฝรั่งหรือครูเหลี่ยมเขียนขึ้นมาเองทั้งหมดนั้น ตามความเห็นของผม ยังมิอาจชี้ชัดได้เลยทีเดียว จริงอยู่ ถ้ามองผาดเผินย่อมคาดเดาจากลักษณะท้องเรื่องว่าเป็นเรื่องแปลแน่ๆ เพราะใช้ฉากในประเทศอังกฤษและมีตัวละครฝรั่ง แต่ต้องไม่ลืมเชียวครับ ครูเหลี่ยมคนนี้เคยแต่งเรื่องที่ใช้ฉากในดินแดนไอยคุปต์และมีตัวละครฝรั่งขึ้นมาด้วยฝีมือตนเองทั้งหมดโดยไม่ได้แปลมาจากของใครเลย นั่นคือนวนิยายเรื่อง นางเนระมิตร
กระนั้น ผมค่อนข้างมั่นใจว่าในการสร้างสรรค์ผลงานเรื่อง ผจญบอครูเหลี่ยมย่อมได้รับอิทธิพลมาจากงานเขียนพอร์นอกราฟี (pornography) หรือหนังสือโป๊ใต้ดินของอังกฤษยุควิกตอเรียน โดยเฉพาะงานเขียนของวิลเลียม ลาเซนบี (William Lazenby) ผมสังเกตจากการที่ ผจญบอกล่าวถึงพื้นที่คอร์นวอล (Cornwall) อันเป็นบริเวณที่ลาเซนบีนิยมใช้เป็นฉากในงานเขียนของเขา นั่นพอจะพิสูจน์ได้ว่าการนำเสนอเรื่องเพศและพฤติกรรมร่วมเพศของครูเหลี่ยมน่าจะมีฐานมาจากงานของนักทำหนังสือโป๊ชาวอังกฤษคนสำคัญผู้นี้มิใช่น้อย แม้จะไม่รู้ชัดถึงต้นแบบตัวจริงของเนื้อเรื่องในพากย์ไทยมาจากเรื่องที่มีชื่อว่าอะไรในพากย์อังกฤษก็ตามเถอะ
ประวัติศาสตร์ ‘ฮิสทีเรีย’ หรือ History of Hysteria ในเมืองไทยดูเหมือนยังไม่ค่อยมีใครศึกษาค้นคว้าจริงจังเท่าไหร่ แต่กระนั้น การเกิดขึ้นและมีอยู่ของวรรณกรรมอย่างผจญบอซึ่งครูเหลี่ยมได้นำเสนอภาพสะท้อนอาการ ‘ฮิสทีเรีย’ ต่อสายตานักอ่านชาวสยามเมื่อราวๆ 100 ปีก่อน น่าจะทำให้ใครต่อใครในยุคปัจจุบันนี้อดมิได้ที่จะร้อง ว้าว! (Wow !) กันอยู่บ้างกระมัง
อ้างอิงข้อมูลจาก
- Colette Colligan, “Anti-Abolition Writes Obscenity: The English Vice, Transatlantic Slavery, and England’s Obscene Print Culture,” International Exposure: Perspectives on Modern European Pornography, 1800–2000, Edited by Lisa Z. Sigel . New Brunswick, New Jersey, and London: Rutgers University Press, 2005, p. 67-99
- กล่อมครรภ์. ม.ป.ท., ม.ป.ป.
- นายสำราญ.นางเนระมิตร. ม.ป.ท., 2459
- ผจญบอ. ม.ป.ท., ม.ป.ป.
- เมนส์,เรเชล พี. เทคโนโยนี: ประวัติศาสตร์ไวเบรเตอร์ ฮิสทีเรีย และออร์กัสซั่มของผู้หญิง (The Technology of Orgasm: “Hysteria,” the Vibrator, and Women’s Sexual Satisfaction). แปลโดย นภ ดารารัตน์. กรุงเทพฯ:พารากราฟ, 2559.
- สรณัฐ ไตลังคะ. “เพศวิถีและอารมณ์ปรารถนา: ครูเหลี่ยมกับนวนิยายอีโรติกของไทย,”ในจะเก็บเกี่ยวข้าวงามในทุ่งใหม่: ประวัติวรรณกรรมไทยร่วมสมัยในมุมมองร่วมสมัย. บรรณาธิการโดย
- สรณัฐ ไตลังคะ,นัทธนัย ประสานนาม. กรุงเทพฯ : ภาควิชาวรรณคดี และคณะกรรมการฝ่ายวิจัยคณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ร่วมกับสำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย กระทรวง วัฒนธรรม, 2557