ฉันบันทึกถึงเรื่องนี้เพื่อเผยแพร่ในปี 2011 โดยเหตุการณ์รับเสด็จที่กล่าวถึงนั้นเกิดขึ้นในปี 2003 วันนี้ เดือนตุลาคม ปี 2016 13 ปีผ่านไป แต่เหตุการณ์ยังประทับอยู่ในใจไม่รู้ลืม
เมื่อปี 2003 ประเทศไทยได้รับเลือกให้เป็นเจ้าภาพในการจัดประชุมเอเปค หรือกลุ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย มีผู้นำจากชาติต่างๆ ที่ทรงอิทธิพลมากมายเดินทางมาจากทั่วโลก มีการจัดการชุมนุม การประชุม และการแสดงเพื่อต้อนรับและให้เกียรติผู้เข้าประชุมอยู่มากมายหลายงาน ฉันได้มีโอกาสเข้าร่วมงานหนึ่งในนั้น เป็นการแสดงต่อหน้าประธานาธิบดีของประเทศสหรัฐอเมริกาในสมัยนั้น คือนายจอร์จ ดับเบิลยู บุช
นั่นเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ก็จริง แต่คงไม่เท่ากับการที่ฉันจะได้เข้าไปทำการแสดงสั้นๆ นั้นในพระบรมมหาราชวังต่อหน้าพระพักตร์ผู้ครองหัวใจคนไทยทั้งประเทศ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
เมื่อเราต้องทำสิ่งที่เราไม่เคยทำ มันจะมีความตื่นเต้นอยู่เสมอ จริงๆ มันก็เป็นเพียงการแสดงสั้นๆ ของใครหลายต่อหลายคนที่มารวมตัวกันเป็นชุดการแสดงที่ว่าด้วยความรักความสามัคคีของคนไทยตั้งแต่สมัยอดีตจนถึงปัจจุบัน ฉันได้เป็นหนึ่งในชาวบ้านบางระจัน ที่ตัดสินใจจะจับอาวุธขึ้นสู้ แม้รู้ว่าพวกของตนจะน้อย แต่ก็ไม่ยอมนั่งรอให้ถูกศัตรูบุกโจมตีอยู่เฉยๆ
เมื่อเล่นเป็นนักรบ เราก็ต้องพกอาวุธ มีฝรั่งตัวโตๆ เข้ามาตรวจดูอาวุธที่พวกเราใช้ ซึ่งถ้าจะพูดให้ถูกก็คือมันเป็นแท่งไม้ประกอบกันง่ายๆ ให้ดูเป็นรูปร่างของดาบ โดยไร้ซึ่งความแหลมคมใดๆ ทั้งสิ้น ใครบางคนบอกว่าฝรั่งพวกนั้นเป็นบอดี้การ์ดส่วนตัวของท่านประธานาธิบดี จึงมีความเป็นห่วงในสวัสดิภาพของผู้นำประเทศ และต้องการให้การแสดงชุดนี้ของเราปราศจากซึ่งอาวุธ ครั้นผู้ฝึกซ้อมอธิบายไปว่า ‘อาวุธ’ ที่เราใช้มีลักษณะอย่างไร พวกเขาจึงขอเข้ามาดูให้เห็นกับตา
“ใครเขาจะไปทำอันตรายอะไรนายพวกคุณ ไม่ได้ว่ารักว่าชอบอะไรเป็นพิเศษหรอก แต่นายของพวกเราประทับอยู่ข้างๆ นายคุณต่างหาก” เสียงใครบางคนพึมพำขึ้นเมื่อคล้อยหลังบอดี้การ์ดเหล่านั้น เพราะการแสดงในคืนนั้นเป็นการแสดงหน้าพระพักตร์ พวกเราทุกคนจึงแสดงบนยกพื้นเตี้ยๆ ไม่ใช่เวที
การแสดงดำเนินไปเรื่อยๆ เวลาการออกแสดงของตัวฉันก็ใกล้เข้ามา ฉันจำได้ว่าพยายามบอกตัวเองว่า-อย่าตื่นเต้น- มันก็แค่การแสดงอีกครั้งหนึ่ง สั้นๆ ง่ายๆ แล้วเดี๋ยวมันก็จะจบลงไปอย่างเรียบร้อย
ฉันก้าวออกไปสู่แสงไฟ ทำการแสดงไปตามบทโดยไม่พยายามสบสายตาของผู้ที่นั่งชมอยู่ แต่ใครจะอดใจไหว แล้วทันทีที่มองผ่านแสงไฟอันพราวพรายไปนั้นฉันก็ทำพลาด มันเป็นตอนที่ทุกคนต้องเอาดาบไม้ในมือชูขึ้น ก่อนบอกพร้อมๆ กันว่า “เราสู้” ฉันเผลอไผลไปชั่วขณะเมื่อเห็นผู้ที่กำลังนั่งดูอยู่แถวหน้าสุด รู้ตัวอีกทีคนรอบๆ ก็ยกดาบขึ้นเสียแล้ว
ไวเท่าความคิด, ฉันรีบตวัดดาบไม้ในมือขึ้นอย่างแรง เพื่อจะให้มันชูสลอนขึ้นมาทันคนข้างๆ อาจจะด้วยความแรงของการสะบัด อาจจะเพราะมือสั่นๆ ของฉัน อาจจะเป็นเพราะมันถึงช่วงที่เสียงการแสดงเริ่มจะซาลงแล้ว แต่เสียงเราสู้ที่ฉันตะโกนนั้นดูจะดังจนผิดปกติ และดาบไม้ที่ยึดกับตัวด้ามบางๆ นั่นก็สั่นง่อกแง่กอย่างน่าหวาดเสียวว่าจะหล่นลงมา
บอดี้การ์ดในสูทสีดำขยับตัวเคลื่อนไหวทันที บ้างก็จับที่หูฟัง บ้างก็แตะในสูท พร้อมขยับตัวในท่าระวัง แต่ฉันจะสนอะไร นาทีนั้นอะไรก็ไม่มีความหมายเท่ากับฉันได้แสดงแล้ว แสดงต่อหน้าพระพักตร์ ที่มีรอยแย้มสรวลนิดๆ กลับมาถึงผู้แสดงทุกคน
เมื่อการแสดงเสร็จสิ้น พวกเราทุกคนได้ไปส่งเสด็จฯ ฉันได้หมอบกราบอยู่แถวหน้า มองเห็นรองเท้าที่เดินผ่านไปแล้วก็ได้แต่แอบนึกในใจว่าจะเป็นใครกันหนอ ที่เดินผ่านหน้าเรา เมื่อส่งเสด็จฯแล้ว พวกเราก็เตรียมตัวกลับ แต่มีคนมาบอกก่อนว่าอย่าเพิ่งกลับ เดี๋ยวจะเสด็จฯเข้ามาตรงนี้ให้ได้เข้าเฝ้าอีกที ทุกคนพร้อมใจกันหมอบรอ แล้วฉันก็เห็นรองเท้าที่เดินกลับมาอีกครั้ง
ฉันก้มหัวไว้ สายตามองต่ำ ได้ยินเสียงพูดคุยดังไล่มาเป็นระยะ แล้วรองเท้าคู่หนึ่งก็หยุดลงตรงหน้า “เห็นตอนที่ยกดาบขึ้นมาหรือเปล่า บอดี้การ์ดรีบเข้ามาดูกันใหญ่” ฉันไม่เห็นหรอก ฉันไม่เห็นอะไรเลยในนาทีนั้น และฉันไม่เคยคิดมาก่อนเลยด้วยว่าจะได้เห็นพระพักตร์ใกล้ๆ ถึงเพียงนั้น
พระพักตร์ที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม ประโยคที่รับสั่งด้วยนั้นธรรมดาจนฉันแทบจะลืมไปว่าทรงเป็นถึงเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน ทรงทำท่าเลียนแบบกริยาของเหล่าบอดี้การ์ด
เสียงของพระองค์ที่มีรับสั่งด้วย ทรงมีรับสั่งกับฉัน
กับฉันคนนี้, นักแสดงเล็กๆ คนหนึ่ง คนธรรมดาที่ไม่ได้มีความหมายใดเลย13 ปีนั้นผ่านไปแล้ว ปีนี้ฉันเปิดโทรทัศน์ดูและเห็นคนไปรอกันแน่นขนัด หลายคนไปตั้งแต่เมื่อคืน บางคนก็ตื่นมาแต่เช้า ทั้งที่คนเยอะขนาดนั้น เบียดเสียดขนาดนั้น ไม่สะดวกสบายขนาดนั้น ทุกถนนถูกถมไปด้วยหยาดน้ำตา เมืองเงียบอย่างที่ไม่เคยเงียบมาก่อน
“พระร่มโพธิ์ของพระพุทธเจ้าข้าเอย
พระทูลกระหม่อมแก้วพระพุทธเจ้าข้าเอย
พระเสด็จไปสู่สวรรค์ชันใด ละข้าพระบาทยุคลไว้พระพุทธเจ้าข้าเอย
พระทูลกระหม่อมแก้วพระพุทธเจ้าข้าเอย
พระยอดฟ้าพระสุเมรุทองพระพุทธเจ้าข้าเอย
พระทูลกระหม่อมแก้วพระพุทธเจ้าข้าเอย
พระเสด็จผ่านพิภพแห่งใด ข้าพระบาทจะตามเสด็จไปพระพุทธเจ้าข้าเอย
พระทูลกระหม่อมแก้ว พระพุทธเจ้าข้าเอย
พระทูลกระหม่อมแก้ว พระพุทธเจ้าข้าเอย
พระทูลกระหม่อมแก้ว พระพุทธเจ้าข้าเอย”
นี่เป็นบทขับร้องตามธรรมเนียมของนางร้องไห้ ที่ได้ถูกยกเลิกไปเมื่อต้นรัชกาลที่6 โดยไม่โปรดธรรมเนียมปฏิบัตินี้ และระบุไว้ในพระราชพินัยกรรมตอนหนึ่งว่า ” ถ้าผู้ใดรักใคร่ข้าพเจ้า ปรารถนาจะร้องไห้ก็ร้องไห้จริงๆ เถิดอย่าร้องเล่นอย่างละครเลย”
ฉันเชื่อว่าวันนี้ ทุกหยาดน้ำตามาจากหัวใจ ร่วมส่งเสด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศผู้เป็นที่รักยิ่งของชาวไทยไปพร้อมกัน