1.
วันที่ 13 ธันวาคม ค.ศ.1978 เป็นวันเกิดของเอลิซาเบ็ธ พีสท์ (Elizabeth Piest) เธอรอรับลูกชาย อายุ 15 ปีที่ทำงานอยู่ร้านขายยาและจะเลิกงานตอน 3 ทุ่ม แต่ทางลูกแจ้งแม่ว่า จะไปคุยกับบริษัทก่อสร้างใกล้ๆ กันก่อน เผื่อจะได้เปลี่ยนงาน เพราะบริษัทแห่งนี้ให้เงินรายชั่วโมงเยอะกว่าร้านขายยา และนั่นกลายเป็นประโยคสุดท้ายที่เธอจะได้พูดกับลูก
หญิงสาวขับรถกลับบ้าน ไปเจอครอบครัว ห้าทุ่มแล้วไม่มีวี่แววของลูกชาย ในที่สุดหญิงสาวจึงเข้าแจ้งความกับตำรวจทันที เจ้าหน้าที่ออกตามหาเด็กหนุ่มวัย 15 ปี แต่ไร้วี่แวว ไม่มีใครพบ
ในคืนนั้น ตำรวจพบว่าบริษัทก่อสร้างที่ลูกของพีสท์ไปคุย เป็นบริษัทของจอห์น เวยน์ เกซี่ (John Wayne Gacy) นักธุรกิจร่างอ้วน ผู้โอบอ้อมอารี ชอบแต่งเป็นตัวตลกสันทนาการให้กับเด็กๆ ในชุมชน เขาหย่าร้าง แต่เป็นคนดี ชอบรณรงค์หาเสียงให้กับชุมชนไปเลือกตั้งตัวแทนพรรคเดโมแครต
ความเป็นคนดีและอารีของจอห์น ทำให้ทุกคนขมวดคิ้วสงสัย ไม่มีใครคิดว่าจอห์นจะเป็นคนลักพาตัวลูกชายของพีสท์ได้ แต่ตำรวจมีข้อมูลพบว่าจอห์นเคยมีประวัติอนาจารเด็ก แม้โทษแค่ปรับ แต่ก็เป็นประวัติที่สำคัญ
เจ้าหน้าที่อาศัยเบาะแสนี้ เรียกตัวจอห์นมาที่โรงพักเพื่อพูดคุย ชายหนุ่มตอบตกลง จอห์นมาโรงพักเกือบตี 3 ในสภาพกางเกงเปื้อนโคลน ทุกคนมองดูด้วยความสงสัย
ตำรวจโชว์หมายค้นบ้านที่ขอมา แม้จอห์นจะขัดขืน แต่กฎหมายก็ต้องเป็นกฎหมาย พวกเขาค้นบ้านจอห์นในคืนนั้นทันที ตำรวจพบม้วนฟิล์มตกในบ้าน ทางครอบครัวพีสท์ยืนยันว่า เป็นม้วนฟิล์มที่ลูกชายจะมอบให้กับสาวคนหนึ่ง
แม้จะไม่พบหลักฐานอื่นในบ้าน แต่ตำรวจเชื่อว่า จอห์นพาลูกชายของพิสท์มาบ้านอย่างแน่นอน
การหายตัวไปของเด็กหนุ่มวัย 15 ปีกลายเป็นจุดเริ่มต้นแห่งเรื่องราวสุดสยอง กลายเป็นว่าที่จอห์นมาหาตำรวจช้า ก็เพราะมัวแต่ขับรถพาศพพีสท์ไปทิ้งในที่ห่างไกล
จอห์น เวยน์ เกซี่ ดูคล้ายคนดี แต่ความจริงมีปีศาจซ่อนอยู่ในร่าง เขาคือผู้ต้องหาคดีนักฆ่าตัวตลกที่สังหารเด็กชายไป 33 ศพ เป็นฆาตกรต่อเนื่องสุดโหดที่ยังหลอกหลอนเมืองชิคาโกอยู่ตราบจนปัจจุบัน
ตำรวจที่เคยคุยกับจอห์นหลังถูกจับกุมเผยถึงแรงจูงใจในการฆ่าว่า
“การฆ่าทำให้เขามีอำนาจ
มันทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองเป็นพระเจ้า”
2.
จอห์นเกิดในครอบครัวที่มีพ่อขี้เมา ชอบทำร้ายร่างกายลูก พ่อมักจะตบหัวเขาเสมอ ทำให้จอห์นมีอาการปวดหัวอยู่เป็นประจำ มันเป็นอาการที่ฆาตกรต่อเนื่องหลายคนชอบเป็นกันตอนเด็ก
เด็กชายจอห์นมีรูปร่างที่อ้วนท้วม แถมยังเป็นขี้โรค นอนโรงพยาบาลเป็นว่าเล่น สิ่งนี้สร้างความไม่พอใจให้กับพ่ออย่างมาก เขาด่าลูกชายว่า เป็นคนสำออย แกล้งป่วยเพื่อจะได้โดดเรียน ยิ่งแม่ปกป้องลูกคนนี้เท่าไหร่ พ่อก็ยิ่งประณามว่า ไอ้ลูกแหง่ติดแม่ เป็นเด็กผู้หญิงแน่เลย
บาดแผลเหล่านี้ก่อกำเนิดในใจของจอห์น เป็นเบ้าหลอมตัวตนเขาในอนาคต
ไม่มีใครเป็นเด็กอ่อนแอตลอดไป เมื่อเข้าสู่วัยหนุ่ม จอห์นตัวใหญ่และดูแข็งแรงขึ้น แม้อาจไม่ใช่มาดนักกีฬา แต่เขาทำงานหลายอย่าง จนประสบความสำเร็จ วาทะการพูด การขายสินค้าทำให้ทุกคนนับหน้าถือตาในเมือง จนร่ำรวยมีชื่อเสียง ถึงขนาดที่พ่อต้องเอ่ยปากขอโทษที่มองลูกชายผิดไป
จอห์นมีชีวิตปกติสุข แต่งงานมีลูก เหมือนคนอเมริกันยุคนั้น ผิดแต่ว่าเมื่อเขาลิ้มรสความสำเร็จ ความร่ำรวย ความสะดวกสบาย ชายหนุ่มก็ปรารถนาที่จะทำตามแรงขับดันในใจ
ด้วยความเป็นเศรษฐีมีเงิน จอห์นจึงเปิดบาร์ไว้ให้คนในบริษัทมาดื่ม มาเล่นพูล ที่นั่นจอห์นมักจะพูดจาจีบเด็กหนุ่ม บางทีอาจถึงขั้นแตะเนื้อต้องตัว แต่หากเด็กหนุ่มขมวดคิ้วกับพฤติกรรมนี้ จอห์นจะหัวเราะแล้วบอกว่ามันเป็นการเล่นอะไรตลกๆ เท่านั้น
อย่างไรก็ดีแรงขับในจิตใจ ทำให้ชายหนุ่มก้าวข้ามขั้นไปอีก เขาล่อลวงลูกเพื่อนไปบ้าน อ้างว่าจะให้ดูหนังโป๊ ก่อนเอาเหล้าให้กิน แล้วมีอะไรกับเด็กหนุ่ม
หลายครั้งเขาอ้างว่าจะจ่ายเงิน
เพื่อให้เด็กวัยรุ่นผู้ชายไปบ้านเพื่อทดลองวิทยาศาสตร์
แต่นั่นคือการลวงเพื่อพาไปข่มขืน
หลังก่อเหตุเขาจะแบล็กเมล์เด็กหนุ่ม เพื่อจะได้คุกคามทางเพศต่อไป ในที่สุดก็มีผู้ปกครองแจ้งจับจอห์น ศาลตัดสินจำคุก 10 ปี แต่ด้วยความที่ร่ำรวยมีเงินจ้างทนาย จอห์นติดคุกจริงเพียงแค่ 18 เดือนเท่านั้น
ชายหนุ่มหย่ากับภรรยาคนแรกจากการติดคุกด้วยเรื่องอื้อฉาว สมัยนั้นการมีอะไรกับเพศเดียวกันเป็นเรื่องที่รับไม่ได้ในสังคมอย่างมาก จอห์นแต่งงานใหม่และมีลูกสาว 2 คน ในที่สุดเขาก็สารภาพความจริงกับภรรยาคนนี้ว่า เขาเป็นไบเซ็กชวล ตลอดเวลาชายหนุ่มสะสมภาพโป๊ชายเป็นจำนวนมาก
สุดท้ายภรรยาต้องฟ้องหย่า โดยอ้างเหตุผลกับศาลปลอมๆ ว่าจอห์นมีผู้หญิงอื่น
การหย่าร้างทำให้จอห์นโดดเดี่ยวเดียวดาย และมันได้ปลุกปีศาจในตัวเขาออกมา เขาซื้อบ้านหลังหนึ่งในย่านชุมชนน่าอยู่ บ้านน่ารัก ที่ถูกใช้เป็นรังเชือดที่ซึ่งเขาฝังศพเด็กหนุ่มจำนวนมากในนั้น
จอห์นมักจะอาสาทำงานสังคม แต่งตัวเป็นตัวตลกไปแสดงให้เด็กๆ ดู บางจุดเขาจะหลอกล่อเด็กหนุ่มให้มาบ้านว่าจะแสดงกลกุญแจมือให้ชม ที่บ้านของเขาเอง จอห์นจะลงมือข่มขืนเด็กหนุ่ม ถึงขั้นลากไปทรมานด้วยอุปกรณ์มากมาย หากใครตายก็จะฝั่งไว้ชั้นใต้ดินของบ้าน
บางคราวจอห์นจะขับรถเตร็ดเตร่ไปทั่วเมือง หากเจอเด็กหนุ่มที่ถูกใจ เขาจะตรงเข้าไปหา บางครั้งก็หลอกล่อให้ขึ้นรถ บางคราก็ใช้ปืนจี้ไปข่มขืน
ในช่วงเวลานั้น เริ่มมีเด็กวัยรุ่นพูดกันมาก ถึงคนชื่อจอห์นที่จะลักพาตัวเด็กๆ ขึ้นรถไปฆ่า ไปข่มขืน ด้วยความเป็นคนร่างใหญ่มหาศาล มันสร้างความสยองขวัญให้เด็กวัยรุ่นเป็นอย่างมาก
เขากระทำการย่ามใจ คิดว่าจะรอดได้ จากฉากหน้าที่หลอกคนอื่นว่าเป็นคนรวย คนดี อุทิศตนเพื่อชุมชน จวบจนลูกชายของเอลิซาเบ็ธ พีสท์หายไป
ความจริงอันโหดร้ายก็กระชากหน้ากากปีศาจรายนี้ออกมา
3.
แม้ตำรวจจะไม่พบทรัพย์สินของหนุ่มน้อยพีสท์ในบ้านของจอห์น แต่พวกเขาพบแหวนรุ่นโรงเรียนวงหนึ่ง มันเป็นแหวนของเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่หายตัวไปเมื่อ 2 ปีก่อน เจ้าหน้าที่จึงเริ่มสอดแนมจอห์นทันที
แต่ด้วยความเป็นคนรวย จอห์นไม่ได้จำนน เขาจ้างทนายความฟ้องตำรวจกลับ หลังออกหมายค้นอย่างไม่ถูกต้อง และทำให้เสียชื่อเสียง อย่างไรก็ดีไม่กี่วันต่อมา ตำรวจจับกุมจอห์นที่ปั๊มน้ำมัน หลังไปซื้อกัญชา มันเป็นการกระทำผิดกฎหมาย พวกเขาคุมชายร่างใหญ่ไปที่โรงพัก ลงมือสอบสวนอย่างเข้มข้น
สำหรับฆาตกรต่อเนื่องนั้น การฆ่าไม่ใช่เรื่องต้องปกปิด แต่มันคือผลงานชิ้นโบว์แดง คือการประกาศศักดา คือวีรกรรมที่อยากเล่าคุยโว จอห์นก็เหมือนกับฆาตกรต่อเนื่องจำนวนมาก เมื่อโดนตำรวจเค้นสอบมากเข้า จอห์นก็เปิดปากออกมาว่า ได้ก่อเหตุฆาตกรรมเด็กหนุ่ม ถึง 30 ศพด้วยกัน
เรื่องนี้สร้างความตกตะลึงให้กับเจ้าหน้าที่อย่างมาก พวกเขาคิดว่าจอห์นแค่ลักพาตัวพิสท์ไปฆ่า แต่ไม่คิดว่าจะฆ่าคนเยอะขนาดนี้
จอห์นบอกว่าเขาฆ่าเด็กหนุ่มเพื่อป้องกันตัวที่ชั้นใต้ดินของบ้าน และเจ้าหน้าที่ก็พบศพที่นั่น แต่ไม่ใช่ศพเดียว มันมีศพเป็นจำนวนมาก ถึงขนาดอัยการที่ร่วมสอบสวนคดีต้องเอ่ยปากว่า
“นี่เป็นคดีสยองขวัญที่สุด
ในชีวิตการทำงานของผมเลย”
เมื่อเปิดปากรับสารภาพ เขาก็ชี้ว่ามีศพถูกทิ้งที่ไหนบ้าง คราวนี้เจ้าหน้าที่ระดมกำลังมาค้นบ้านจอห์น งัดทุกอย่าง ยิ่งงัดก็เจอศพ ชาวบ้านรุมล้อม ทุกคนไม่เชื่อว่าชายแสนดีรายนี้จะเป็นฆาตกรลักพาตัวฆ่าเด็กได้
ตำรวจค่อย ๆ ระบุตัวศพที่พบอย่างต่อเนื่อง มีการตั้งทีมมาดูแลคดีนี้โดยเฉพาะ เจ้าหน้าที่มาดูข้อบกพร่องว่าทำไมถึงไม่สามารถจับกุมจอห์นได้เร็วกว่านี้ เพราะอะไรถึงปล่อยให้ชายคนนี้ลอยนวลไปได้
“เพราะตอนก่อเหตุ ไม่มีพยาน จอห์นแค่ขู่ ล่อลวง บังคับเด็กขึ้นรถ มันเป็นสถานการณ์ 1 ต่อ 1 เท่านั้น”
ที่สำคัญหากเหยื่อรอด ใครจะกล้าแจ้งความจับจอห์นชายคนดีศรีสังคมกันเล่า พวกเขามีหลักฐานอะไรเพียงพอจะไปสู้ได้ ยังไม่นับว่า การถูกข่มขืนจากผู้ชายด้วยกันเองในสมัยนั้น เป็นเรื่องน่าอับอายเพียงไหน ไม่มีเด็กวัยรุ่นคนไหนอยากถูกมองว่าเป็นคนอ่อนแอ
จนเมื่อความจริงปรากฏ สิ่งที่เคยสงสัยก็กระจ่างชัดขึ้น เด็กวัยรุ่นจำนวนมากมาทำงานกับจอห์น แต่ไม่มีใครอยากอยู่กับจอห์น พฤติกรรมของเขามันน่าขยะแขยงและสุดสยอง กลายเป็นว่าวัยรุ่นต่างรู้ดีในพฤติกรรมของชายคนนี้อยู่แล้ว เพียงแค่ไม่มีใครกล้าพูดมันออกมาเท่านั้น
สื่อมวลชนเห็นภาพจอห์นใส่ชุดตัวตลก จึงตั้งสมญานามให้ว่า นักฆ่าตัวตลก แต่คนจำนวนมากเรียนขานเขาว่าปีศาจมากกว่า
เจ้าหน้าที่ซึ่งเข้าไปเก็บหลักฐานถึงกับพูดเกี่ยวกับจอห์นว่า
“ถ้าปีศาจจะมีชีวิตจริงๆ เขาก็อาศัยอยู่ที่บ้านหลังนี้แหละ”
4.
กว่าจะพบศพเด็กหนุ่มพีสท์ ก็ใช้เวลาเกือบ 3 เดือนนับตั้งแต่วันที่เขาหายตัวไป พีสท์ถือเป็นเหยื่อรายสุดท้ายที่ถูกจอห์นฆ่า ไม่มีใครรู้ว่าจอห์นใช้วิธีอะไรพาหนุ่มน้อยคนนี้ไปได้ รู้แค่ว่าพีสท์ถูกพาไปบ้านจอห์นเท่านั้น จอห์นไม่เคยให้รายละเอียดในคดี เช่นเดียวกับเหยื่อรายอื่น ๆ
ทั้งนี้กว่าจอห์นจะระบุจุดทิ้งศพพีสท์ เจ้าหน้าที่ก็ต้องไปเจอเสื้อหนาวของพีสท์ก่อน จอห์นจึงเปิดปาก คนในละแวกนั้นไม่มีใครทำใจเรื่องนี้ได้ บ้านของจอห์นถูกรื้อเพื่อหาศพจนพรุน สุดท้ายจึงถูกทำลายรื้อทิ้งไปเสีย เพื่อไม่ให้ใครจดจำได้ว่ามันคือบ้านของฆาตกรต่อเนื่องคนนี้
2 ปีหลังถูกจับกุม คดีถูกนำขึ้นไปสู่ชั้นศาล ใช้เวลาไต่สวนเพียง 5 อาทิตย์ อัยการนำนักจิตวิทยามายืนยันกับลูกขุนว่า จอห์นไม่ได้บ้า แต่เป็นคนมีสติรู้ตัวตอนทำผิดกฎหมายทุกอย่าง ฝ่ายรัฐโน้มน้าวหลักฐานที่เห็นได้จะแจ้งชัดเจน พร้อมกับชี้ให้เห็นความโหดเหี้ยมต่อหน้าลูกขุน
“เขาฆ่าคน เหมือนเขากำลังบี้แมลง”
“ชายคนนี้เหมาะสมกับการถูกประหารชีวิตทุกประการ ถ้าเขาไม่โดนประหาร ก็คงไม่มีใครในโลกนี้เหมาะกับโทษนี้แล้วล่ะ”
ในที่สุดลูกขุนก็ตัดสินว่าเขามีความผิดฐานฆ่าคนตาย ต้องโทษประหารชีวิตด้วยการฉีดยา
พลันที่คำตัดสินนี้ออกมา ครอบครัวของเหยื่อที่เสียชีวิตต่างตบมือพอใจกับผลพิพากษานี้อย่างมาก
แม้จอห์นจะพยายามยื่นอุทธรณ์โทษประหารต่อทุกชั้นศาล แต่ไม่สำเร็จ ในที่สุดเขาก็ถูกนำตัวเข้าสู่ลานประหารในวันที่ 10 พฤษภาคม ค.ศ.1994 อาหารมื้อสุดท้ายคือไก่กับกุ้งชุบแป้งทอด คำพูดสุดท้ายก่อนตายของจอห์นคือคำว่า
“Kiss My Ass”
5.
คดีนักฆ่าตัวตลกเปลี่ยนการทำงานของตำรวจอย่างชัดเจน พวกเขาพบว่าคดีเด็กหายหลายคนน่าจะถูกจอห์นฆ่า แต่พวกเขาไม่ได้ใส่ใจมากพอจะสืบคดีนี้ สุดท้ายลงเอยที่มีคนถูกสังหารมากมาย เด็กหนุ่มที่กำลังเติบโตมีความฝันหลายรายต้องมาจบชีวิตลงแบบนี้
การล้อมคอกจึงเกิดขึ้น เจ้าหน้าที่และหน่วยงานเริ่มรณรงค์ให้คำแนะนำแก่เด็กๆ เรื่องคนแปลกหน้า อย่าคุย อย่าไปด้วย อย่าและอย่ามากมาย เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้อีก
ทุกวันนี้ยังมีความพยายามหาว่าเด็กหายหลายคดี จะถูกจอห์นฆ่าหรือไม่ การสืบสวนยังดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง เช่นเดียวกับความพยายามระบุตัวชิ้นส่วนศพที่อยู่ในบ้านมรณะหลังนั้น พวกเขาเชื่อว่าจอห์นน่าจะฆ่าคนมากกว่านั้น
นักสืบคนหนึ่งรำลึกความหลังกับสื่อ ขณะนั่งคุยกับจอห์น ตอนนั้นเขาเองก็ไม่เชื่อว่านักฆ่าตัวตลกจะฆ่าคนเพียงแค่ 33 ราย มันน่าจะมีตัวเลขมากกว่านี้ เขาเลยถามจอห์นไปตรงๆ ว่าฆ่าไปกี่ศพกันแน่
“น่าจะ 45 นะครับ”
มันทำเอานักสืบถึงกับชะงัก แต่ก็ยังตั้งสติพอ แล้วถามว่าเขาเอาศพเหล่านี้ไปทิ้งไว้ที่ไหน จอห์นตอบตำรวจไปอย่างโอหัง สมฐานะฆาตกรสุดสยองว่า
“ผมไม่มีทางบอกคุณ เรื่องศพที่เหลือหรอก นั่นมันเป็นหน้าที่ของพวกคุณ เหล่านักสืบไม่ใช่เหรอ?”
ข้อมูลอ้างอิง