“ถ้าเราให้โดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) อยู่ในทำเนียบขาว 8 ปี เขาจะเปลี่ยนตัวตนของเรา รวมถึงโครงสร้างและชะตากรรมของประเทศนี้ไปตลอดกาล ซึ่งผมยอมให้สิ่งนี้เกิดขึ้นไม่ได้”
1.
โจเซฟ ไบเดน (Joseph Biden) เกิดเมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน ค.ศ.1942 ที่รัฐเพนซิลเวเนีย ในครอบครัวชนชั้นแรงงาน พ่อเป็นเซลส์ขายรถมือสองและรับทำควาสะอาดเตาผิง ครอบครัวเขาเป็นคาทอลิก บนโต๊ะอาหารเย็นพ่อของโจชอบให้ลูกๆ ทั้ง 4 คนถกเถียงกันเรื่องข่าวต่างประเทศเป็นประจำ สิ่งเหล่านี้ปลูกฝังเด็กๆ ทุกคน โดยเฉพาะโจซึ่งเป็นพี่คนโต ว่ากันว่าเมื่อโจเซฟ ไบเดนเป็นวุฒิสมาชิก พ่อของเขามักจะเดินทางไปที่สภาคองเกรส เพื่อฟังลูกปราศรัยอภิปรายอยู่เป็นประจำ
“พ่อเขาชอบสิ่งนี้มาก”
นอกจากนี้พ่อยังได้สอนโจว่า “นักมวยที่เป็นแชมป์นั้น ไม่ได้เก่งเพราะน็อกคนอื่น แต่เก่งเพราะสามารถลุกขึ้นยืนได้ไวเวลาโดนน็อกต่างหาก” ซึ่งนี่จะกลายเป็นคำสอนสำคัญในชีวิตของโจเลยทีเดียว
ส่วนแม่นั้น ตอนเด็กโจจะถูกเพื่อนล้ออยู่เป็นประจำเรื่องพูดติดอ่าง แม่จะบอกว่าหากเขาถูกรังแกก็ให้สู้ตอบ แต่เวลาโดนแม่ชีดุเรื่องนี้แม่จะเป็นออกโรงปกป้องเขาเอง โดยการตะคอกใส่แม่ชีว่า “อย่าพูดแบบนี้กับลูกของเธออีก” ต่อมาโจจะเอาชนะอาการติดอ่างได้ โดยการท่องบทกวียาวๆ ด้วยเสียงที่ดังฟังชัดหน้ากระจก
เมื่ออายุได้ 13 ปี ครอบครัวย้ายไปรัฐเดลาแวร์ ซึ่งเป็นที่ซึ่งโจเรียกว่าบ้านและจุดเริ่มต้นเส้นทางการเมืองของเขาเอง ตั้งแต่เด็กโจต้องทำงานเพื่อช่วยแบ่งเบาภาระครอบครัว ตอนเป็นนักเรียน เขาทำงานล้างกระจกในโรงเรียน รดน้ำต้นไม้ เงินส่วนนี้เอามาช่วยจ่ายค่าเล่าเรียน เพราะสำหรับเขาแล้ว
การเข้าเรียนในโรงเรียนเป็นสิ่งที่เขาต้องการมากที่สุด
เมื่อเข้ามหาวิทยาลัย แม้จะมีรูปร่างเล็ก แต่ก็ได้เข้าร่วมทีมอเมริกันฟุตบอล และยังได้เข้าร่วมต่อต้านการแบ่งแยกการเรียนระหว่างคนผิวสีกับคนผิวขาว โจเข้าร่วมกิจกรรมทางการเมือง มีมาดผู้นำ แม้จะไม่ค่อยมีเงินตามประสาลูกหลานชนชั้นแรงงานก็ตามที
เมื่อเรียนอยู่ปี 3 เขาได้ไปเที่ยวบาฮามาสและพบกับ นีเลีย ฮันเตอร์ (Neilia Hunter) ภรรยาคนแรก ตอนนั้นโจได้บอกความมุ่งมั่นแก่คนรักว่า เขาจะเป็นวุฒิสมาชิกให้ได้ก่อนอายุ 30 ปีและจากนั้นจะก้าวไปเป็นประธานาธิบดี หลังจบการศึกษาเขาทำงานเป็นทนายพร้อมกับเข้าร่วมกิจกรรมทางการเมืองของพรรคเดโมแครตอย่างแข็งขัน
เมื่อถึงปี ค.ศ.1971 เขาก็เข้าทำงานในการเมืองท้องถิ่น และในปี ค.ศ.1972 โจในวัย 29 ปีก็ตัดสินใจลงชิงตำแหน่งวุฒิสมาชิกของรัฐเดลาแวร์ ตอนนั้นแชมป์เก่าเป็นวุฒิสมาชิกจากพรรครีพับลิกัน หลายคนคิดว่าเขาไม่น่าจะชนะ แต่โจหาเสียงต่อเนื่องไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อย พี่น้องในครอบครัวทั้ง 3 คนต่างร่วมแรงร่วมใจเป็นทีมหาเสียง รวมถึงพ่อกับแม่ของโจด้วย
ในที่สุดโจเซฟ ไบเดนก็หักปากกาเซียนได้เป็นวุฒิสมาชิก นีเลียซึ่งตอนนี้แต่งงานกับโจ พร้อมทั้งเป็นแม่ของลูกทั้ง 3 คน เธอมีโอกาสได้เห็นสิ่งที่สามีตั้งใจไว้เป็นจริงแล้ว นั่นก็คือการเป็นวุฒิสมาชิก
น่าเสียดายที่หญิงสาวไม่มีโอกาสได้เห็นเขาลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดี ที่จริงฮันเตอร์มีช่วงเวลาเฉลิมฉลองความสำเร็จจากการเป็นวุฒิสมาชิกของสามีได้เพียงไม่กี่สัปดาห์ด้วยซ้ำไป
2.
2-3 อาทิตย์หลังชนะเลือกตั้งเป็นวุฒิสมาชิก วันที่ 8 พฤศจิกายน ค.ศ.1972 ขณะที่นีเลียพาลูกทั้ง 3 คนไปซื้อต้นคริสต์มาสในเมือง เมื่อซื้อเสร็จรถของภรรยาและลูกของโจก็ถูกชนที่สี่แยกไม่มีไฟจราจรโดยรถบรรทุก
อุบัติเหตุครั้งนี้ ทำให้นีเลียและลูกสาววัย 1 ขวบเสียชีวิตทันที ส่วนลูกชายทั้ง 2 คนอาการสาหัสถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลเหตุการณ์นี้ทำเอาเสียใจมาก เขาเกือบจะคิดฆ่าตัวตาย รวมถึงตั้งใจจะลาออกจากตำแหน่งวุฒิสมาชิกเพื่อมาดูแลอาการของลูกชาย 2 คน ดีที่มีคนห้ามปรามไว้ก่อน
ในช่วงสาบานตนเข้าตำแหน่ง โจเซฟ ไบเดน วุฒิสมาชิกแห่งรัฐเดลาแวร์ตัดสินใจสาบานตนข้างเตียงที่ลูกรักษาตัวอยู่ แทนที่จะเป็นกรุงวอชิงตัน เมือหลวง โดยตลอดเวลาที่ลูกพักฟื้นจากอาการบาดเจ็บ โจจะอาศัยอยู่ในเดลาแวร์และเดินทางด้วยรถไฟเพื่อไปวอชิงตันเพื่อทำหน้าที่วุฒิสมาชิก เมื่อถึงช่วงมืดก็จะนั่งรถไฟกลับบ้านเพื่อดูแลลูกชายทั้งสองคนอย่างดีที่สุด ซึ่งการเดินทางไปกลับแบบนี้ได้กลายเป็นกิจวัตรประจำวันของโจตลอดการทำหน้าที่เป็นวุฒิสมาชิก
“ฉันจะบอกทุกคนว่าหากอยากรู้จัก โจ ไบเดนอย่างใกล้ชิด
ให้มาที่เดลาแวร์ และเมื่อคุณเห็นเขากับครอบครัว
นั่นล่ะคุณจะรู้จักชายคนนี้”
เพื่อนสนิทเคยกล่าวไว้ระหว่างที่วุฒิสมาชิก
คอยดูแลครอบครัวหลังโศกนาฏกรรม
ตั้งแต่ปี ค.ศ.1973-2009 เป็นช่วงเวลาที่โจทำงานเป็นวุฒิสมาชิกอย่างต่อเนื่อง มีผลงานโดดเด่นในเรื่องการต่างประเทศ และการทำงานร่วมกับคนต่างพรรคได้อย่างดีเยี่ยมคนหนึ่ง
ในช่วงนั้น โจก็ได้พบกับ จิล ไบเดน (Jill Biden) ซึ่งจะมาเป็นภรรยาคนปัจจุบัน จิลเป็นครูสอนหนังสือภาษาอังกฤษ เธอเคยแต่งงานตอนเรียนมหาวิทยาลัยมาแล้วก่อนหย่าร้างไป เธอมาทำงานเป็นคุณครูและเป็นเพื่อนกับน้องชายของโจ ซึ่งน้องชายคนนี้ได้จัดการนัดบอดให้ทั้งสองได้มาพบกัน
หลังจากทั้งคู่เดทกันหลายครั้ง ลูกๆ ของโจก็บอกให้พ่อแต่งงานใหม่กับจิลสักที เมื่อทั้งสองแต่งงานกัน เธอได้ลาออกจากการเป็นครูและเลี้ยงลูกชาย 2 คน พร้อมกับตั้งท้องลูกสาวด้วย เมื่อลูกๆ โตกันหมดแล้ว จิลตัดสินใจกลับไปสอนหนังสือตามปกติและไปลงเรียนจนจบปริญญาเอกอีกด้วย
สำหรับลูกทั้ง 3 คนของโจเซฟ ไบเดนนั้น โบว์ ไบเดน (Beau Biden) ลูกชายคนโต ทำงานเป็นตุลาการในกองทัพและเสียชีวิตด้วยวัยเพียง 46 ปีเท่านั้นด้วยโรคมะเร็งสมอง ซึ่งโบว์ป่วยมาหลายปี เขาเสียชีวิตลงในขณะผู้เป็นพ่อกำลังเป็นรองประธานาธิบดี ขณะที่ลูกสาวคนเล็กอันเป็นพยานรักของโจและจิลนั้น ทำงานด้านสังคมอย่างเงียบๆ ในรัฐเดลาแวร์
แต่ลูกคนที่โด่งดังมากหน่อย ก็คือ ลูกคนกลางอย่าง ฮันเตอร์ ไบเดน (Hunter Biden) ซึ่งเป็นทนายและกลายเป็นล็อบบี้ยิสต์ ฮันเตอร์เคยไปนั่งเป็นบอร์ดบริษัทน้ำมันในยูเครนในช่วงที่พ่อตัวเองเป็นรองประธานาธิบดี ซึ่งสื่อเอียงขวาจำนวนหนึ่งกล่าวหาว่า ฮันเตอร์เข้าไปกดดันรัฐบาลยูเครนให้ปลดอัยการที่ต้องการสอบสวนบริษัทน้ำมันแห่งนี้ ซึ่งแม้จะไม่มีหลักฐานแน่ชัด แต่ก็มีคนจำนวนหนึ่งเชื่อ โดยเฉพาะประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ที่ได้ใช้อำนาจบีบรัฐบาลยูเครนให้สอบสวนฮันเตอร์ว่าเรื่องนี้มีมูลหรือไม่ โดยใช้ความช่วยเหลือด้านอาวุธที่รัฐบาลยูเครนต้องการไว้ค้ำยันกับรัสเซียมาเป็นข้อต่อรองดังกล่าว
เหตุการณ์นี้เลยกลายเป็นเรื่องอื้อฉาวในอเมริกามาก และเป็นเหตุผลหลักที่ ส.ส.ตัดสินใจยื่นถอดถอนประธานาธิบดีโดนัลด์ เพราะถือว่าเอาผลประโยชน์ส่วนตัวไปทับซ้อนกับผลประโยชน์ของชาติ แม้สภาล่างจะมีมติถอดถอน แต่สภาบนอย่างวุฒิสมาชิกซึ่งพรรครีพับลิกันครองเสียงข้างมาก ตัดสินใจไม่ยื่นถอดถอน เรื่องราวจึงจบไปแบบเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันอย่างมาก
หลังเกิดเรื่องนี้ ฮันเตอร์ลาออกจากบริษัทหลายแห่ง
โดยเขาไม่ต้องการอยู่ในวงขัดแย้ง
หรือถูกกล่าวหาว่ามีผลประโยชน์ทับซ้อน
ในระหว่างที่พ่อกำลังหาเสียงเป็นตัวแทน
ชิงประธานาธิบดีของพรรคเดโมแครตอีกต่อไป
หากโจ ไบเดนได้เป็นตัวแทนชิงประธานาธิบดีของเดโมแครตจริงๆ การมาเผชิญหน้ากับโดนัลด์ ทรัมป์ คาดการณ์ได้ว่าเรื่องราวของฮันเตอร์จะเป็นประเด็นสำคัญที่ทั้งสองคนคงจะได้ดีเบทโต้เถียงกันอย่างเผ็ดร้อนอย่างแน่นอน
3.
ที่จริงแล้วโจเคยลงแข่งขันเป็นตัวแทนชิงตำแหน่งประธานาธิบดีของพรรคเดโมแครตมาแล้ว 2 ครั้งด้วยกัน โดยครั้งแรกเกิดขึ้นในปี ค.ศ.1987 แต่ลงแข่งได้ไม่นานก็ต้องถอนตัว เพราะมีคนจับได้ว่าคำปราศรัยของเขานั้นเลียนแบบคำปราศรัยของนักการเมืองพรรคแรงงานอังกฤษ ซึ่งตอนนั้นโจถือเป็นตัวเต็งเหมือนกัน เพราะทั้งหนุ่ม ทั้งสด และน่าสนใจ แถมระดมเงินทุนหาเสียงได้เยอะมาก แต่เพราะการลอกเลียนคำปราศรัยนี่เอง ทำให้ถูกสื่อขุดคุ้ยว่าโจเคยลอกเลียนคำปราศรัยของนักการเมืองในอดีต เรื่องลามไปถึงการลอกข้อความโดยไม่อ้างอิงตอนเรียนกฎหมายด้วย หลังจากถูกโจมตีอย่างหนักหน่วง เขาจึงต้องถอนตัวในการแข่งขันครั้งนั้นไป
ความพยายามครั้งที่ 2 เกิดขึ้นในปี ค.ศ.2007 แต่เขาก็ต้องถอนตัวไปตั้งแต่ยกแรกๆ เพราะการแข่งขันในครั้งนั้นเป็นการสู้กันระหว่างฮิลลารี คลินตัน (Hillary Clinton) กับบารัก โอบาม่า (Barack Obama) ทำให้คะแนนของไบเดนได้น้อยอย่างยิ่ง แต่ต่อมาโอบาม่าได้ติดต่อให้โจ ไบเดนเป็นรองประธานาธิบดี จึงเรียกได้ว่าการแข่งขันครั้งนี้ก็พอถือว่าโจประสบความสำเร็จ เพราะได้ทำงานในฐานะฝ่ายบริหารถึง 8 ปีเต็ม ซึ่งประสบการณ์เป็นวุฒิสมาชิกมาอย่างยาวนาน ทำให้เขาช่วยโอบาม่าผลักดันนโยบายหลายอย่าง และยังทำงานร่วมกับพรรครีพับลิกันได้ดีอีกด้วย
ที่สำคัญคือภาพลักษณ์ของโจที่ถูกใจแรงงานผิวขาวนี่เอง
ก็มีส่วนให้โอบาม่าชนะเลือกตั้งทั้ง 2 ครั้ง
หลังจาก 8 ปีในฐานะรองประธานาธิบดี โจเซฟ ไบเดนตัดสินใจหยุดพักงานการเมือง เขาก่อตั้งมูลนิธิร่วมกับภรรยาทำงานการกุศล แต่แล้วเมื่อโดนัลด์ ทรัมป์ได้เป็นประธานาธิบดี เขาก็ตัดสินใจลงแข่งเป็นตัวแทนอีกครั้ง แม้ช่วงแรกๆ คะแนนของเขาจะน้อยมากจนมีแววว่าจะแพ้ แต่เมื่อได้รับคะแนนเสียงจากคนผิวสีที่ชื่นชอบเขาตอนทำงานกับโอบาม่า คะแนนของโจก็ดีขึ้นเรื่อยๆ จนมีคะแนนนำ ทำให้โอกาสชนะในตอนนี้แทบจะอยู่ไม่ไกลแล้ว
4.
เอาเข้าจริงนโยบายของโจ ไบเดนก็ไม่ต่างจากผู้สมัครคนอื่นๆ อย่างเรื่องการเรียกร้องความเป็นธรรมในสังคม แต่นโยบายโจนั้นถูกมองว่าไม่ซ้ายมากนัก และผู้สมัครคนอื่นๆ ที่ถอนตัวไปก็ล้วนสนับสนุนโจด้วย รวมถึงสื่อมวลชนกระแสหลักที่ต่างสนับสนุนเขา มองว่าโจมีโอกาสเอาชนะโดนัลด์ ทรัมป์ได้ดีกว่าเบอร์นี่ แซนเดอร์ส (Bernie Sanders)
สำหรับนโยบายที่น่าสนใจของโจ เช่น เรื่องหนี้กู้ยืมการศึกษาซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ในอเมริกา โจเสนอว่าหากลูกหนี้ทำงานให้กับรัฐการ 10 ปี ก็ควรจะยกหนี้ไปเสีย โดยเขาเสนอให้มีมาตรการในการลดหนี้ แต่ไม่ใช่ยกเลิกหนี้ไปทั้งหมดเหมือนที่เบอร์นี่เสนอ
ด้านนโยบายโลกร้อน เขาเสนอให้มีการให้เงินช่วยเหลือเกษตกรในการปรับตัวกับปัญหานี้ และพัฒนาเทคโนโลยีนิวเคลียร์เพื่อต่อสู้กับโลกร้อน ซึ่งเป็นนโยบายของไบเดนที่ไม่เหมือนใครเลย
ความแตกต่างระหว่างเบอร์นี่กับโจก็คือ โจสนับสนุนการเพิ่มงบประมาณการทหาร และสนับสนุนบทบาทกองทัพในต่างแดน ส่วนเรื่องระบบประกันสุขภาพนั้น เขาไม่ต้องการให้มันฟรีสำหรับทุกคน
แต่ควรขยายระบบประกันสุขภาพที่มีอยู่แล้ว
ให้ดียิ่งขึ้นกว่าเดิมมากกว่า
ท้ายสุดนี้ทั้งเบอร์นี่และโจต่างประกาศว่ารองประธานาธิบดีที่เขาเสนอนั้นน่าจะเป็นผู้หญิงอย่างแน่นอน เรื่องน่าสนใจก็คือ การเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งนี้ ดูเหมือนเป็นเรื่องของคนแก่ผิวขาวด้วยซ้ำ เพราะทั้งโจ เบอร์นี่ หรือแม้แต่โดนัลด์ ต่างอายุมากและเป็นชายผิวขาว ซึ่งไม่ว่าใครชนะ หนึ่งในสามคนนี้ก็จะกลายเป็นประธานาธิบดีที่อายุมากที่สุดทั้งหมด เพราะทั้ง 3 คนต่างอยู่ในวัยขึ้นเลข 7 เหมือนกัน
นี่จึงถือเป็นเรื่องแปลกของการเลือกตั้งครั้งนี้ที่คนหนุ่มสาวอายุน้อยหายไปเช่นเดียวกับความหลากหลาย กลายเป็นกลุ่มคนยุคเบบี้บูมเมอร์ที่ต่างแข่งขันกันสร้างความประทับใจให้กับคนยุคใหม่แทน
สรุป
สิ่งที่เห็นในชีวิตของโจ ไบเดน คือการไม่ย่อท้อ การยืนหยัดต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ดีกว่า ภาพลักษณ์ที่ดูประนีประนอม แต่เป็นนักปฏิบัตินี่เอง เป็นสิ่งที่โดดเด่นมากในชีวิตการทำงานของเขา
นี่คือเรื่องราวของชายนักสู้ผู้เผชิญชะตากรรมความเจ็บปวดโศกเศร้ามาไม่น้อยตลอดชีวิต แต่เขาก็ทุ่มเททำงานการเมืองเพื่อให้คนจำนวนมากได้มีชีวิตที่ดีขึ้น
อย่างไรก็ตามโจเองยังจะต้องสร้างความเชื่อมั่นแก่คนอเมริกันให้ได้ว่า เขาดีกว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และดีพร้อมจะเป็นประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาหรือไม่ ซึ่งเส้นทางนี้ยังอีกยาวไกล แต่สำหรับโจเซฟ ไบเดน ลูกชนชั้นแรงงาน จากอดีตที่ผ่านมา เราเชื่อได้เลยว่า เขาจะไม่ยอมแพ้แน่นอน และหากไม่มีการพลิกล็อก โจเซฟ ไบเดนจะเป็นตัวแทนของพรรคเดโมแครตไปชนกับโดนัลด์ ทรัมป์