หลังจากเกิดการปฏิวัติใหญ่ของพรรคบอลเชวิคในประเทศรัสเซีย เมื่อเดือนพฤศจิกายน ค.ศ.1917 การปกครองในระบอบคอมมิวนิสต์ก็ได้เริ่มต้นขึ้น สังคมแบบเก่าที่ถูกวิพากษ์ว่ามีช่องว่างทางชนชั้นที่แตกต่างจนเกินไปได้ถูกปฏิวัติล่มลง สังคมเก่าถูกล้างด้วยสร้างสังคมใหม่ ตามอุดมการณ์ของลัทธิมาร์กซ์
พรรค ‘บอลเชวิค’ เป็นคำที่มาจากคำว่า ‘Большинство’ แปลว่า ข้างมาก หมู่มาก หรือส่วนใหญ่ บอลเชวิคเป็นสมาชิกของกลุ่มๆ หนึ่งในพรรคแรงงานสังคมประชาธิปไตยรัสเซียซึ่งนิยมลัทธิมาร์กซ์ กลุ่มนี้นำโดย วลาดีมีร์ เลนิน เขาเป็นคนที่พัฒนาแนวคิดของคอมมิวนิสต์ในรูปแบบต่างๆ จนเป็นที่รู้จักกันดีในชื่อของลัทธิมาร์กซ์-เลนิน
ลัทธิมาร์กซ์-เลนินเป็นหนึ่งในลัทธิที่มีอุดมการณ์ทางคอมมิวนิสต์ เป้าหมายของลัทธิมาร์กซ์-เลนินคือการเปลี่ยนแปลงรัฐทุนนิยมให้เป็นรัฐสังคมนิยมเพียงพรรคเดียว หรือที่เรียกว่า รัฐคอมมิวนิสต์ เลนินมองว่าการปกครองแบบนี้จะทำให้สังคมเกิดความไร้ชนชั้นที่มีระเบียบ ทุกคนมีสิทธิ์ร่วมกันในสังคม ไร้ความเห็นขัดแย้งทางการเมือง ดังนั้นคนในลัทธิมาร์กซ์-เลนินส่วนใหญ่จึงเป็นพวกที่ต่อต้านลัทธิทุนนิยม ต่อต้านเสรีประชาธิปไตย และต้องการแก้ไขโดยการสร้างสังคมที่มีความเสมอภาคในหมู่มวลมนุษย์ให้รวดเร็วที่สุด
และสิ่งหนึ่งที่ถูก ‘มอง’ ว่าเป็นอุปสรรคต่อความรุ่งเรืองในแนวคิดของการปกครองแบบสังคมนิยม ก็คือศาสนา ดังที่ คาร์ล มาร์กซ์ นักปรัชญาและนักสังคมนิยมผู้เผยแพร่ แถลงการณ์คอมมิวนิสต์ (The Communist Manifesto) ได้ประกาศว่า “เมื่อลัทธิคอมมิวนิสต์เริ่มต้น ลัทธิอเทวนิยมก็เริ่มต้นขึ้นเช่นกัน” (“Communism begins where atheism begins, […]”)
อเทวนิยม (atheism) คือแนวคิดทรรศนะที่ไม่เชื่อว่ามีพระผู้เจ้ามีจริง เชื่อในกฎธรรมชาติ
และผู้ที่ ‘มอง’ ว่าศาสนาคือหนี่งในอุปสรรคที่สำคัญที่สุดก็คือ โจเซฟ สตาลิน เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์แห่งสหภาพโซเวียต หลังจากที่สตาลินได้ขึ้นเป็นผู้นำประเทศภายหลังการเสียชีวิตของเลนินในปี ค.ศ.1924 เขาก็ได้เริ่มต้นทำในสิ่งที่เขาวางแผนไว้ทันที นั่นคือแนวคิดการต่อต้านศาสนาและกำจัดผู้นำทางศาสนาอย่างโหดเหี้ยม
ทำไมถึงต้องกำจัดศาสนา?
โจเซฟ สตาลิน ในฐานะผู้นำของสหภาพโซเวียต พยายามบังคับใช้ลัทธิที่เชื่อว่าไม่มีพระเจ้าอยู่จริงบนโลกใบนี้และในประเทศแห่งนี้ สตาลินกล่าวว่าเขาเป็นคนที่ไม่เชื่อในพระเจ้า ศาสนาไม่เคยช่วยเหลือเขาเกี่ยวกับการกดขี่ทางชนชั้นที่เกิดขึ้นในรัสเซีย การปฏิวัติการปกครองเกิดขึ้นจากมนุษย์ล้วนๆ จนทำให้ประเทศเกิดความเท่าเทียมกันถึงทุกวันนี้
สตีเฟน เมอร์ริต ไมเนอร์ นักประวัติศาสตร์ ผู้เขียนหนังสือ Stalin’s Holy War: Religion, Nationalism and Alliance Politics กล่าวว่า สตาลินมองว่าการกำจัดศาสนาเป็นวิธีกำจัดอดีตอันคร่ำครึที่รั้งผู้คนเอาไว้ไม่ให้เดินไปข้างหน้า และเป็นการเดินหน้าสู่อนาคตของวิทยาศาสตร์และความก้าวหน้า สิ่งที่สตาลินทำส่วนใหญ่ คล้ายกับที่เลนินทำ แต่สตาลินทำรุนแรงเสียยิ่งกว่าในช่วงยุคเลนิน
ในยุคสมัยการปกครองของ วลาดีมีร์ เลนิน คริสตจักรรัสเซียออร์โธดอกซ์ หรือ ศาสนจักรออร์โธดอกซ์รัสเซีย คริสตจักรที่ใหญ่ที่สุดในบรรดาคริสตจักรทั้งหมดที่สังกัดคริสจักรอีสเทิร์นออร์โธดอกซ์ และเป็นคริสตจักรที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสองของโลกรองจากคริสตจักรโรมันคาทอลิก ยังคงเป็นกลุ่มศาสนาที่มีพลังอันทรงอำนาจในรัสเซีย แม้ว่าจะมีมาตรการและนโยบายต่อต้านศาสนาภายใต้คำสั่งของเลนินมานานกว่าทศวรรษ แต่มาตรการดั่งกล่าวไม่ได้ผลเท่าไหร่ เพราะประชาชนชาวรัสเซียยังคงซื่อสัตย์และเคารพในสิ่งที่พวกเขานับถือดั่งเช่นเคย
ริชาร์ด แมดเซน ผู้เขียนหนังสือ The Oxford Handbook of the History of Communism กล่าวว่า “พิธีกรรมหรือพิธีการของคริสตจักรยังคงฝังลึกอยู่ในวิถีชีวิตของประชาชนรัสเซีย และเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับชุมชน” และริชาร์ดมองว่าเลนินนั้นไม่กล้าเสี่ยงที่จะต่อกรกับคริสตจักรที่ยังคงมีอำนาจด้วยความรุนแรง มันเป็นความเสี่ยงที่อาจคุกคามความสำเร็จในการปฏิวัติประเทศ
แต่ไม่ใช่กับสตาลิน
เพราะตั้งแต่ปี ค.ศ.1928 จนถึงสงครามโลกครั้งที่สอง เริ่มมีการกำจัดทางศาสนา โบสถ์ โบสถ์ยิว และสุเหร่าถูกปิด มีคำสั่งให้สังหารและคุมขังผู้นำศาสนาหลายพันคน ทั้งหมดคือความพยายามที่จะขจัดแนวความคิดที่นับถือพระเจ้าทั้งหมด
ไม่ใช่ว่า โจเซฟ สตาลิน จะเติบโตมาโดยที่ไม่เคยยุ่งเกี่ยวข้องกับศาสนา อันที่จริงแล้ว สตาลินกลับคุ้นเคยกับคริสตจักรเป็นอย่างดี ในวัยหนุ่มของสตาลิน เขาถูกไล่ออกจากโรงเรียนสอนศาสนาแห่งหนึ่งที่บ้านเกิดของเขา หลังจากที่ถูกจับในข้อหาครอบครองวรรณกรรมที่ผิดกฎหมาย สิ่งนี้กลายเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้สตาลินเริ่มไม่แยแสกับศาสนา
จากนักศึกษาศาสนศาสตร์ ก็กลับกลายเป็นชายผู้เริ่มไม่แยแสศาสนามากขึ้น จากนั้นไม่นานสตาลินก็ได้เริ่มศึกษาปรัชญาของ คาร์ล มาร์กซ์ เขามองว่ากรอบความคิดของลัทธิมาร์กซ์ (Marxism) ก็ครอบคลุมอยู่แล้วทุกอย่างที่จะสามารถเป็นศาสนาได้ภายในตัวมันเองและน่าดึงดูดใจเสียยิ่งกว่าศาสนาอื่นๆ
สตาลินเรียกแผนการกำจัดศาสนานี้ว่า ‘The Godless Five-Year Plan’หรือ ‘แผน 5 ปีไร้พระเจ้า’
‘แผน 5 ปีไร้พระเจ้า’ เริ่มต้นในปี ค.ศ.1928 สตาลินเริ่มแผนด้วยการสร้างกลุ่มองค์กรต่อต้านศาสนาในท้องถิ่น รวบรวมกลุ่มคนที่ไม่เชื่อในศาสนาในพระเจ้า จากนั้นมอบเงินและเครื่องมือเพื่อสนับสนุนให้กลุ่มเหล่านี้ใหญ่โตขึ้นในชุมชน กลายเป็นเครื่องมือในการทำลายศาสนาอันทรงพลัง โบสถ์ที่เคยเปิดอยู่ตลอดในยุคเลนินถูกสั่งปิดและริบทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องทั้งหมด พิธีการทางศาสนาทุกอย่างถูกระงับและห้ามทำเด็ดขาด การศึกษาไม่มีการสอนและพูดถึงศาสนา ผู้นำของคริสตจักรต่างถูกคุมขังและบางครั้งก็ถูกประหารชีวิต ด้วยเหตุผลที่กล่าวหาว่าพวกเขานั้นต่อต้านการปฏิวัติการปกครองของสหภาพโซเวียต
ในหนังสือ The Oxford Handbook of the History of Communism ริชาร์ดยังกล่าวอีกว่า ”สตาลินมีแนวคิดพึงปรารถนาที่จะขจัดจิตสำนึกและศูนย์รวมใจของชาติดั้งเดิม เพื่อสร้างสังคมให้เป็นไปตามตามหลักการสากลของสังคมนิยม” ยิ่งไปกว่านั้น หากแผนการนี้สำเร็จ สตาลินวางแผนที่จะส่งแนวความคิดนี้ไปยังประเทศคอมมิวนิสต์อื่นๆ ที่เลือกเป็นพันธมิตรกับสหภาพโซเวียต นั่นหมายความว่า หากทุกประเทศกลายเป็นประเทศคอมมิวนิสต์ บนโลกนี้อาจไม่หลงเหลือศาสนาอยู่อีกต่อไป
สื่อสิ่งพิมพ์ถูกตัดเนื้อหาทุกอย่างเกี่ยวกับศาสนาไปโดยสิ้นเชิง ปฏิทินโซเวียตรูปใหม่เปิดตัวในปี ค.ศ.1929 เริ่มต้นโดยสัปดาห์ที่ต่อเนื่องกันห้าวันเพื่อให้เลิกใช้วันหยุดสุดสัปดาห์ มีการกำจัดวันศุกร์ วันเสาร์ และวันอาทิตย์ ออกไป ตามด้วยการกำจัดวันสำคัญทางศาสนา วันแห่งการสักการะของชาวมุสลิม ชาวยิว และคริสเตียน
โบสถ์คริสต์ โบสถ์ของศาสนายิว และมัสยิด ถูกปรับปรุงให้เป็น ‘พิพิธภัณฑ์อเทวนิยม’ (Museums of Atheism) จากสถานที่ศูนย์รวมใจของประชาชนทางศาสนา กลับกลายเป็นพิพิธภัณฑ์แห่งความไม่เชื่อในพระเจ้าที่ต่อต้านศาสนา ภายในติดข้อความ เอกสาร และรูปภาพที่เชื้อชวนให้เลิกหลงเชื่อในพระผู้เป็นเจ้าและศาสดาทางศาสนา วัตถุทางศาสนาถูกถอดออก สิ่งที่เคยเป็นของศักดิ์สิทธิ์กลับถือให้เป็นวัตถุธรรมดา แต่ดูเหมือนว่าความพยายามทำลายศาสนาอย่างรุนแรงนี้จะไม่ประสบความสำเร็จเท่าไหร่ เพราะพิพิธภัณฑ์กลับไม่ได้รับความนิยมจากประชาชนและนักท่องเที่ยว และต่างทยอยถูกปิดจนพิพิธภัณฑ์แห่งสุดท้ายถูกปิดไปในช่วงปลายทศวรรษ 1980
ในปี ค.ศ.1939 โบสถ์ยังคงเปิดอยู่เพียง 200 แห่งจากทั้งหมด 46,000 แห่งที่เปิดในช่วงก่อนการปฏิวัติรัสเซีย โบสถ์ออร์โธดอกซ์บางแห่งถูกทำลายจนหมดสิ้น บาทหลวงและนักบวชต่างถูกประหารชีวิตหรือถูกขังในค่ายแรงงาน มีเพียงบิชอป (ตำแหน่งบาทหลวงที่มีอำนาจปกครองบาทหลวงอื่นๆ) สี่คนเท่านั้นที่ยังคงมีเสรีภาพไม่ถูกกักขังและทรมาน
สตาลินดูเหมือนจะมีความเชื่อมั่นอย่างเต็มเปี่ยมในสงครามต่อต้านศาสนาของเขา นอกจากที่เขาจะไม่เชื่อในพระเจ้าแล้วนั้น สตาลินยังคิดว่าศาสนาเป็นเรื่องไร้สาระ ในการพบกันระหว่างโจเซฟ สตาลิน และ แฟรงคลิน ดี. รูสเวลต์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาในช่วงเวลานั้น ดูเหมือนว่าสตาลินจะแปลกใจอย่างมาก หลังจากทราบว่าประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกานับถือศาสนาและยังเข้าร่วมพิธีทางศาสนา สตาลินบอก อเวเรลล์ แฮร์ริแมน นักการทูตและอดีตผู้ว่าการรัฐนิวยอร์กที่อยู่ข้างๆ ในตอนนั้น “ไม่ว่าประธานาธิบดีจะเป็นคนฉลาดหลักแหลมแค่ไหน แต่จริงๆ แล้วเขากลับเป็นคนที่เคร่งศาสนา หรือความสามารถของเขามีไว้แค่เพื่อจุดประสงค์ทางการเมือง?”
ความพยายามที่คร่าชีวิตไปหลายคน
แต่ส่งผลกระทบเพียงเล็กน้อย
แม้ว่ามาตรการของสตาลินจะประสบความสำเร็จในการนำคริสตจักรรัสเซียออร์โธดอกซ์ออกจากสหภาพโซเวียต แต่มันก็ส่งผลกระทบเพียงเล็กน้อยต่อศรัทธาที่แท้จริงของผู้คน ปลายปี ค.ศ.1937 มีการสำรวจประชากรในสหภาพโซเวียต พบว่า 57% เป็น ‘ผู้เชื่อในศาสนา’ ถึงแม้หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลงจะมีการต่อต้านศาสนาที่ต่อเนื่องและดำเนินต่อไปเป็นเวลาหลายสิบปี พระคัมภีร์ถูกห้ามให้อ่านและแทบไม่มีการศึกษาทางศาสนาเลย แต่ถึงกระนั้น ในปี ค.ศ.1987 หนังสือพิมพ์ The New York Times ก็ได้รายงานว่า “เจ้าหน้าที่โซเวียตเริ่มยอมรับว่าพวกเขาอาจแพ้การต่อสู้กับศาสนาที่ต่อเนื่องมาเป็นเวลาหลายสิบปี”
และพวกเขาก็แพ้จริงๆ ลัทธิอเทวนิยมไม่สามารถมาแทนที่ศาสนาได้หลังจากความพยายามต่อเนื่องเป็นเวลาหลายศตวรรษ จากการสำรวจประเทศรัสเซียในปี ค.ศ.2021 มีผู้นับถือรัสเซียออร์โธดอกซ์จากประชากรทั้งหมดถึง 41.1% ไม่เชื่อพระเจ้ามีเพียง 13.0% ไม่แจ้ง 5.5% และที่เหลือนับถือศาสนาอื่นๆ
อ้างอิงข้อมูลจาก