คำเตือน : บทความนี้เปิดเผยเนื้อหาสำคัญของซีรีส์ Kingdom
ถ้าถามว่าในรอบปีที่ผ่านมา ซีรีส์เรื่องไหนที่สร้างเซอร์ไพรส์และสร้างความ ‘กระหาย’ ของคนอยากดูต่อมากที่สุดคงจะหนีไม่พ้น Kingdom
ในซีซั่นแรกนั้น Kingdom ผลงานกำกับของ คิมซองฮุน (Kim-Sung-Hoon) และ ปาร์คอินเจ (Park-In-Je) เขียนบทโดย คิมอึนฮี (Kim-Eun-Hae) เปิดตัวในฐานะ Original Netflix Series เรื่องแรกของทางเกาหลี ด้วยเนื้อเรื่องสุดไฮคอนเซปต์ที่ว่าด้วยการแย่งชิงบัลลังก์ในสมัยราชวงศ์โชซอน ภายหลังสงครามกับญี่ปุ่นในช่วงคริสต์ศักราช 1598 ไม่นานนัก นอกจากเรื่องการชิงอำนาจในวังที่มีทั้งฝ่ายขุนนางและองค์รัชทายาทแล้ว ยังมีเรื่องของโรคระบาดร้ายที่เปลี่ยนคนให้กลายเป็นปีศาจ ออกอาละวาดนอกเขตพระนครด้วย
ถ้าจำกันได้นับตั้งแต่ฉากแรกๆ ซีรีส์นี้ไม่อำพรางคนดูเลยครับ บอกกันชัดๆ แต่แรกว่า ‘เชื้อชั่ว’ ที่เป็นต้นเหตุของทุกอย่างนั้นเกิดขึ้นในรั้ววัง จากฝีมือขุนนางจอมฉ้อฉลที่ต้องการอ้างพระราชอำนาจของกษัตริย์โชซอนเพื่อปกครองแผ่นดินเสียเอง
ความมันสำหรับคนดูในซีซั่น 2 ก็คือกฎทุกอย่างของเชื้อชั่วข้างต้น ถูกบอกไว้หมดแล้ว ปีศาจแท้จริงก็ใกล้เคียงซอมบี้แบบฝรั่งที่เรารู้จักกัน ยิงหัวแล้วตาย แพ้แสง และชอบความเย็น แต่ปัญหาคือเราจะเอาชนะมันได้ยังไง?
นี่เป็นปัญหาใหญ่ของตัวละครในเรื่อง สอดคล้องกับปัญหาในโลกความจริงที่เรากำลังเผชิญกันอยู่ ในภาวะการระบาดของไวรัส COVID-19
เรารู้กฎของมัน รู้จุดอ่อนจุดแข็งของมัน
แต่เรายังไม่รู้ว่าจะเอาชนะมันได้ยังไง?
แปลกไหมครับ?
สิ่งที่ทั้งสองซีซั่นใช้ร่วมกันคือการพยายามบอกเราว่า ไวรัสนี้อาจควบคุมไม่ได้ก็จริง แต่ในขณะเดียวกัน ก็ยังมีคนบ้าพอจะกล้าใช้ประโยชน์จากมัน ทั้งตัวไวรัสเองและตัวสถานการณ์
ปีศาจและความกลัวคืออำนาจ
เสนาบดีโจฮักจู แสดงโดย ริวซึงเรียว (Rye-Seung-Ryong) เป็นคนแรกที่คนดูเข้าใจว่าเป็นตัวร้าย ตัวร้ายตามขนบคือมุ่งหมายทำบางสิ่งที่ชั่วช้ามากเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว ซึ่งอาจทำลายชีวิต หรือความชอบธรรมอื่นๆ ในสังคม โจฮักจูคือตัวร้ายแบบนั้นในซีซั่นแรก เป้าหมายสูงสุดคือการขยายอำนาจของตระกูลแฮวอนโจของตน อำนาจนี้ไม่ได้หมายถึงแค่ตัวโจฮักจูเอง แต่ยังหมายถึงการส่งทอดอำนาจให้บุตรตรี ซึ่งดำรงตำแหน่งพระมเหสีโจ แสดงโดย คิมเฮจุน (Kim-He-Jun) และหลานที่กำลังจะเกิดมาด้วย
ส่วนตัวโจฮักจูถือเป็นตัวร้ายที่ถูกเขียนมาอย่างสะใจคนดู หมายถึงรับรู้ได้ถึงความชั่วช้า และเจตนาอันแน่วแน่ แต่ก็อธิบายให้คนดูเข้าใจได้ไม่ยาก ความฉลาดเป็นกรด เจ้าวางแผน ตัดสินใจเฉียบขาด เป็นอีกประการที่ทำให้โจฮักจูน่ากลัวกว่าใครในเรื่อง โดยเฉพาะการรู้จักใช้ ‘ปีศาจ’ ให้เกิดประโยชน์
ปีศาจที่อยู่นอกวังคือการแผ่ขยายความกลัวออกไป ขณะที่ปีศาจในวัง ซึ่งก็คือกษัตริย์ผู้วายชนม์แต่ถูกโจฮักจูปลุกผีกลับมาอีกครั้ง ไร้สติสามัญสำนึกของมนุษย์ ถูกกักขังให้อยู่ในกรุง กลายเป็นป้ายอาญาสิทธิ์ที่โจฮักจูใช้ข่มขู่และแสดงอำนาจกับใครต่อใครอย่างมันมือ
ทั้งซีซั่น 1 และ 2 การแย่งชิงบัลลังก์อาจดูเป็นเรื่องหลัก แต่ตัวตัดสินชะตากรรมจริงๆ อยู่ที่ ‘ข้อมูล’ ว่าเราจะเอาชนะปีศาจได้อย่างไร ก็ต่อเมื่อเราเข้าใจว่าปีศาจมันกำเนิดจากอะไร? สมุนไพรชุบชีวิตที่เป็นดอกไม้สีม่วงนั้นจึงเป็นกุญแจสำคัญที่ตัวละครหลักตามล่าหาตลอดสองซีซั่น
เพราะมันคือต้นตอการสร้างความกลัว ถ้าเรารู้วิธีปลูกความกลัวให้แผ่ขยายออกไป ใครคุมความกลัวได้ก็จะมีอำนาจในมือ เชื้อชั่วร้ายที่ทำลายคนมากที่สุดคือความกลัว ความกลัวที่พร้อมบิดผันให้คนนั้นๆ ยอมทำทุกอย่างเพื่อหลีกหนีความกลัวในตัวเอง ไม่ว่ากลัวคนรักจะตาย หรือกลัวตัวเองจะตาย
ตัวละครรองๆ หลายตัวในเรื่องจึงตกอยู่ในเงื่อนไขนี้ กลายเป็นเหยื่อของความกลัว ถูกโจฮักจูชักจูง บังคับ หรือหลอกใช้ จากประโยชน์ของความกลัวในใจคนคนนั้น บางตัวละครถึงกับยอมหักหลังเจ้านายที่ตัวเองให้คำมั่นสัญญา ซึ่งไม่ใช่แค่โจฮักจูด้วยซ้ำ แม้กระทั่งพระมเหสีโจก็รู้จักใช้ความกลัวให้เป็นประโยชน์ จากทั้งปีศาจและตัวมนุษย์ใต้ปกครองของหล่อนเอง จะว่าไปมเหสีโจในซีซั่น 2 กลับเป็นคนที่น่ากลัวที่สุดด้วยซ้ำ
บทเรียนที่ 1 จาก Kingdom
ความกลัวฆ่ามนุษย์คนหนึ่ง
ให้สูญสิ้นความเป็นคนได้ง่ายดายกว่าที่เราคิด
ไพร่ฟ้าเป็นเบี้ย
หากโจฮักจูกินรวบอำนาจในวังแล้ว ทำไมถึงไม่จบ? คำตอบก็คือเพราะยังมีคนกระด้างกระเดื่องอยู่ข้างนอก ชุมนุม หรือหัวเมืองที่อาจแข็งขืนขึ้นได้ ตามประวัติศาสตร์แล้วพื้นที่หรือชุมนุมที่ยิ่งอยู่ไกลเขตพระนครมากเท่าใด ยิ่งหมายความว่าห่างไกลอำนาจและสายตาจากส่วนกลางสอดส่อง ง่ายต่อการลุกฮือแข็งเมืองมากขึ้น
ในกรณีของ Kingdom อาการ ‘แข็งเมือง’ นี้ไม่ได้ปรากฏชัดนัก แต่ก็ยังเล่าผ่านช่วงที่กลุ่มพระเอกไปยังเมืองชายแดน ที่มีอดีตแม่ทัพอัน แสดงโดย ฮอจุนโฮ (Heo-Jun-Ho) ดูแลอยู่ ลักษณะของเมืองดังกล่าวตัดขาดจากอำนาจส่วนกลาง ปกครองแทบจะเป็นเอกเทศ จึงสามารถแต่งทัพ (หรือกองหนุน) ช่วยอดีตรัชทายาทอีชาง แสดงโดย จูจิฮุน (Ju-Ji-Hoon) บุกตีฝ่าวงล้อมปีศาจเข้ามายังเมืองชั้นในได้
ถ้าจำกันได้ในซีซั่น 1 จะมีฉาก ‘ปิดประตูเมือง’ คือกันไม่ให้ราษฎรเข้ามาภายในเมือง เพราะเกรงว่าจะนำโรคระบาด (หรือปีศาจ) เข้ามาด้วย เช่นเดียวกับในซีซั่น 2 ที่มีเมืองเมืองหนึ่งถูกปล่อยทิ้งให้ปีศาจล้อมกรอบเมืองเอาไว้ แม้จะปิดประตูเมืองป้องกันราษฎรไว้ได้ แต่ชีวิตพวกเขาเหมือนถูกทิ้งให้รอวันตาย เมื่อไร้กองหนุนจากส่วนกลางมาช่วยเหลือ
“ประชาชนเปรียบอาหารเป็นดั่งสวรรค์
และกษัตริย์เปรียบประชาชนเหล่านั้นเป็นดั่งสวรรค์เช่นกัน”
คือคำกล่าวที่ถูกเน้นย้ำหลายรอบในซีซั่นนี้ เป็นการขยายความหมายของไพร่ฟ้าในกรอบเดิม จากการเป็นเบี้ยให้ถูกไล่ต้อนและทอดทิ้ง สู่การเป็นเงื่อนไขสำคัญที่แสดงจุดยืนของทั้งสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งสนใจแต่อำนาจในมือตน อีกฝ่ายมุ่งมั่นทำเพื่อส่วนรวม ตั้งแต่ฉากเล็กๆ ที่อีชางได้พบนักตกปลาลึกลับผู้หนึ่ง ไปจนถึงการประกาศคำๆ นี้ต่อหน้าพระมเหสีโจในท้องพระโรง
เราจะเห็นได้ว่าประโยคชุดนี้ถูกพลิกคว่ำความหมายมาตลอดในทั้ง 2 ซีซั่น ในซีซั่นแรก ประชาชนกลายเป็นอาหารของปีศาจ ตั้งแต่ฉากเปิดที่อดีตกษัตริย์กินประชาชนทั้งเป็น และฉากน่าสลดใจเมื่อไพร่ฟ้าตาดำๆ อดอยากเร้นแค้นถึงขั้นกินกันเอง (โดยไม่รู้ตัว) นำมาสู่ต้นตอของโรคระบาดปีศาจในซีซั่น 1 พอมาถึงซีซั่น 2 อาหารก็ยังเป็นเงื่อนไขทำให้เมืองแตก ทำให้พวกเขาต้องหนีตาย แต่พอผ่านไปในตอนหลังๆ เราจะเริ่มเห็นบทบาทของอาหารที่สำคัญมากขึ้น อาหารกลายเป็นความไว้วางใจ กลายเป็นคำสัญญา ที่ผูกพันกันระหว่างองค์รัชทายาทกับไพร่ฟ้าของพระองค์ ฐานมวลชนค่อยๆ รวมตัวกันยืนหยัดเคียงข้างพระองค์แทน
ต้องอย่าลืมว่าองค์รัชทายาทอีชางนั้นมีสถานะเป็น ‘คนนอก’ มาโดยตลอด เป็นคนนอกระบบการสืบทอดสายเลือดกษัตริย์ เป็นคนนอกเกาหลี (เพราะมาจากต่างแดน) พระองค์จึงไม่เคยถูกระบบกลืนกิน ไม่เคยมองประชาชนเป็นอาหาร ตรงกันข้ามการต้องเคยอดอยาก ลำบาก และต่อสู้กับปีศาจเพื่อเอาชีวิตรอดอย่างปากกัดตีนถีบเหมือนไพร่ฟ้านอกกำแพงวังอื่นๆ พระองค์จึงเข้าใจถึงประโยคอันเป็นหัวใจของซีซั่น 2
คำว่า Kingdom ของเรื่องนี้ จึงกินความหมายทั้งพื้นที่ (อาณาจักรต่างๆ) และประชาชนในอาณาจักรนั้นๆ ด้วย
บทเรียนที่ 2 จาก Kingdom
ในยามวิกฤติ คนเราเป็นตายเท่ากัน
เพราะเชื้อไม่ได้แยกเจ้าแยกไพร่
เอาตัวรอด หรือ เพื่อส่วนรวม
ปกติตัวละครในหนัง หรือซีรีส์จะเจอบททดสอบในรูปแบบจำเพาะสองแบบ คือบททดสอบในใจตัวเอง และบททดสอบจากภายนอก เช่นในขณะที่ปีศาจบุกเข้าใกล้ประชิดตัว ท่านจะกล้าสละตัวเองเพื่อป้องกันคนอื่นๆ หรือจะหนีไปด้วยกัน ตายก็ตายมันด้วยกันหมดนี่แหละ
Kingdom วางจุด ‘วัดใจ’ แบบนี้ให้ตัวละครแทบทุกตัวต้องเผชิญ แม้กระทั่งตัวละครวายร้ายอย่างโจฮักจู หรือพระมเหสีโจเอง ก็มีจังหวะต้องวัดใจ หมายถึงจังหวะที่ถ้าเขายอม หรือเปลี่ยนความคิดบางอย่าง ผลลัพท์อาจจะเปลี่ยนไปจากที่เราคนดูได้เห็น
ทั้งเรื่องนี้มีจุดวัดใจเป็นประหนึ่งกับดักระเบิดเต็มไปหมด คนดูเองมักได้รับข้อมูลก่อนตัวละครหนึ่งก้าวเสมอ เราจึงลุ้นระทึกอย่าให้ตัวละครตัดสินใจแบบนั้น แบบนี้ และทั้งๆ ที่รู้ว่าเราเปลี่ยนใจตัวละครไม่ได้ สุดท้ายเมื่อชะตากรรมของตัวละครนั้นๆ มาถึง เราก็ได้แต่สลดใจ… นั่นคือในส่วนของตัวละครที่เลือกทางเพื่อตัวเอง
แต่กับตัวละครอีกกลุ่มที่เลือกทางเพื่อคนอื่น มักจะถูกนำเสนออย่างเซอร์ไพรส์ เต็มด้วยความคาดไม่ถึง เช่นการเสียสละของอดีตแม่ทัพอัน เรียกว่าน่าจะเป็นซีนจำสำหรับซีซั่น 2 ไปเลย
ภายใต้ฉากอันใหญ่โต ประเด็นอันเข้มข้น สถานการณ์ชวนลุ้นหวาดเสียว เลือดและซากศพกองเกลื่อนตามรายทาง Kingdom กลับพาเราอยู่ติดกับตัวละคร คลุกคลีจนเข้าใจเสมือนเพื่อนหรือญาติมิตรสหาย เพื่อย้ำเตือนเราทุกครั้งว่า ตัวตัดสินในทุกสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในเรื่อง ก็คือ ใจคน
บางตัวละครเรารู้ใจเขา/เธอดีมาก เราจึงเจ็บปวด หรือสะเทือนใจไปด้วยเมื่อเห็นเขา/เธอตัดสินเช่นนั้น โดยเฉพาะในบรรดาตัวละครเล็กๆ ที่อาจถูกมองข้ามละเลย อาทิ บุรุษปริศนายองซิน แสดงโดย คิมซองกยู (Kim-Sung-Kyu) แรกเรารับรู้การตัดสินใจอันผิดพลาดครั้งใหญ่ของเขา ต่อมาจนถึงซีซั่น 2 เราตามติดเขา และเริ่มเข้าใจถึงความรู้สึกผิด ความพยายามไถ่บาปตลอดเวลาของตัวละครนี้
หรือโจบอมพัล แสดงโดย จอนซอกโฮ (Jung-Sung-Ho) บัณฑิตหนุ่มผู้มีศักดิ์เป็นญาติห่างๆ ของโจฮักจู ถูกส่งไปอยู่เมืองไกลปืนเที่ยง และตามติดกลุ่มตัวละครองค์รัชทายาทมาตั้งแต่ต้น โจผู้หลานนี้เป็นตัวละครที่ตัดสินใจผิดพลาดซ้ำซาก เพราะไม่กล้าตัดสินใจ ละล้าละลังในจังหวะสุดท้ายตลอดเวลา แต่ในการตัดสินใจครั้งที่สำคัญสุดของเขา ความละล้าละลังไม่กล้าตัดสินใจนี่แหละกลับเป็นผลดีต่อตัวเขา เพราะมนุษย์ไม่มีใครแบกรับทุกเรื่อง ไม่มีใครเด็ดขาดในทุกการตัดสินใจ ถ้าเรายังลังเลรู้จักไตร่ตรองผิดชอบชั่วดีได้ในวินาทีแบบนั้น
แสดงว่าเรายังเป็นมนุษย์อยู่ นี่คือคำตอบว่าทำไมองค์รัชทายาทอีถึงได้ยังมีความหวังกับคนอย่างโจ
เพราะเขาไม่เห็นชีวิตคนอื่นสำคัญไปกว่าตัวเอง
เขาจึงยังมีความเป็นมนุษย์อยู่
นี่อาจเป็นบทเรียนสำคัญที่องค์รัชทายาทอีได้จากโจด้วยซ้ำ ในช่วงเวลาแห่งการตัดสินใจสำคัญที่สุด ช่วงเวลาที่คนดูรอคอยมาตลอด 2 ซีซั่น 12 ตอน แต่การตัดสินใจนั้นกลับเป็นสิ่งที่คนดูเห็นใจ เข้าใจ และพร้อมให้อภัยมากที่สุด ทั้งที่จะว่าไป การตัดสินใจครั้งนั้น จะออกอีกหน้าคนดูก็อาจยอมรับและให้อภัยได้ มันถูกต้องตามหลักการ และ ‘มันจำเป็น’
แต่การฆ่าครั้งแล้วครั้งเล่า มันก็พิสูจน์ให้องค์รัชทายาทเห็นว่า ไม่มีการฆ่าครั้งสุดท้ายจริง การตายไม่เคยต่อยอดด้วยความตาย
‘ความหวัง’ ต่างหากที่ทำให้ชีวิตดำเนินต่อไป และความหวังไม่ควรผูกมัดไว้ที่บุคคลใดบุคคลหนึ่ง ความหวังควรถูกแบ่งปันได้ เมื่อมันส่งต่อกันไปเรื่อยๆ มันจะทำลายความกลัวได้ในที่สุด
บทเรียนที่ 3 จาก Kingdom ‘ความหวัง’
คือแสงสว่างในยามวิกฤติ ถ้าไม่มีใครสร้างให้
ท่านก็ต้องเริ่มที่ตัวเราเอง
แต่สร้างได้แล้วก็อย่าลืมแบ่งปันคนอื่นๆ ด้วยนะ
เราจะผ่านพ้นมันไปด้วยกัน
หัวใจของ Kingdom ทั้ง 2 ซีซั่นคือ การเอาชนะความกลัวด้วยความหวัง การกระทำของกลุ่มองค์รัชทายาทนั้นถูกกล่าวหาว่าเป็นกบฏแผ่นดินอยู่ตลอด ทุกแผนการของโจฮักจูและมเหสีโจก็คือพุ่งเป้าไปสู่การดับความหวังของกลุ่มนี้ ทุกคนที่ล้มระหว่างทาง ก็ยังส่งต่อให้คนที่เหลือเดินต่อไป