1.
“เขาเป็นเด็กน่ารัก แม้ปกติจะเป็นคนเงียบๆ แต่ก็นิสัยดีกับทุกคน”
วันอังคารที่ 27 มกราคม ปี 1976 ไคล์ คลินสเกลส์ (Kyle Clinkscales) นักศึกษาปี 3 วัย 22 ปี เพิ่งเลิกงานบาร์เทนเดอร์ ซึ่งเขาทำเพื่อหารายได้เสริม แถวบ้านพัก ในรัฐจอร์เจีย สหรัฐอเมริกา เด็กหนุ่มตัดสินใจขับรถฟอร์ดสีขาว กลับไปมหาวิทยาลัย ในเมืองอลาบาม่า ห่างออกไป 56 กิโลเมตร เพราะพรุ่งนี้ต้องเรียนหนังสือ
แต่ไคล์ไม่เคยไปถึง
“มันเหมือนกับว่าโลกยังคงดำเนินไป แล้วเขาก็หายตัวไป”
นี่คือคำพูดของหลุยส์ คลินสเกลส์ (Louise Clinkscales) แม่ของไคล์ที่บอกกับนักข่าวท้องถิ่น
แม้ตำรวจจะระดมกำลังกันค้นหา แต่ก็ยังไร้วี่แวว เวลาผ่านไป ความหวังยิ่งดับวูบ แต่ไม่ใช่สำหรับหลุยส์และจอห์น คลินสเกลส์ (John Clinkscales) 2 สามีภรรยา พ่อและแม่ของไคล์ ทั้ง 2 ไม่เคยสิ้นความหวัง และยังคงออกตามหาลูกชายคนเดียวของครอบครัวอยู่เสมอ
พวกเขาติดป้ายประกาศ ออกไปตามเบาะแสที่มี เพื่อหวังว่าจะได้พบลูกสุดที่รัก แม้วันผ่านไป เดือนผ่านลา ปีล่วงเลย แต่หลุยส์และจอห์น ก็ยังไม่สิ้นความหวัง แม้ในยามที่มืดมนสุดของชีวิต
ยามออกจากบ้านไปทำธุระ ทั้งคู่จะทิ้งโน้ตบอกว่าไปไหนเสมอ รวมถึงวางกุญแจรถสำรองไว้ ทั้ง 2 สิ่งนี้จะอยู่บนโต๊ะรับประทานอาหารเย็น เผื่อลูกชายสุดที่รักกลับบ้านมา
ที่สำคัญในกระดาษใบนั้น จอห์นและหลุยส์จะบอกเล่าเรื่องราวในครอบครัวไว้
หากลูกกลับมาบ้านก็จะได้รู้ทุกความเคลื่อนไหว นับตั้งแต่วันที่หายตัวไป
2.
ไคล์เป็นเด็กหนุ่มที่ชอบเล่นกีฬามาก เมื่อเข้าเรียนมหาวิทยาลัย เขาจะกางแผนที่โลก และปักหมุดสถานที่อยากไป ชายหนุ่มทำงานเป็นบาร์เทนเดอร์ และปกติเมื่อเลิกงาน เขาจะกลับมหาวิทยาลัย โดยใช้เวลาขับรถเพียง 45 นาทีเท่านั้น
ในวันที่หายตัวไป ไคล์ได้คุยกับแม่ครั้งสุดท้าย โดยหลุยส์ย้ำว่าให้เอาเสื้อผ้ามาที่บ้าน นัดหมายกันในวันศุกร์ที่ 30 มกราคม
แต่ไคล์ไม่ได้มาพบกับพ่อแม่ในวันนั้น
เขาผิดนัดและหายตัวไปชั่วชีวิต
หลังเกิดเหตุ หลุยส์และจอห์นไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค พวกเขามุ่งมั่นอย่างมาก ที่จะค้นหาลูกชายสุดที่รักให้เจอ ทั้ง 2 ลงทุนซื้อป้ายโฆษณาในเมือง เพื่อประกาศตามหาลูก และหากใครมีเบาะแส ก็แจ้งมาได้
พ่อแม่คู่นี้ ยังส่งจดหมายไปยังโรงพักทุกสถานีในรัฐจอร์เจีย เพื่อให้ช่วยสืบสวนหาตัวเด็กหนุ่ม พวกเขาเฝ้ารอลูกชายด้วยความอ่อนแรง แต่แม้เวลาจะผ่านไป ทั้งคู่ไม่เคยคิดจะยอมแพ้
จอห์นและหลุยส์ออกเดินทางไปทุกเบาะแส สืบสวนทุกข่าวที่มีคนบอกว่าพบลูก แต่ทุกครั้งก็คว้าน้ำเหลว ไม่มีไคล์ปรากฏอยู่ที่นั่น
2 ปีหลังลูกหายตัวไป ทั้งคู่ได้แจกสติ๊กเกอร์ใบปลิวกว่า 5 พันแผ่น เพื่อตามหาไคล์ การกระทำนี้ ทำให้คนในเมืองต่างเติบโตมากับเรื่องราวของไคล์ และต่างช่วยกันตามหาเด็กคนนี้
แม้จะเหนื่อยล้า แต่ทั้ง 2 ก็ไม่เลิกล้มตามหาลูก เมืองที่ไคล์เติบโตมา ต่างมีรูปเด็กหนุ่มคนนี้ในชุดใส่สูท ยิ้มให้กับกล้อง แปะติดเต็มไปหมด
เมื่อเวลาผ่านไป จอห์นและหลุยส์พบว่า ไม่ใช่พวกเขาเพียงครอบครัวเดียว ที่เผชิญความปวดร้าวนี้ แต่ยังมีพ่อแม่ผู้ปกครองอีกเป็นจำนวนมาก ที่เผชิญกับการหายตัวไปของลูก
ทั้งคู่ได้คุยกับครอบครัวผู้สูญหาย และได้ปลอบโยนพ่อแม่ที่ร่วมเผชิญชะตากรรมเดียวกัน
เมื่อมีเคสเด็กหาย ที่สังคมไม่ให้ความสนใจ จอห์นและหลุยส์จะช่วยประโคมข่าว เพื่อให้ประชาชนรับรู้ พวกเขามุ่งมั่นที่จะหาลูกตัวเอง และหวังว่าครอบครัวอื่นจะได้พบกับลูกของพวกเขาเช่นกัน
เรื่องราวความไม่ย่อท้อของทั้ง 2 กลายเป็นข่าวดัง ทำให้ในปี 1985 ทั้งคู่ถูกเชิญไปทำเนียบขาว เพื่อเข้าพบประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกน (Ronald Reagan) จุดประกายสังคมให้หันมาตระหนักถึงเรื่องเด็กหาย และการลักพาตัวเด็ก
จอห์นถึงขั้นเขียนหนังสือบอกเล่าเรื่องราวการตามหาลูก เพื่อหวังให้ครอบครัวอื่นได้มีแนวทางในการหาคนรัก เมื่อเขียนจบ ขณะจะตั้งชื่อเรื่อง พ่อของไคล์ก็หวนนึกถึง คำสัญญาของลูกที่ให้ไว้ว่า จะขับรถกลับบ้านมาในวันศุกร์ที่จะถึง
นั่นทำให้เขาตั้งชื่อหนังสือด้วยแรงบันดาลใจในคำพูดของไคล์ว่า
วันศุกร์ ที่ไม่เคยมาถึง
3.
ในช่วงเวลาที่เฝ้ารอและค้นหาลูก จอห์นยอมรับว่า เขาเคยสันนิษฐานว่า บางทีไคล์อาจหนีออกจากบ้าน และหายไปเฉยๆ เพื่อไปแสวงหาชีวิตใหม่
“ลูกผม ไม่เคยอยากเรียนมหาวิทยาลัย บางทีเขาอาจคิดถึงเงินที่พ่อแม่ส่งให้ แล้วมองว่าตัวเองเป็นภาระ แต่แทนที่จะลาออกจากมหาวิทยาลัย แล้วระบายความในใจตรงนี้ เขากลับเลือกวิธีง่ายๆ นั่นก็คือหายตัวไปจากครอบครัวเฉยๆ”
เมื่อตอนหายตัวไปใหม่ๆ พ่อแม่ได้เข้าไปในห้องพักไคล์ และไม่พบทรัพย์สินข้าวของอะไรเลย นั่นจึงประจวบเหมาะกับสันนิษฐานที่ว่า ลูกคงหายตัวไป
หากเป็นไปตามทฤษฎีนี้ อย่างน้อยจอห์นและหลุยส์ก็ยังโล่งใจว่า บุตรชายยังมีชีวิตอยู่ ณ ที่แห่งใดแห่งหนึ่งของโลกใบนี้ นั่นทำให้พวกเขามีความหวังว่าจะได้พบลูกในสักวัน
แต่นานวันเข้า จอห์นก็เริ่มเชื่อว่าบางที ไคล์อาจถูกฆาตกรรมและเอาร่างไปทิ้งสักที่ หรือฝังดินไว้สักแห่งในโลกใบนี้
เดือนมีนาคม ปี 2005 มีโทรศัพท์ปริศนาแจ้งแก่จอห์นและหลุยส์ บอกว่าตอนเขาอายุได้ 7 ขวบ ได้เห็นร่างของไคล์ถูกเอายัดถังและโยนไปในบ่อน้ำ ในที่ของชายคนหนึ่งผู้ซึ่งเป็นโจรลักรถ
พลันที่ทราบข่าว ตำรวจทำการสืบสวนคดีนี้อย่างทันที จากเบาะแสใหม่นี้ ทำให้ข้อสันนิษฐานของนักสืบคาดว่า ไคล์อาจจะถูกปล้น แต่ไม่มีทรัพย์สินมีค่าพอ จึงถูกฆ่าอย่างเงียบๆ หรือขณะทำงานเป็นบาร์เทนเดอร์ เขาอาจได้ยินเรื่องอะไรที่ไม่สมควรจะได้ฟังจึงถูกฆ่าปิดปาก
อย่างไรก็ดี เมื่อตำรวจสืบสวน โดยไปที่บ่อดังกล่าว และทำการขยายวงค้นหารอบๆ พวกเขากลับไม่พบแม้กระทั่งรถหรือชิ้นส่วนกระดูกมนุษย์แต่อย่างใด นั่นทำให้นักสืบทำการตรวจสอบข้อมูลทั้งหมด จนสาวไปพบปลายสายปริศนาที่แจ้งเบาะแสนี้ได้
พวกเขาพบว่า ข้อมูลนี้มาจากเด็กหนุ่ม 2 คน เมื่อทำการสืบสวนก็พบว่าทั้งคู่แต่งเรื่องขึ้น ความหวังจะได้พบความจริงเกี่ยวกับไคล์ของจอห์นและหลุยส์ดับมอดลงอีกครั้ง
ทั้งนี้ทางการถือว่าข้อมูลปลอมนี้ มีความผิดตามกฎหมาย จึงแจ้งข้อหาขัดขวางกระบวนการยุติธรรม ไม่รู้ว่าเด็กหนุ่มทั้ง 2 คิดอะไร แต่มันทำให้พวกเขาถูกดำเนินคดี และ 1 ใน 2 คนนี้ ต้องติดคุกไปถึง 5 ปีเต็มๆ
เวลาผ่านไปเรื่อยๆ หลายสิบปีแล้ว จอห์นและหลุยส์ก็ยังไม่รู้ว่า ไคล์หายไปไหน แต่แม้จะไม่รู้ความจริง หลุยส์ก็ให้สัมภาษณ์กับนักข่าวว่า
“ฉันยังคงคิดถึงลูกอยู่ทุกวันเลย 22 ปีที่ผ่านมา คุณจะให้เราลืมเรื่องนี้ไป เหมือนปิดก๊อกน้ำไม่ได้หรอก”
4.
วันที่ 7 ธันวาคม ปี 2021 เจ้าหน้าที่ได้รับเบาะแสสำคัญ เมื่อพยานคนหนึ่งขับรถผ่านหนองน้ำใกล้ถนนเคาน์ตี้ที่ 83 แล้วเขาเห็นบางสิ่งคล้ายประตูรถโผล่พ้นผิวน้ำ จึงแจ้งข้อมูลแก่ตำรวจที่รีบรุดมาทันที และพบรถจมในนั้น จึงทำการกู้ซากขึ้นมาได้
สิ่งที่พบในรถ คือสภาพศพที่เหลือแต่กระดูกอยู่ในเสื้อผ้า นักสืบพบเอกสารบัตรประชาชนของคนที่ชื่อว่า ไคล์ คลินสเกลส์ แต่ยังไม่อาจฟันธงได้ว่าศพนี้ คือไคล์ ลูกชายที่หายตัวไปกว่า 45 ปีหรือไม่
จะว่าเป็นโชคชะตาหรือไม่ ที่ระดับน้ำในบึงดังกล่าว ลดต่ำลง จนทำให้ซากรถฟอร์ดปรากฏขึ้น หลังจากตามหามาหลายปี ทางการก็พบเบาะแสสำคัญเข้าให้แล้ว
ทั้งนี้ทางเส้นดังกล่าว ไม่เคยเป็นจุดที่เจ้าหน้าที่ให้ความสนใจในการค้นหามาก่อน เพราะไม่ใช่ถนนสายหลักที่ไคล์ขับกลับที่พัก เพราะยังมีอีกทางที่ใช้ได้สะดวกกว่า
ในที่สุดจอห์นและหลุยส์ก็ใกล้พบความจริงเกี่ยวกับตัวไคล์แล้ว ทางเจ้าหน้าที่นำชิ้นส่วนกระดูกที่พบ ไปตรวจสอบอย่างละเอียด ตรวจหาดีเอ็นเอ และตรวจหาสาเหตุการเสียชีวิต ซึ่งพบว่าไม่ได้เกิดจากการฆาตกรรม แต่เกิดจากการถูกกระแทกจากตัวรถ ซึ่งก็ไม่อาจฟันธงได้ว่า เกิดจากอุบัติเหตุหรือผู้เสียชีวิตเจตนาฆ่าตัวตาย
การตรวจสอบระบุอัตลักษณ์ผู้เสียชีวิต ใช้เวลากว่า 2 ปี ด้วยความช่วยเหลือจากหน่วยงานหลายแห่งที่อยากคลี่คลายคดีและมอบความจริงให้กับจอห์นและหลุยส์
นั่นทำให้ ในวันที่ 19 กุมภาพันธ์ ปี 2023 เจ้าหน้าที่ก็สามารถระบุได้ว่าศพที่พบในรถ คือ ไคล์ คลินสเกลส์
ผ่านไปกว่า 47 ปี คำถามข้อสงสัยที่ควานหาคำตอบมานาน สิ้นสุดลงแล้ว
แต่น่าเสียดายหัวใจเศร้า จอห์นและหลุยส์ไม่ได้มีชีวิตยืนยาวพอจะอยู่ถึงวันที่ความจริงปรากฏ
5.
จอห์น คลินสเกลส์ เสียชีวิตลงในปี 2007 โดยก่อนตาย เขาได้ส่งมอบตัวอย่างดีเอ็นเอให้กับทางการ เผื่อวันข้างหน้าจะได้ตรวจสอบเทียบเคียงอัตลักษณ์ยืนยันตัวตนไคล์ได้
มะเร็งคร่าชีวิตจอห์นไปก่อนที่จะได้รู้ความจริง
ระหว่างนั้นหลุยส์ แม้จะชราแต่ไม่ยอมแพ้ เธอมอบตัวอย่างดีเอ็นเอให้กับทางการ ตอนที่พบรถและศพที่น่าจะเป็นไคล์นั้น เธอได้รับรู้เรื่องนี้ แต่ยังไม่อาจตกลงปลงใจได้ว่า นี่เป็นร่างของลูกชายที่หายไป จนกว่าจะพิสูจน์ตามหลักวิทยาศาสตร์ได้
เธอย้ำว่าจะค้นหาลูกชาย จวบจนวันสุดท้ายของชีวิต
และแล้ว 11 เดือนก่อนที่ความจริงจะปรากฏ หลุยส์ก็จากโลกไปอีกคน
โทรศัพท์ของตำรวจที่แจ้งข่าวยืนยันว่าศพที่พบในรถคือไคล์ ดังขึ้น แต่คนรับไม่ใช่จอห์นกับหลุยส์ แต่เป็นอาของไคล์แทน พลันที่ทราบข่าว เธอก็โล่งใจที่ความจริงได้ปรากฏ
แต่ก็เสียใจที่จอห์นและหลุยส์ไม่ได้มีชีวิตยืนยาวพอจะรับรู้ข่าวนี้
เจ้าหน้าที่นำร่างของไคล์ฝังลงเคียงข้างหลุมศพของพ่อกับแม่ ซึ่งได้ทำที่เว้นไว้ เพื่อรอลูกชายสุดที่รัก แม้ยามมีชีวิตจะพบกันในช่วงเวลาสั้นๆ แต่จากนี้พวกเขาจะอยู่เคียงคู่กันไปตลอดกาลชั่วนิรันดร์
“พวกเขาเป็นคริสตชนที่ดี มีศรัทธาที่ไม่เคยหมด พวกเขาไม่เคยล้มเลิกความหวังว่าจะได้พบลูก”
อาของไคล์ได้กล่าวกับนักข่าว ถึงจุดจบแห่งการค้นหาไว้อย่างงดงามว่า
“เมื่อพวกเรา ฝังร่างเขาแล้ว ฉันรู้สึกว่าครอบครัว เหมือนกลับมาใกล้ชิดกันอีกครั้ง”
“เพราะในที่สุด ไคล์ก็ได้ไปสู่สุคติเสียที”
อ้างอิงจาก