เซ็กซ์เป็นเรื่องของรสนิยม และรสนิยมไม่ใช่เรื่องที่ผิด
เราเคยได้ยินประโยคนี้กันมานาน ยิ่งวันเวลาผ่านพ้นไปด้วยความที่มีสิ่งที่เรียกว่าอินเทอร์เน็ตทำให้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับรสนิยมและเซ็กซ์ค่อนข้างที่จะทั่วถึงและแพร่หลายมากขึ้น แต่ถึงอย่างนั้นทั่วถึงคือทั่วถึงแบบมีอยู่ทั่วและเข้าถึงได้ แต่ไม่ใช่ทั่วถึงในแง่การรับรู้ เพราะยังมีมุมมืดของเรื่องเซ็กซ์ที่ยังรอคอยการทำความเข้าใจอย่างถ่องแท้อยู่ และมุมมืดในที่นี้ไม่ใช่ความหมายในเชิงน่ากลัว ดาร์ก หรือควรถอยห่าง หากแต่เป็นความหมายที่พูดถึงพื้นที่ที่แสงยังส่องไปไม่ถึงเหมือนความมืดใต้มหาสมุทรอันกว้างใหญ่
แม้การมาของอินเทอร์เน็ตจะทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนความรู้อย่างว่องไวและวงกว้าง แต่ปัจจุบันนี้ในยุคที่เต็มไปด้วยสื่อ วิดีโอ และบทความที่หลากหลายมากมาย การเข้าถึงอะไรเหล่านั้นเอาเข้าจริงก็ดันมาเฉลี่ยกันด้วยข้อมูลที่หลากหลายและผู้ผลิตที่มีจำนวนมหาศาลอีก
ธรรมชาติของคนมักจะเสพเรื่องที่ตัวเองสนใจหรือใกล้เคียงกับเรื่องที่ตนเองสนใจอยู่แล้วมากกว่าเปิดรับสิ่งใหม่ และมักจะจดจำได้ดีจากอะไรที่มันสนุกๆ มากกว่าวิชาการเน้นๆ หรือตัวอักษรเรียงเป็นตับ อะไรเหล่านี้เป็นอุปสรรคต่อการเรียนรู้ ในขณะเดียวกันสื่อประเภทบันเทิงกลับมีบทบาทที่สำคัญในการให้ความรู้ และกระตุ้นให้เกิดความอยากรู้อยากเห็นหรือสนใจจนไปศึกษาค้นคว้าเรื่องนั้นเพิ่ม โดยเฉพาะหนังซีรีส์ทุกวันนี้ที่พูดถึงเรื่องเพศอย่างตรงไปตรงมากว่าครูในห้องเรียน
Love and Leashes ที่กำลังติดเทรนด์หนังอันดับ 2 Netflix ประเทศไทยคือหนังเรื่องนั้น หนังที่เป็นส่วนผสมระหว่างความเป็นหนัง sex education กับหนังให้ความบันเทิงแนวรอมคอมที่มีโมเมนต์ให้ฟินให้จิกหมอน ที่จะพาไปสำรวจและเรียนรู้โลกของ BDSM พร้อมทั้งทำหน้าที่ที่ได้กล่าวไปอย่างได้ผลทั้งระหว่างดูและหลังดูจบ
(เนื้อหาต่อไปนี้เปิดเผยข้อมูลสำคัญภาพยนตร์ Love and Leashes และมีเนื้อหา 18+)
ก่อนจะพูดถึงเรื่องรสนิยมในการประกอบกิจกรรมทางเพศและเข้าสู่เนื้อหาของหนัง ต้องพูดถึงประเด็นสำคัญที่เกี่ยวข้องอย่าง ‘ความตื่นเต้น’ และ ‘การตอบสนองต่อสิ่งเร้า’ กันก่อน
แต่ละคนจะมีระดับสารเคมีในสมองไม่เท่ากัน บางคนมาก บางคนน้อย เหมือนกับที่บางคนเกิดมาบ้าจี้เมื่อเอามือไปจิ้มซี่โครงแต่บางคนก็ไม่อย่างหาสาเหตุไม่ได้ สารเคมีในสมองเป็นตัวกำหนดอารมณ์ความรู้สึกก็ใช่ (แม้พูดอย่างนั้นแล้วจะทำให้ความรักดูโรแมนติกน้อยลงก็ตาม) แต่ในขณะเดียวกันปัจจัยที่เกี่ยวกับประสบการณ์ มุมมอง กับความรู้สึกต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ไม่เหมือนกัน ซึ่งเป็นคนละเรื่องกับร่างกาย เช่น ความกลัว ความรู้สึกชอบ ที่ไม่ว่าจะเกิดขึ้นเองหรือมีสาเหตุ ก็เป็นตัวกระตุ้นหรือมีส่วนตั้งแต่ 0-100% ให้ร่างกายหลั่งสารเคมีพวกนั้นและหลั่งสารฮอร์โมนที่มีผลต่อความรู้สึกออกมามาก-น้อยเช่นกัน
พอเป็นเช่นนี้ ด้วยร่างกาย (body) และจิตใจ (mind) ที่ไม่มีใครเหมือนกันและเกิดมาเป็นเช่นนั้น การตอบสนองต่อสิ่งเร้าเดียวกันของแต่ละคนก็จะไม่เท่ากัน อยู่ที่ใครจะรู้ตัวเร็วหรือช้า ที่กำลังจะพูดคือเรื่องของเซ็กซ์และการเกิดอารมณ์ทางเพศแทบจะเป็นเรื่องเดียวกันเลย ตัวอย่างของรสนิยมทางเพศที่เราเห็นๆ กันก็จะมีรสนิยมรักต่างเพศและเพศกำเนิดเดียวกัน แต่ถ้าลึกไปอีกก็จะพบว่ามีบางคนมีอารมณ์นอกสถานที่, เมื่อได้มอง (ต่อให้การมองนั้นจะเป็นการมองคนรักตัวเอกมีเซ็กส์กับคนอื่นโดยที่ตัวเองนั่งเฉยๆ ก็ตาม), เมื่อมีเซ็กซ์กับคนมากกว่า 1 คนขึ้นไป, ชอบวัตถุ, ชอบการถูกดูดหัวแม่โป้งเท้า, ชอบการถูกมัด, การสวมบทบาท, คอสเพลย์, การใช้กำลัง ไปจนถึง Asexual (คนที่ไม่มีแรงดึงดูดทางเพศ)
มีเคสหลายเคสที่ถูกยกเป็นเคสประหลาดมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ต้องถูกเหวี่ยงลูกตุ้มหรือเตะเข้าที่หว่างขาแรงๆก่อนถึงจะมีอารมณ์ ,คนที่รู้สึกรักหอไอเฟล กับรักโคมระย้า หรือมีความรู้สึกทางเพศกับโต๊ะ หุ่นยนต์ทำความสะอาดพื้นมากกว่าคน บางคนมีอารมณ์กับเสียงสูงต่ำ เสียงสองเสียงสาม หรือเสียงซ่าๆ ของทีวีก็มี แต่ที่ถูกระบุว่าเป็นเคสประหลาด เพราะมันฟังดูแปลก ไม่คุ้น ไม่สามารถเห็นหรือได้ยินบ่อยโดยทั่วไป หรือก็คือเป็นส่วนน้อย
ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะความชอบแต่ละคนไม่เหมือนกันและเรื่องเหล่านี้คือรสนิยมส่วนตัวที่จะเผยกับคู่ที่ตนไว้ใจหรือที่ต้องผ่านการค้นพบ ลองผิดลองถูก และรู้ตัวก่อนนั่นเอง จึงไม่จำเป็นต้องออกมาพูดกัน และที่จะพูดวันนี้คือรสนิยมแบบ BDSM ซึ่งเป็นประเด็นหลักของหนัง Love and Leashes ในฐานะแขนงหนึ่งของรสนิยมทางเพศ
Love and Leashes เป็นหนังดัดแปลงจากเว็บตูนเกาหลีชื่อ ‘Moral Sense’ ที่มีเรื่องราวเริ่มต้นจากการที่พระเอกชื่อ จองจีฮู ที่รับบทโดย อี ยุนจอง (Lee Jun-young) จากวง U-KISS ดันไปชื่อคล้ายนางเอกที่ชื่อ จองจีอู รับโดย ซอฮยอน (Seohyun) วง Girls’ Generation ทำให้จองจีอูไปบังเอิญพบเข้าว่าจองจีฮู (จากนี้จะขอเรียกแทนว่าพระเอก-นางเอกเพื่อให้อ่านแล้วไม่งง) ชอบใส่ปลอกคอหมา และยิ่งรู้จักก็ยิ่งค้นพบว่าเขาเป็นคนประเภทที่ภายนอกดูขรึมๆ เท่ๆ ปกติทั่วไป แต่จริงๆ แล้วขี้แย ชอบทำตัวเป็นหมาน้อย มากไปกว่านั้นยังต้องการให้เธอเป็นนายหญิง และต้องการให้นางเอกของเราก่นด่า สบถ ตะโกน และปฏิบัติกับเขาอย่างรุนแรงซึ่งเกิดจากความเข้าใจผิดทำให้เผยความต้องการออกไปตรงๆ
ประเด็นอยู่ที่นางเอกก็ชอบพระเอกเหมือนกัน เธอมีบุคลิกนิ่งๆ แต่ชอบก็บอกว่าชอบ และภายใต้การกดทับจากเพศชาย (เป็นปัญหาใหญ่อย่างหนึ่งของเกาหลีที่ยังแก้ไม่ตกซักที) เธอมีทัศนคติที่แตกต่างและไม่ได้มองว่าทุกอย่างขึ้นอยู่กับฝ่ายชายอย่างเดียว โดยเฉพาะเรื่องของความรักความชอบ ที่ผู้หญิงสามารถเทคแอ็กชั่นด้วยการเข้าหาก่อนได้ หนังจึงได้สร้างความเข้าใจเกี่ยวกับรสนิยมแบบ BDSM ด้วยการให้นางเอกที่ต้องการอยู่ใกล้พระเอกเพราะชอบ ทำสิ่งที่พระเอกชอบและหาวิธีที่จะตอบสนองเขาด้วยวิธีการที่เหมาะสมจากการไปเสิร์ชอินเทอร์เน็ต นั่นเป็นการเปิดโลกให้กับเธอพอๆ กับที่หนังเรื่องนี้เปิดโลกให้กับเรา
Love and Leashes แตกต่างกับหนังชื่อดังประเภทเดียวกันอย่าง Fifty Shades of Grey ตรงที่เรื่องนั้นเป็นหนังที่เน้นฉากเซ็กซ์เร่าร้อนโดยคนสองคนชอบมัน ในขณะเรื่องนี้เป็นหนังประเภทที่เราได้เรียนรู้และรับรู้อะไรไปพร้อมนางเอกที่ไม่ได้มีรสนิยมแบบเดียวกัน แต่สนใจและลองดูเพราะพระเอกชอบแบบนี้
เรื่องการสวมบทบาทและใช้อุปกรณ์ แบ่งเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือประเภทเป็นสีสันให้ดูแปลกใหม่และกระตุ้นอารมณ์สร้างความตื่นเต้น เช่น สวมใส่ชุดต่างๆ เรียกชื่ออื่นสรรพนามอื่น กับอีกมากมายในระดับต้นและแป็นครั้งคราว กับอีกประเภทคือประเภทที่ทำอะไรเหล่านั้นประจำจนเป็นปกติ ต้องทำเท่านั้น และหากไม่ทำจะไม่เกิดอารมณ์ เช่นเดียวกัน BDSM เป็นได้ตั้งแต่กิจกรรมเพื่อเสริมกระตุ้นอารมณ์ให้กับคู่รัก ถึงกิจกรรมที่สร้างอารมณ์ทางเพศให้กับคู่รักและตนเอง
- B ย่อมาจาก Bondage หรือพันธนาการ
- D ย่อมาจาก Discipline หรือการตั้งกฎระเบียบและการลงโทษ
- S ย่อมาจาก Sadism มีความสุขในการทำร้ายคนอื่น และ
- M ย่อมาจาก Masochism หรือมีความสุขจากการถูกคนอื่นทำร้าย
สิ่งที่ต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับ BDSM อยู่ในช่วงต้นของหนังหรือคำโปรยที่มีตัวละครออกมาพูดตั้งแต่เครดิตยังไม่ขึ้นว่า “พูดถึงเรื่องของอำนาจแล้วไม่มีความท่าเทียมกันหรือสามารถวัดได้ว่าเท่าเทียมจริงๆ ต้องมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีอำนาจน้อยกว่ามากกว่าเสมอ” ในชีวิตจริงก็เช่นเดียวกัน ไล่ลงมาตั้งแต่หน่วยใหญ่ยันหน่อยย่อยสุดตั้งแต่อำนาจการเมืองสังคม อำนาจในที่ทำงาน โรงเรียน ครอบครัว คู่รัก ไปจนถึงการสลับขั้วอำนาจกันได้ตลอดเวลาขณะมีเซ็กส์ ฉะนั้นที่พูดจึงไม่ใช่เรื่องผิด BDSM เป็นเรื่องของ ‘อำนาจ (power)’ และการ ‘ยินยอม (consent)’
นอกจากอักษรสี่ตัวที่ได้พูดถึงไป เซ็กซ์แบบ BDSM เป็นการสวมบทบาทระหว่างผู้มีอำนาจมากกว่าและผู้กระทำที่เรียกว่า ‘ดอม (Dom)’ มาจากคำว่า Dominant กับสายอยู่ต่ำกว่า ด้อยกว่า และเป็นผู้ยอมจำนนให้ดอมทำทุกอย่างที่เรียกว่า ‘ซับ (Sub)’ ที่มาจากคำว่า Submissive โดยแบ่งเป็นดอมหญิงและดอมชาย กับซับหญิงและซับชายอีกที
แพทย์ระบุว่ารสนิยมทางเพศ ‘ไม่ใช่ความผิดปกติ’ และ ‘ไม่จำเป็นต้องได้รับการรักษา’ เพียงแต่ควรได้รับความเข้าใจจากคู่ตัวเอง และเป็นเรื่องดีหากเป็นเช่นนั้น สำหรับพระเอกที่เจอนางเอกที่ไม่เพียงแต่จะเข้าใจ แต่ยังมีความพยายามทำความเข้าใจโลกของพระเอกและตัวตนของพระเอกด้วย มันแสดงถึงความรักเอาใจใส่ และความที่ชอบในตัวตนของพระเอกจริงๆ อย่างที่เธอพูดประโยคหนึ่งกับเขาว่า “ถ้าเรารักใครซักคน หากทำอะไรที่คนนั้นชอบได้ก็ควรทำไม่ใช่หรอ”
จองจีอูหรือนางเอกเป็นตัวละครที่มีบุคลิกดูฉลาด มายด์เซ็ตของเธอก่อให้เกิดการปรับตัวเข้าหา ซึ่งในหนังไม่ได้มีฉากที่บ่งบอกว่านางเอกชอบทำสิ่งนี้ อันที่จริงถึงแม้กฎของการเป็นดอมหญิงที่กระทำต่อซับชายคือห้ามแสดงให้อีกฝ่ายรู้สึกว่าสิ่งนั้นไม่จริง
สีหน้านางเอกที่เก็บอาการค่อนข้างเก่งก็ยังแสดงออกให้เห็นว่าลึกๆ เธอรู้สึกไม่แน่ใจอยู่ตลอดเวลาว่าที่ทำไปมันดีจริงๆหรอ แล้วพระเอกจะเจ็บมั้ย (แน่นอนโดยทั่วไปโดยพื้นฐานคงไม่มีคนชอบทำร้ายคนหรอก) ถ้าที่ทำไปแรงไปจะทำยังไง สิ่งเหล่านี้อยู่ในหัวของเธอตลอดเวลาแต่ในเมื่อนางเอกรู้สึกว่าตัวเองต้องทำสิ่งนี้ ถึงเธอจะไม่ได้สะใจและไม่ได้เป็นดอมจริง แต่เธอก็ทำมันหากพระเอกชอบในสิ่งนี้ แม้มันจะมีจังหวะเคอะเขินหรือประดักประเดิดไปบ้างก็ตาม
ในหนังมีช่วงเวลาที่นางเอกสงสัยว่า สิ่งที่เธอทำนั้นหรือการเป็นดอมปลอมถูกหรือไม่ และถ้าให้พูดเกี่ยวกับชีวิตคู่ มันเป็นเรื่องดีกว่าที่คนสองคนจะชอบอะไรเหมือนกัน (แม้การเป็นดอมกับซับและ S กับ M จะเป็นขั้วตรงข้ามกัน) เพราะทั้งคู่จะเหมือนชิ้นส่วนที่ขาดหายและเติมเต็มช่องว่างของอีกฝ่ายได้ แต่หากสิ่งที่ทำนั้นจริงและตัวของนางเอกรู้สึกว่าไม่ใช่เรื่องเสียหายที่จะทำสิ่งนี้ รวมไปถึงเธอสวมบทบาทได้อย่างแนบเนียนและพระเอกเกิดความพึงพอใจ และตอบคำถามได้ว่าถ้าทำสิ่งนี้ต่อไปหรือพระเอกเป็นแบบนี้เสมอๆ แล้วเธอจะโอเคกับมันไปตลอดหรือไม่ ไม่มีเหตุผลเลยที่เธอกับเขาจะไม่เหมาะกัน
จึงมาสู่เรื่องกฎของการเป็นดอมซับ ที่ไม่ใช่ว่าพอพูดถึงการชอบความรุนแรงแล้วจะสามารถใช้ความรุนแรงอะไรก็ได้กับอีกฝ่าย จริงๆ มันเป็นเรื่องยากพอสมควรที่จะรู้ว่าอะไรผิดถูก ควรไม่ควร หรือน้ำหนักหนักเบา ทำให้ความปลอดภัย (Safe), ความมีสติอยู่ตลอดเวลา (Sane) และการได้รับความยินยอม (Consent) เป็นสิ่งสำคัญหรือเช็กลิสต์ที่ทั้งคู่ต้องมีอยู่ตลอดเวลา และพึงตระหนักไว้เสมอว่าจะต้องไม่เป็นการบังคับฝืนใจใครโดยพลการ
ตัวละครนางเอกมีสามสิ่งนี้ตลอดการ play กัน
- เธอทำทุกอย่างอย่างรัดกุม ✓
- เธอรู้ตัวเสมอว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ ✓
- และพระเอกเองก็เป็นคนเซ็นสัญญาเพื่อบ่งบอกถึงความเต็มใจและความยินยอมพร้อมใจจะทำสิ่งนี้✓
อีกตัวละครที่พูดถึงประเด็นนี้คือตัวละครเจ้าของคาเฟ่หมาที่ภายหลังเรื่องราวก็ได้เผยว่าเป็นคนที่ชอบสไตล์ bondage หรือพันธนาการเหมือนกัน และนัดกับชายในแอปฯ เพื่อไปประกอบกิจกรรมทางเพศ แต่ทว่าชายที่ใช้โค้ดลับว่าเพนกวิ้นกลับตีตนไปก่อนไข้ว่าการที่เธอนัดมาแบบนี้ คือเธอเป็นพวก ‘ชอบความรุนแรง’ อยู่แล้ว จึงทำอะไรกับเธอก็ได้โดยที่ไม่ถามด้วยจุดประสงค์เพื่อต้องการสะใจและกระตุ้นอารมณ์เธอกับตัวเองไปในตัว ซึ่งขาดทุกข้อในทั้งสามข้อนี้ การขาดการยินยอมจึง = การละเมิดลิทธิ เสรีภาพ และความเท่าเทียม
นอกจากนี้คู่ดอมซับยังมี safe word คือคำศัพท์ที่รู้กันสองคนหรือการใช้สัญลักษณ์บางอย่าง เพื่อส่งซิกให้หยุดการสวมบทบาทได้แล้ว ในเรื่องนางเอกเป็นคนกำหนดให้ใช้เป็นแว่นตา และเมื่อถอดแว่นตาหมายถึงไม่ได้อยู่ในโหมดขอให้สวมบทบาทแล้ว และยังมีคำศัพท์ประหลาดๆ ที่รู้กันสองคนคือคำว่า ‘ดุงดุง’ เป็นศัพท์ที่บอกอีกฝ่ายเหมือนใช้คำว่า ‘Stop’
อีกทั้งประเด็นที่เป็นใจความของหนังเรื่องนี้ไม่ต่างจากประเด็นดอมซับคือเรื่องของกิจกรรมประเภทนี้ที่เป็นหนึ่งในรูปแบบของกิจกรรมทางเพศไม่ต่างจากการมีเซ็กซ์ หรือการนัดคนแปลกหน้าจากแอปฯ หรือที่เจอตามผับบาร์ไปสานต่อเรื่องบนเตียง ณ สถานที่แห่งหนึ่ง ฉะนั้นเรื่องการเป็นดอมซับจึงแยกออกจากกันกับเรื่องความรักได้ เหมือนที่ความรักกับเซ็กซ์ในแง่หนึ่งผุกพันและเกี่ยวโยงกัน แต่ในอีกแง่ก็สามารถปราศจากกันและกันอย่างสิ้นเชิงได้
นางเอกมีใจให้พระเอก และแสดงความต้องการจะเป็นแฟนให้เห็น แต่พระเอกกลับเป็นฝ่ายที่ปฏิเสธนางเอกเพราะไม่ต้องการให้สิ่งที่ทั้งคู่กำลังทำอยู่สานต่อไปเป็นอะไรที่มากกว่านั้น แต่แท้จริงแล้วตัวเองก็ชอบนางเอกเหมือนกัน เพียงแต่ว่าเขาขาดความมั่นใจเนื่องจากแฟนเก่า toxic กดเขาให้ต่ำและไม่เพียงแต่ไม่เข้าใจพระเอก แต่ยังพูดดูถูกเขาราวกับเขาไม่ได้เป็นมนุษย์อีกด้วย
ทั้งที่จริงๆ หากไม่ชอบ ไม่โอเค ไม่ได้ให้ค่าสิ่งเดียวกัน ไม่ได้เห็นตรงกัน ก็สามารถจากกันด้วยดีได้ แต่ท้ายที่สุดแล้วหนังก็บอกเราอีกว่าแต่ถ้ามั่นใจแล้วจริงๆ ว่า 1. ทำสิ่งนี้ เลยเกิดเป็นความรัก กับ 2. เพราะรักถึงทำสิ่งนี้ แล้วถ้าทั้งคู่เห็นตรงกัน เข้ากันได้ เติมเต็มกันได้ มันก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะปฏิเสธความรักนี้หรือปฏิเสธว่ามันไม่ใช่ความรัก
กับอีกจุดที่หนังเลือกใช้ปิดท้ายเป็นข้อความสู่คนดูคือการเปิดเผยว่าตัวละครพนักงานใหม่คือคนที่ใช้ชื่อ ‘เฟมเฟม’ ที่คอยให้ความรู้และคำปรึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้ตลอดมา การที่หนังออกแบบให้เรื่องนี้เกิดในออฟฟิศ พนักงานแต่งตัวคุมโทนเรียบร้อย เจ้าของคาเฟ่หมาที่นางเอกพระเอก (และคนดู) ก็เพิ่งมารู้ทีหลังเหมือนกันว่าชอบแบบนั้น โดยเฉพาะการมีอยู่ของตัวละครนี้กับการที่ปิดฉากด้วยกล้องที่ซูมออกให้เห็นว่าเขานั่งอยู่ท่ามกลางพนักงานออฟฟิศมากมาย ก็เพื่อที่จะบอกว่า “พวกเขาเป็นคนธรรมดาๆ อย่างพวกเราเนี่ยแหละ” ตอนสวมบาทอาจเป็นอีกอย่าง อีกคน อีกบุคลิก เหมือนที่เคยได้ยินกันบ่อยๆว่า “เซ็กซ์กับบทสนทนาคือหนึ่งในหลายช่องทางที่ดีที่สุดการเปิดเผยตัวตนที่แท้จริง”
แต่พอสิ้นสุดการสวมบทบาท ก็กลับเข้าสู่โหมดปกติ ใช้ชีวิตแบบ ‘live normal live’
อาจจะต้องทำการแยกนิดหนึ่งระหว่าง ‘หนังที่ดี’ กับ ‘หนัง BDSM ที่ดี’ เพราะหากพูดถึงในแง่ภาพยนตร์แล้ว Love and Leashes เป็นหนังระดับกลางๆ ที่เนื้อเรื่องอาจไม่ได้มีอะไรเท่าไหร่นัก และมีบทบางช่วงบางตอนที่ดูง่ายไปหรือเมโลดราม่าพอสมควรโดยเฉพาะฉากท้ายๆ แต่ก็ถือว่าเป็นหนังที่ดูแล้วสนุก และทำเอาคนดูต่างก็พากันเขินอายและเขินอิน หัวเราะ ยิ้ม ไปกับสิ่งที่เกิดขึ้นได้ตลอดทาง ซึ่งก็ถือว่าหนังสอบผ่านในแง่ของความบันเทิงขั้นต้นแล้ว
แต่อย่างที่ว่า หน้าที่ของหนังในฐานะสื่อแขนงหนึ่งไม่ได้มีบทบาทแค่นั้น บวกกับหนังที่ไม่ได้เน้นขายฉากเซ็กซ์ (หรือที่จริงต้องบอกว่าไม่มีฉากเซ็กซ์ให้เห็นเลยซักฉาก) แต่เน้นพาคนดูไปรู้จักโลกที่ยังไม่เคยรู้จัก และทำความเข้าใจกับมันอย่างเปิดเผยมากขึ้น Love and Leashes จึงเป็นหนัง BDSM ที่ดีที่สร้างมุมมองใหม่ให้กับคนที่ไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อนให้ได้เข้าใจคนที่ชอบเซ็กซ์แบบ BDSM มากขึ้น รวมถึงทำให้เกิดการพูดถึงในวงกว้าง และทำให้ชาว BDSM เข้าใจตัวเองมากขึ้นว่าสิ่งนี้คือรสนิยม พวกเขาที่อยู่ในสังคมนี้อย่างเราๆ เดินท่ามกลางหมู่เราแบบที่ถ้าไม่บอกก็ไม่รู้ ไม่ใช่คนที่ผิดปกติ และบอกคนที่กำลังสงสัยตัวเองเช่นกันว่า “พวกคุณไม่ได้ผิดปกตินะ”