เกริ่นนำ
บทความนี้เป็นเรื่องของชิโอริ อิโน (Shiori Ino) หญิงสาวที่มีชีวิตได้เพียง 21 ปีก็ถูกฆาตกรรมในปี ค.ศ.1999 ความตายของเธอนำมาซึ่งแรงสั่นสะเทือนในสังคมญี่ปุ่น ทำให้เกิดการออกกฎหมายป้องกันการคุกคามจากพวกโรคจิตที่คอยสะกดรอยติดตามคนที่ชอบในลักษณะสุดอันตราย หรือที่รู้จักกันในชื่อว่า ‘พวกสตอล์กเกอร์ (Stalker)’ โดยเบื้องหลังความตายของเธอนั้นกลับเต็มไปด้วยเรื่องอื้อฉาว ทั้งจากตำรวจและสื่อมวลชนเอง
1.
มกราคม ปี ค.ศ.1999 ชิโอริกับเพื่อนเข้าไปเล่นเกมใกล้สถานีรถไฟใต้ดินแห่งหนึ่งในจังหวัดไซตามะ ขณะกำลังเพลิดเพลินตามประสาวัยรุ่นอยู่นั้น ชายหนุ่มที่ชื่อว่า คาซูฮิโต โคมัทซึ (Kazuhito Komatsu) วัย 26 ปีได้เข้ามาจีบพูดคุย ก่อนจะชวนชิโอริกับเพื่อนไปร้องคาราโอเกะกับเพื่อนๆ ของชายหนุ่มกัน ที่นั่นหญิงสาวได้ให้เบอร์โทร. แก่ชายหนุ่มที่เข้ามาจีบ และได้นัดกันทานข้าวในเวลาต่อมา
เมื่อเดตแรกเกิดขึ้น โคมัทซึโกหกอายุตัวเองว่า 23 ปีและให้ชื่อปลอมไป เขาหลอกว่าเป็นนักธุรกิจ แต่จริงๆ แล้วกลับทำงานเป็นแมงดาคุมซ่องที่มีฉากหน้าเป็นร้านนวด ตอนที่เขาไปรับเธอทานข้าวนั้น ชายหนุ่มขับรถเบนซ์อย่างดีเพื่อสร้างความประทับใจต่อหญิงสาว
โดยร้านอาหารที่ทั้งคู่ออกเดตนั้น ก็เป็นร้านน่ารัก แต่ชิโอริเองเริ่มรู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากลและอึดอัด เมื่อชายหนุ่มมอบกระเป๋ายี่ห้อดีราคาแพงอย่างหลุยส์ วิตตอง เพชรรวมถึงข้าวของอย่างอื่นอย่างหรูหรา ทีแรกหญิงสาวไม่อยากจะรับ แต่เพราะชายหนุ่มทำเซอร์ไพรส์มอบมันต่อหน้าคนอื่นในร้านอาหาร ทำให้เธอต้องพะอืดพะอมรับไป
จุดนี้ชิโอริตัดสินใจว่าเดตกินข้าวครั้งเดียวก็น่าจะพอ แต่ปรากฏว่าชายหนุ่มไม่ละมือจากการจีบ การตื้อของเขาสุดแสนอันตราย เขาวิงวอนโทรศัพท์ไปหาเพื่อบังคับให้เธอออกเดตอีกครั้ง จนหญิงสาวยอมไปกินข้าว แต่ยิ่งเจอหน้า เธอก็ยิ่งกลัว ความสัมพันธ์นี้ไม่อาจก่อเกิดเป็นความรักได้อย่างแน่นอน เธออยากเลิก แต่ชายหนุ่มไม่ยอม บางคราถึงขั้นโทรไปที่บ้านแล้วไม่พูดอะไร ปล่อยเสียงเงียบดังสะท้าน หนักเข้าก็ถึงขั้นว่าจะขู่ฆ่าทั้งครอบครัวด้วย
หญิงสาวพยายามเลิกรากับชายหนุ่ม พอเริ่มรู้ความจริงเกี่ยวกับตัวเขา เธอก็เริ่มกลัวเพราะเพื่อนที่เขาคบหานั้นล้วนแต่เกี่ยวข้องกับธุรกิจสีเทาทั้งนั้น มิหนำซ้ำเธอยังเคยเห็นสมาชิกแก๊งยากูซ่าเดินทางมาเยี่ยมเขาที่โรงพยาบาลอีกด้วย
ดังนั้นเธอจึงตัดสินใจบอกเลิกเขา หวังว่ามันควรจะจบกันเพียงเท่านี้ แต่ปรากฏว่าชายหนุ่มไม่ได้ยินยอมให้ความสัมพันธ์จบลง สิ่งที่น่ากลัวกำลังก่อตัวขึ้นมาเรื่อยๆ
2.
สิ่งที่ชิโอริพบตามมาคือ การถูกชายหนุ่มข่มขู่ให้คืนเงินทองที่จ่ายไปกับการกินข้าวให้หมด ไม่อย่างนั้นเธอจะถูกจับไปทำงานในซ่อง เขาย้ำว่าจะทำลายครอบครัวเธอให้พังพินาศ จากความชอบกลายเป็นความแค้น พอชิโอริออกเดตกับผู้ชายคนอื่น ชายหนุ่มได้ตามข่มขู่ไม่ให้ยุ่งกับหญิงสาวไม่อย่างนั้นมีเรื่องแน่ ชีวิตของชิโอริแทบจะเหมือนตกนรกทั้งเป็นในตอนนี้
“ถ้ายังดื้อคิดจะเลิกอยู่ ผมจะทำลายครอบครัวคุณให้สิ้นซาก ผมไม่ใช่คนธรรมดา และไม่เคยให้อภัยผู้หญิงที่หักหลัง ผมจะใช้ทุกอย่างเพื่อบดขยี้คุณโดยไม่จำเป็นต้องลงมือทำเองด้วย เพราะมีหลายคนยินยอมจะทำตามคำสั่งผมอยู่แล้ว”
6 เดือนหลังพบหน้ากันครั้งแรก น้องชายของชายหนุ่มได้พาเพื่อน 2 คนไปที่บ้านชิโอริ แล้วบอกกับพ่อหญิงสาวว่าต้องการเงินที่จ่ายไปกับการออกเดตคืน แน่นอนว่าพ่อของชิโอริต้องการหลักฐานพิสูจน์และให้เรียกตำรวจมาเคลียร์จะดีกว่า นั่นทำให้ทั้งสามคนโกรธมากพูดจาข่มขู่คุกคาม โชคดีที่ชิโอริอัดเสียงการสนทนาไว้ทั้งหมดเป็นหลักฐานก่อนนำมันไปมอบให้กับตำรวจ เพื่อหวังจะจัดการเรื่องแบบนี้ได้
อย่างไรก็ดีตำรวจกลับมองว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องไม่สำคัญ พวกเขาแทบไม่สนใจแถมยังมองว่าเธอคงจะหลอกเอาเงินผู้ชายเสียมากกว่า แล้วพอบอกเลิก ผู้ชายอยากได้ข้าวของเงินทองคืน ก็เลยแต่งเรื่องกับตำรวจ สมัยนั้นคำว่าสตอล์กเกอร์ยังไม่แพร่หลายมาก
ตำรวจรับเรื่องร้องเรียนหลายครั้ง
แต่ไม่เคยใส่ใจจะดูแลคดีแม้แต่น้อย
“มันไม่ใช่คดีหรอก ถ้าคุณเลิกกับใครสักคนแล้วไม่ยอมคืนข้าวของที่อีกฝ่ายซื้อให้ ผู้ชายมันก็ต้องโกรธเป็นธรรมดา การที่คุณทำแบบนี้มันเป็นเรื่องดีแล้วเหรอ ตำรวจเลยไม่ขอยุ่งไง”
ไม่เพียงเท่านั้นทนายความที่ชิโอริไปปรึกษาก็ยังไม่สนใจจะช่วยด้วย เพราะมองว่าหญิงสาวน่าจะหลอกเอาทรัพย์สินฝ่ายชายมากกว่า
นี่คือโลกทัศน์แสนแคบที่ผู้ชายคิดไปเอง สรุปไปแล้ว ทั้งๆ ที่ถ้าหาความจริงสักหน่อยจะรู้ว่ากรอบนอกกะลานั้นมันมีจริง และถ้าพวกเขา ตำรวจ ทนายความสนใจจะเปิดโลกกว้าง ก็คงจะปกป้องชีวิตของชิโอริไว้ได้อย่างแน่นอน
แต่ความจริงมันแสนเศร้าเป็นอย่างมาก
3.
หลังจากการเข้าพบเจ้าหน้าที่จบลงด้วยความสิ้นหวัง ชิโอริรวบรวมข้าวของทุกอย่างแล้วส่งไปรษณีย์คืนแก่ชายหนุ่ม โดยในช่วงที่เขาข่มขู่เธอหนักๆ ทางโทรศัพท์ หญิงสาวได้ย้ำว่าขอให้หยุดการกระทำนี้เพราะได้แจ้งตำรวจไว้แล้ว สิ่งนี้ทำให้ชายหนุ่มโกรธสุดขีด แม้ได้ของคืน เขาก็ไม่ให้อภัยและไม่เลิกยุ่งกับเธอ ความน่ากลัวที่เขาจะลงมือในเวลาต่อมา นั่นก็คือการทำคำขู่ให้เป็นความจริง ซึ่งหมายถึงว่าชิโอริจะต้องถูกฆ่า!
ตอนนี้ชิโอริได้รับความอับอายมากขึ้น เมื่อมีการนำภาพถ่ายเธอไปแปะทั่วกำแพง แนบในสมุดโทรศัพท์เล่มหนา บอกเล่าว่าเธอเป็นสาวร่านปลิ้นปล้อนดอกทองกอบโกยเอาเงินผู้ชาย เรื่องไปถึงขนาดนี้แล้วแต่ตำรวจยังนิ่งเฉย แม้จะโดนคุกคามอย่างมาก จนถึงขั้นมีการส่งจดหมายปลอมไปยังบริษัทพ่อของชิโอริ จนทำให้พ่อต้องเข้าพบตำรวจเพื่อร้องขอความช่วยเหลือ แต่ฝ่ายสืบสวนกลับหัวเราะเนื้อหาในจดหมายพร้อมแนะนำว่าไม่ใช่เรื่องน่ากลัวแต่อย่างใด
เรื่องตลกคือ
ตำรวจเดินทางไปหาชิโอริที่บ้าน แต่ไม่ได้เก็บหลักฐานอะไร
เพียงอ้อนวอนให้ชิโอริถอนแจ้งความ
เพราะเจ้าหน้าที่อยากรักษาระดับสถิติเหตุอาชญากรรมที่ต่ำเพื่อสร้างความประทับใจให้กับผู้บังคับบัญชาเสียมากกว่า ตำรวจถึงขั้นหลอกว่า ถ้าถอนแจ้งความไปแล้ว หากเจอแบบเดิมก็สามารถนำข้อมูลที่ตำรวจเก็บไว้มาดำเนินการต่อได้เลย ซึ่งไม่เป็นความจริง เพราะหากเธอถอนแจ้งความ หลักฐานทุกอย่างจะสูญสลายเรื่องราวที่แจ้งกับตำรวจก็จะหายไปปลิดทิ้ง ครอบครัวเธอรู้ดีจึงไม่ยินยอมถอนแจ้งความ
พอเจอแบบนี้แทนที่ตำรวจจะสืบสวนคดี พวกเขากลับสร้างเรื่องอื้อฉาวคือปลอมรายงานว่าชิโอริได้ถอนแจ้งความแล้ว ว่ากันว่าสิ่งที่ตำรวจทำนั้นเป็นไปตามแรงกดดันของเบื้องบนที่อยากให้สถิติเหตุอาชญากรรมต่ำ ซึ่งเป็นสิ่งที่พบเห็นเป็นปกติในประเทศญี่ปุ่น เรื่องน่าเศร้าใจคือ แทนที่จะแก้ปัญหานี้ด้วยการสืบสวนคดีและจับกุมโคมัทซึที่คุกคามหญิงสาว พวกเขากลับเลือกทางเดินผิดคือทำรายงานปลอมแทน
ระหว่างนั้นโคมัทซึได้วางแผนก่อเหตุฆาตกรรมชิโอริขึ้น เขาจ้างชาย 3 คนในวงเงิน 18 ล้านเยน ทั้ง 3 คนล้วนทำงานในธุรกิจซ่องโสเภณี ทีมฆ่าใช้เวลา 2-3 เดือนเฝ้าติดตามพฤติกรรมของชิโอริทุกอย่าง และเพื่อไม่ให้ตัวเองตกเป็นผู้ต้องสงสัยโคมัทซึเดินทางออกจากไซตามะเพื่อกลบเกลื่อนความเชื่อมโยง
26 ตุลาคม ค.ศ.1999 ขณะที่ชิโอริปั่นจักรยานจะไปมหาวิทยาลัย มีคนร้ายเดินมาเทียบแล้วใช้มีดแทงเข้าที่ด้านข้าง คมมีดทะลุหัวใจ เลือดอาบ เธอเสียชีวิตแทบจะทันที
ตอนนี้มันกลายเป็นเรื่องใหญ่ เป็นคดีฆาตกรรม แน่นอนว่าตำรวจมีข้อมูลอยู่แล้วว่าชิโอริตายเพราะใคร เกี่ยวข้องกับใคร ข้อมูลที่หญิงสาวกับครอบครัวมอบให้ตำรวจเพียงพอกับการสืบคดีอย่างมาก แต่ตำรวจกลับปกปิดความสะเพร่าที่ไม่ใส่ใจคดีนี้อย่างจริงจัง โดยการปล่อยข่าวไปยังสื่อมวลชนว่าผู้ตายเป็นโสเภณี เป็นคนยักยอกเงินที่ได้จากการทำงานในซ่องของโคมัทซึไป สื่อมวลชนก็แสนซื่อดันเล่นข่าวตามข้อมูลตำรวจไปด้วย
ชิโอริผู้ตายถูกวาดภาพว่าเป็นคนร่าน เป็นกะหรี่ เป็นคนหิวเงิน เป็นคนหลอกลวงผู้ชาย โชคยังดีที่สื่อมวลชนจำนวนหนึ่งไม่เชื่อข้อมูลตำรวจ พวกเขาลงทุนสืบคดีเองแล้วความจริงก็ปรากฏ เธอเป็นเพียงนักศึกษามหาวิทยาลัยไม่ใช่กะหรี่ เธอมีอนาคตอันยาวไกลไม่ใช่คนหลอกเอาเงินผู้ชาย แต่ต้องจากไปเพียงเพราะถูกผู้ชายคนหนึ่งคุกคามอย่างรุนแรง และตำรวจเมืองไซตามะทำงานสุดชุ่ยอย่างไม่น่าให้อภัยได้
เมื่อความจริงปรากฏจากสื่อมวลชนคนกล้า สังคมก็เข้าใจชิโอริใหม่ ตำรวจถูกบังคับให้ทำงานอย่างเต็มที่ ข้อมูลหลักฐานไม่ยาก ตำรวจรวบคนร้ายได้หมด เมื่อมือแทงเปิดปากว่ารับงานมาจากโคมัทซึ ตำรวจก็ตามล่าชายหนุ่มสุดโรคจิตคนนี้ทันที น่าเสียดายที่กฎหมายไม่มีโอกาสได้ลงทัณฑ์เขา เพราะโคมัทซึตัดสินใจฆ่าตัวตายโดยการโดดทะเลสาบตาย โดยทิ้งจดหมายลาตายในสร้อยคอว่าตัดสินใจที่จะก่อเหตุแบบนี้เอง
คนร้ายทั้ง 3 คนถูกตัดสินจำคุก น้องชายของโคมัทซึถูกตั้งข้อหาว่าเป็นผู้วางแผนก่อเหตุและถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิต ว่ากันว่าตำรวจไซตามะต้องการจัดการใครสักคนในคดีนี้ทดแทนโคมัทซึที่จากไป ดังนั้นน้องชายที่มีส่วนในการคุกคามไม่มากจึงต้องรับกรรมไป เขายังคงติดคุกอยู่จนถึงปัจจุบันนี้ ขณะที่ผู้ก่อเหตุทั้ง 3 คนถูกตัดสินจำคุกเพียง 10 กว่าปีเท่านั้นเองและตอนนี้ก็ได้ออกมาสู่โลกภายนอกแล้ว
4.
เมื่อจัดการคดีฆาตกรรมได้แล้ว เรื่องถัดมาก็คือการจัดการตำรวจไซตามะ เจ้าหน้าที่อาวุโสที่เกี่ยวข้องกับความเลินเล่อนี้ถูกไล่ออก 3 นาย เจ้าหน้าที่คนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องถูกตัดเงินเดือนเพียง 10% เป็นเวลา 3 เดือนเท่านั้น โทษช่างเบาหวิวเป็นอย่างยิ่ง ทางหัวหน้าสถานีตำรวจจังหวัดไซตามะ ยอมรับว่าถ้าตำรวจเอาใจใส่คดีนี้หน่อย ก็คงไม่ต้องมีใครตาย แต่พอขึ้นศาล ตำรวจเปลี่ยนคำให้การยืนยันว่า การทำงานเลินเล่อของตำรวจไม่เป็นผลสู่เหตุฆาตกรรมนี้
ความตายของชิโอริเป็นเรื่องใหญ่และเป็นจุดเปลี่ยนในสังคม พอถึงปี ค.ศ.2000 ญี่ปุ่นได้ออกกฎหมายต่อต้านสตอล์กเกอร์ให้อำนาจเจ้าหน้าที่จัดการดำเนินคดีบุคคลที่มีพฤติกรรมติดตามคุกคามคนอื่นแบบที่ชิโอริเจอได้เลย โดยในปี ค.ศ.2017 มีการปรับแก้ขยายความกินรวมไปถึงการคุกคามในโลกออนไลน์ด้วย พร้อมเพิ่มโทษสตอล์กเกอร์จากจำคุก 6 เดือนเป็นจำคุก 1 ปี ซึ่งตำรวจสามารถดำเนินการได้เลย แม้จะไม่มีผู้เสียหายแจ้งความก็ตาม
ความตายของชิโอริได้ทำให้สังคมญี่ปุ่นตาสว่างลุกขึ้นมาแก้ไขปัญหา น่าเสียดายที่ชีวิตเธอไม่ควรจะต้องจากไป หากตำรวจใส่ใจกว่านี้และการที่สื่อมวลชนวาดภาพชิโอริเลวร้ายในช่วงแรกก็ช่างเป็นเรื่องน่าเสื่อมเสียต่อวิชาชีพยิ่งนัก
สุดท้ายนี้จึงขอนำคำพูดของพ่อชิโอริที่ได้พูดสรุปถึงคดีนี้ทั้งหมดไว้ว่า