ประมาณเดือนสองเดือนที่ผ่านมา ผมเห็นประเด็นเรื่องหนึ่งในทวิตภูมิ ที่แม้จะไม่ใช่ผู้เกี่ยวข้องโดยตรง แต่ก็คิดว่าเป็นประเด็นที่สำคัญกับสังคมในปัจจุบันมากๆ แต่กลับถูกมองข้าม นั่นก็คือเรื่อง ‘ผ้าอนามัย’
ประเด็นที่ยกขึ้นมาคือ ผ้าอนามัยมีราคาแพงเกินไป และควรเป็นสินค้าที่ได้รับการเว้นภาษี เพราะเป็นสินค้าจำเป็น ซึ่งในความเห็นผมก็ถือเป็นประเด็นสำคัญจริงๆ เพราะว่า มันเป็นสิ่งที่ผู้หญิงแทบทุกคนจะหลีกเลี่ยงไม่ได้ อยู่เหนือการควบคุม และนึกไม่ถึงว่าจะเจอความเห็นระดับขาดความสามารถในการเรียนรู้ อย่างเช่น ไล่ไปใช้กาบมะพร้าวหรืออะไรต่อมิอะไร ราวกับว่ารัฐไม่ควรต้องสนใจที่จะดูแลคุณภาพชีวิตของประชาชนเลย
และปัญหานี้ก็ไม่ใช่ปัญหาที่เกิดแต่ที่ไทยหรอกครับ ในชาติตะวันตกก็เหมือนกัน และแน่นอนว่าในญี่ปุ่นก็มีปัญหานี้เช่นกัน และยิ่งพอ COVID-19 ระบาด ก็ยิ่งทำให้ปัญหานี้เด่นชัดขึ้นมามากยิ่งขึ้น แต่ในขณะเดียวกันก็ได้รับการพูดถึงน้อยกว่าที่ควร ส่วนหนึ่งก็น่าจะมาจากค่านิยมในสังคมญี่ปุ่นด้วย
จริงๆ แล้ว ที่ผ่านมา การที่ต้องซื้อผ้าอนามัยใช้ทุกครั้งที่มีประจำเดือน ก็เป็นรายจ่ายที่จำเป็นของผู้หญิงอยู่แล้ว แต่ว่าก็มีผู้หญิงจำนวนไม่น้อยที่ลำบากเรื่องการเงิน จนทำให้ไม่สามารถใช้จ่ายตรงนี้ได้อย่างที่ควรเป็น ในขณะเดียวกัน ประเทศญี่ปุ่นได้ชื่อว่าเป็นผู้ผลิตผ้าอนามัยคุณภาพดี มีเทคโนโลยีใหม่ๆ มาเสนออยู่เป็นประจำ แต่ถ้าหากประชาชนไม่สามารถซื้อผ้าอนามัยเหล่านั้นได้แล้ว ยังจะเรียกตัวเองว่าเป็นผู้นำเทคโนโลยีผ้าอนามัยได้อยู่หรือ
ปัญหาตรงนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่
เพราะก่อนไวรัสจะระบาด
ก็มีผู้หญิงที่ลำบากเรื่องนี้อยู่แล้ว
ที่ผมไล่อ่านเจอมาก็ไม่ใช่แค่ผู้ใหญ่วัยทำงานที่ไม่สามารถแบ่งรายได้มาใช้จ่ายส่วนนี้ แต่เป็นปัญหาของเด็กวัยรุ่น ที่เจอปัญหาการถูกละเลยไม่ได้รับการดูแลโดยครอบครัว เช่น กรณีของเด็กหญิงคนหนึ่ง ที่อาศัยอยู่กับแม่ แต่ไม่ได้รับการดูแลอะไร เงินให้ใช้ก็จำกัดจำเขี่ย พอเริ่มมีประจำเดือนก็ไม่ได้รับความสนใจอะไร ทำให้ต้องใช้ชีวิตด้วยความลำบาก ใช้กระดาษชำระแทนผ้าอนามัยต้องคอยระวังเรื่องการซึมเปื้อนตลอด เวลานั่งในโรงเรียนก็พยายามพาดกระโปรงออกไปด้านหลัง ให้กางเกงขาสั้นสัมผัสกับเก้าอี้แทน เผื่อมีอะไรจะได้ไม่เลอะกระโปรง เพราะส่วนใหญ่แล้วนักเรียนญี่ปุ่นมีชุดนักเรียนชุดเดียว เสียแล้วจะซื้อใหม่ก็ไม่ใช่ถูกๆ ไปเล่นบ้านเพื่อนก็นั่งแบบญี่ปุ่น คล้ายๆ กับท่าไหว้พระบ้านเรา จะได้เอาเท้าตัวเองรองก้นไว้เสมอ จะได้ไม่เลอะบ้านเขาถ้าเกิดอะไรขึ้นมา แต่ก็ต้องเจียดค่าขนมมาซื้อผ้าอนามัยเอาไว้ใช้เวลานอน จนเข้ามัธยมปลาย เริ่มทำงานพิเศษเองได้ ค่อยสามารถใช้จ่ายซื้อผ้าอนามัยได้เสียที
ที่ผ่านมา ดูเหมือนว่าแม้จะมีปัญหาเรื่องนี้ในสังคมญี่ปุ่น แต่ก็ไม่ได้มีการพูดถึงมากนัก ส่วนหนึ่งคงมาจากภาพลักษณ์ความเชื่อเดิมๆ ว่าเป็นเรื่องของของต่ำ ของไม่สะอาด ทำให้ไม่ถูกพูดถึงมากนัก ตัวผู้หญิงเองก็รู้สึกอายที่จะพูดถึง ตัวอย่างคือ ในช่วงต้องอพยพลี้ภัยพิบัติธรรมชาติในศูนย์อพยพ ผ้าอนามัยก็เป็นสิ่งจำเป็นที่ผู้หญิงหลายคนกลับไม่กล้าแจ้งเจ้าหน้าที่ว่าต้องการเท่าไหร่นัก เพราะว่าอายนั่นเอง
เรื่องแบบนี้จะแก้ก็คงต้องปรับให้การพูดคุยเรื่องผ้าอนามัยและประจำเดือนเป็นเรื่องที่ทำได้ง่ายขึ้น แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะตะบี้ตะบันชวนคุยเรื่องนี้ เพราะนั่นก็อาจจะทำให้เกิดแรงตีกลับกลายเป็นยิ่งไม่คุยมากกว่าเดิม
สิ่งสำคัญคือบรรยากาศที่เหมาะสมกับการคุยได้
โดยไม่ต้องอายหรือรู้สึกผิดมากกว่า
แต่สิ่งที่มากระตุ้นให้เกิดบทสนทนานี้ในญี่ปุ่นก็คือ COVID-19 ที่ส่งผลกระทบต่อผู้หญิงหนักกว่าผู้ชาย ด้วยความว่าผู้หญิงมักจะอยู่ในระบบการจ้างงานแบบสัญญาระยะสั้น หรือพนักงานทำงานพิเศษ ไม่ใช่พนักงานประจำ ทำให้ไม่ได้รับการคุ้มครองเท่า และถูกเลิกจ้างได้อย่างง่ายกว่า
ดูตัวเลขการฆ่าตัวตายตั้งแต่ไวรัสระบาดก็ได้ครับว่าจำนวนผู้หญิงที่ฆ่าตัวตายเพิ่มขึ้นจากปีก่อน มากกว่าฝ่ายชายแบบเกินเท่าตัวเลย การระบาดของไวรัสทำให้รายรับหดหาย แถมบริการสาธารณะที่พอรับความช่วยเหลือได้ ก็เข้าถึงได้ยาก เพราะหลายที่ก็ปิดชั่วคราว หรือไม่สามารถเดินทางไปได้
เพราะปัญหาต่างๆ เหล่านี้ ทำให้มีแฮชแท็ก #みんなの生理 หรือ ประจำเดือนของทุกคน เพื่อส่งเสียงให้ทุกคนออกมาพูดประเด็นนี้และตระหนักว่ามันเป็นปัญหา และพอมีการสำรวจก็พบว่า หนึ่งในห้า ก็ต้องงดซื้อของอย่างอื่นเพื่อเอาเงินมาซื้อผ้าอนามัย และหนึ่งในสี่คือมีปัญหาการเงินเพื่อซื้อผ้าอนามัย ซึ่งก็รวมไปถึงสิ่งจำเป็นอื่นๆ บางคนก็มีอาการปวดประจำเดือนหนัก ต้องพึ่งยาช่วย
แต่ทั้งหมดนั่นก็มีค่าใช้จ่าย รวมไปถึงผ้าอนามัยที่ราคาจัดว่าสูงเมื่อเทียบกับรายได้ ทำให้ผู้หญิงหลายคนลำบากมาก รวมไปถึงบางคนต้องทานยาคุมกำเนิดเพื่อช่วยคุมประจำเดือน แต่ปัญหาก็คือที่ญี่ปุ่นไม่ได้มียาคุมกำเนิดวางขายอยู่ทั่วไป ต้องรับจากแพทย์เท่านั้น กลายเป็นกำแพงที่ทำให้หลายคนรู้สึกอายหรือรู้สึกผิดที่จะใช้ยาคุมกำเนิดเข้าไปอีก
การมีโซเชียลเน็ตเวิร์ก
ก็ช่วยให้เสียงได้ถูกสื่อออกมาจนคนเริ่มเข้าใจว่า
มันเป็นปัญหาที่ใหญ่เกินกว่าควรจะมองข้าม
COVID-19 เข้ามาเป็นตัวกระตุ้นให้ปัญหามันร้ายแรงมากขึ้นจนเกินกว่าที่ผู้หญิงหลายคนจะทนไหว จนมีเสียงเรียกร้องให้พยายามคุมราคา หรือลดภาษีที่เก็บจากผู้ผลิตลงเพื่อให้ราคาเข้าถึงได้ง่ายขึ้น เพราะอย่างที่บอกไปแล้วว่า ต่อให้เป็นประเทศที่ผลิตผ้าอนามัยคุณภาพดีแค่ไหน แต่ถ้าประชาชนไม่มีศักยภาพในการซื้อแล้ว ก็ถือว่าไม่มีประโยชน์อะไรที่จะภูมิใจกับคุณภาพสินค้า
และก็ตามประสาโลกโซเชียลที่ก็มักจะมีคนแย้งด้วยความเห็นสารพัด หนึ่งในนั้นคือ ทำไมมีเงินซื้อเครื่องสำอาง หรือ XXX แต่ไม่มีเงินซื้อผ้าอนามัย ที่จริงๆ แล้วก็อยากจะบอกว่า “ไม่เสือกสิครับ” แต่ก็คงพูดยากหน่อย เพราะมันก็ดูเหมือนจะฟังเข้าท่าว่า เอาเงินไปลงกับของไม่จำเป็นแต่ไม่มีเงินซื้อผ้าอนามัย
แต่คนเรามันไม่ได้มีความจำเป็นเหมือนกันทุกคน อย่างผมต่อให้ไม่มีเครื่องสำอางก็ไม่เป็นไร หน้าอาจจะมันขึ้น กลับกันสำหรับผู้หญิง ยิ่งเป็นผู้หญิงญี่ปุ่นแล้ว เครื่องสำอางก็เป็นสิ่งจำเป็นไม่น้อย เพราะการออกบ้านด้วยหน้าสดนั้นก็เป็นสิ่งที่มักจะถูกติฉินนินทา ดูไม่เป็นการให้เกียรติสถานที่ และมันเป็นสิ่งที่เห็นได้ง่าย เพราะเป็นสิ่งแรกๆ ที่คนมอง จึงถือเป็นความจำเป็นอย่างหนึ่งก็ว่าได้ อีกทั้งต่อให้ไม่ใช่อย่างนั้น แต่เครื่องสำอางก็เป็นสิ่งที่ช่วยเพิ่มความมั่นใจให้ผู้หญิงหลายต่อหลายคน ที่สำคัญ บางคนก็เลือกซื้อเครื่องสำอางราคาถูกจากร้านร้อยเยน หรือสามร้อยเยนเท่านั้น ไม่ได้หรูหราหมาเห่าอะไร และราคาถูกกกว่าผ้าอนามัยอีกครับ
ดีที่พอเริ่มมีเสียงจากสังคม ทางรัฐก็เริ่มมีการขยับตัว และพยายามช่วยแก้ปัญหาตรงนี้ ตัวอย่างเช่นเขตโทชิมะ ที่ผมอาศัยอยู่ ก็มีจุดแจกผ้าอนามัย โดยแค่แสดงรูปที่โหลดจากเพจทางการของเขต ก็จะได้รับผ้าอนามัยหนึ่งชุด นอกจากนี้ก็มีการเสนอให้โรงเรียกมีผ้าอนามัยแจกให้นักเรียนหญิงด้วย นอกจากนี้ทางเอกชนก็ร่วมด้วยช่วยกัน เช่น ร้านสะดวกซื้อ Family Mart ก็ลดราคาผ้าอนามัยลง 2% จนสิ้นปีนี้ หรือห้าง La La Port บางสาขาก็มีแจกผ้าอนามัยในสุขาหญิง
ของแบบนี้ บางทีก็ต้องอาศัยสถานการณ์ที่แย่จริงๆ ค่อยทำให้หลายคนได้เห็นว่าปัญหามันร้ายแรงจริงๆ แค่ไหน แต่ก็ยังดีที่ไม่ได้เป็นไฟไหม้ฟาง และมีการขยับเพื่อพยายามแก้ปัญหาตรงนี้ ก็หวังว่าจะพัฒนาตรงนี้ต่อไป ไม่ใช่แค่หมด COVID-19 แล้วก็จบกับไปทีนึง เพื่อที่จะได้สร้างสังคมที่อยู่กันได้อย่างสบายใจมากขึ้นครับ
อ้างอิงข้อมูลจาก