เพียงไม่นานหลังจากการเผยแพร่คลิป ‘หายใจไม่ออก’ จนทำให้จอร์จ ฟลอยด์เสียชีวิตภายใต้การจับกุมตัวของตำรวจในสหรัฐอเมริกา นำมาซึ่งการลุกฮือต่อต้านจากทั่วสารทิศนั้น บทสนทนาว่าด้วยอาการ ‘หายใจไม่ออก’ ก็มีให้ได้ยินอีกครั้งในอีกซีกโลกหนึ่ง ที่ซึ่งผู้นำรัฐบาลดูจะขึ้นชื่อเรื่องความไม่สัมพันธ์กันระหว่างอีโก้กับสติปัญญามากพอๆ กัน จนนำไปสู่การแสดงออกถึงการต่อต้านในอีกรูปแบบหนึ่งอย่างแฮชแท็ก #Saveวันเฉลิม อย่างที่หลายคนคงจะพอทราบข่าวกันไปแล้ว ที่คุณวันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ ผู้ลี้ภัยชาวไทยในประเทศกัมพูชา ‘หายสาบสูญ’ ไป ในรถตู้สีดำ พร้อมคำพูดสุดท้ายที่พี่สาวของเขาได้ยินที่ปลายสายโทรศัพท์ระหว่างที่กำลังสนทนากันอยู่ว่า “(โอ๊ย) หายใจไม่ออก”
คุณวันเฉลิมไม่ใช่เหยื่อรายแรก ไม่ใช่ผู้ลี้ภัยทางการเมืองคนแรกที่โดนกระทำเช่นนี้ และที่น่าเศร้ามากพอๆ กันคือ เขาอาจจะไม่ใช่รายสุดท้ายด้วย อย่างไรก็ดีภายใต้ความสามานย์ที่เกิดขึ้นทั้งมวลนี้ หากจะพอนับสิ่งหนึ่งสิ่งใดว่าเป็นทิศทางที่ดีในทางการเมืองได้ก็คงจะเป็นการตื่นตัวและรับรู้ทางการเมืองของสังคมไทยโดยเฉพาะในหมู่คนรุ่นใหม่ที่มีต่อปัญหานี้ จนนำมาซึ่งกระแสการต่อต้านที่กล่าวไป
ในโอกาสนี้ผมเลยอยากชวนมาทำความเข้าใจถึงแนวคิดที่ดูจะเกี่ยวข้องกับความเลวร้ายที่เกิดขึ้นนี้ อย่าง ‘การลักพาตัวทางการเมือง’ (Political kidnapping) และการบังคับสูญหายโดยรัฐ (State’s Forced Disappearance) กันดูครับ และสุดท้ายมาลองดูกันว่ามันเกี่ยวข้องกับ ‘การก่อการร้ายโดยรัฐ’ (State’s Terrorism) ได้อย่างไร
ผมอยากเริ่มต้นจากการอธิบายถึงรูปแบบต่างๆ ของ ‘การลักพาตัว’ ก่อนครับ เพราะเอาเข้าจริงแล้ว ทั้งมวลที่เราจะพูดถึงกันในงานชิ้นนี้ เรียกได้ว่าเป็นหมวดย่อยแบบหนึ่งของการลักพาตัวก็ว่าได้
แม้ว่าคำว่า kidnapping (การลักพาตัว) จะเพิ่งปรากฏและใช้กันในภาษาอังกฤษราวๆ ศตวรรษที่ 17 จากการที่ ‘เด็กๆ’ มักจะถูกลักพาตัวไป เพื่อเป็นทาสหรือแรงงานทำกสิกรรม แต่จริงๆ แล้วพฤติกรรมการลักพาตัวนั้น เกิดขึ้นมาแต่โบราณและนับเป็นอาชญากรรมที่ร้ายแรงมานานแล้ว ตั้งแต่ในคัมภีร์ไบเบิ้ล ไปจนถึงยุคของจักรพรรดิคอนสแตนตินเลย[1] (ไม่ต้องพูดถึงในปัจจุบันที่ระดับความร้ายแรงเพิ่มขึ้นจนกล่าวได้ว่าเป็นสากล) โดยการลักพาตัวที่จัดแบ่งประเภทโดย Overseas Security Advisory Council (OSAC) ของสหรัฐอเมริกานั้น แบ่งการลักพาตัวเป็น 5 ประเภทหลักๆ ครับ
- Kidnap for Ransom หรือการลักพาตัวเพื่อเรียกค่าไถ่ ซึ่งน่าจะเป็นรูปแบบที่พื้นฐานที่สุดที่เราจะนึกถึง เมื่อคำว่าการลักพาตัวโผล่ขึ้นมาน่ะนะครับ
- Tiger Kidnapping หรือการลักพาตัวเพื่อข่มขู่ให้ทำตามความต้องการของผู้ลักพา ซึ่งอาจจะมีตั้งแต่ให้ไปขโมยของให้ ไปจนถึงวางระเบิดเลย รูปแบบนี้บางครั้งคนเลยจะเรียกว่า Proxy Bombing ก็มี
- Express Kidnapping หรือการลักพาตัวแบบช่วงสั้นๆ รูปแบบดังกล่าวนี้มักปรากฏให้เห็นบ่อยในแถบละตินอเมริกา (แต่พื้นที่อื่นๆ ของโลกก็มีนะครับไม่ใช่ไม่มี) โดยผู้ลักพาตัวมักจะบังคับให้เหยื่อกระทำตามความต้องการในช่วงสั้นๆ แล้วปล่อยตัวไป อย่างการบังคับให้ไปที่ตู้ ATM แล้วกดเงินสดออกมาให้มากที่สุดเท่าที่จะกดได้ เป็นต้น
- Political and Ideological Kidnapping หรือการลักพาตัวทางการเมืองและอุดมการณ์ รูปแบบนี้คือรูปแบบที่เราจะเน้นพูดถึงต่อไปในบทความนี้ครับ เล่าแบบคร่าวๆ ก่อนก็คือ มันคือการลักพาตัวที่เหยื่อถูกใช้ในฐานะเครื่องต่อรองทางการเมือง การลักพาตัวบุคคลสำคัญทางการเมืองเพื่อค่าไถ่ หรือการลักพาเหยื่อที่เป็นตัวแทนของขั้วอุดมการณ์ทางการเมืองที่ต่างจากตัวผู้ลักพานั่นเอง ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว การลักพาตัวลักษณะนี้มักจะถือว่าเป็นวิธีการของกลุ่มก่อการร้าย เพื่อใช้เป็นข้อต่อรองกับรัฐในจุดต่างๆ รวมถึงใช้เป็นส่วนหนึ่งในกระบวนการเผยแพร่ ‘แนวคิดและโฆษณาการ’ ของกลุ่มตนด้วย ที่บางครั้งเรียกว่า Medianapping อย่างไรก็ดี มุมที่ OSAC นำเสนอ รวมถึงหลายๆ สื่อที่อภิปรายถึงการลักพาตัวทางการเมืองนั้นมักจะเน้นอยู่ที่ตัวแสดงที่ไม่ใช่รัฐ (Non-state actor) แต่จริงๆ แล้วรูปแบบการลักพาตัวทางการเมืองนั้นสามารถเกิดโดยรัฐได้ด้วยครับ ซึ่งจะกล่าวถึงต่อไป
- Virtual Kidnapping หรือการลักพาตัวลวง การลักพาตัวแบบนี้ไม่เชิงเป็นการลักพาตัวจริงๆ เพราะไม่เกิดการ ‘ลักพาในทางกายภาพ’ ใดๆ ขึ้น แต่อาจจะนับว่าใกล้เคียงกับหมวดหมู่ของการเป็นแผนอุบายลวง (Scamming) มากกว่า โดยการลักพาตัวลวงนี้มักจะปรากฏอยู่ในรูปแบบที่ ผู้ลักพาลวงๆ นั้นสืบหาข้อมูลพื้นฐานจำนวนหนึ่งของเหยื่อมาลวงๆ และโทรหาครอบครัวของเหยื่อว่าได้จับตัวเหยื่อไว้ (โดยอาจจะมีผู้สมรู้ร่วมคิดทำเสียงสะอื้นไห้เป็น background noise อยู่ไปด้วยได้) เพื่อให้ครอบครัวเหยื่อจ่ายเงินค่าไถ่มาให้ โดยเงินค่าไถ่ในกรณีแบบนี้มักจะไม่สูงมากนัก เพื่อให้ครอบครัวของเหยื่อลวงๆ จ่ายเงินได้เร็ว และจบเรื่องเร็วก่อนแผนจะแตกครับ
นี่คือ 5 รูปแบบหลักๆ ของการลักพาตัวของ OSAC แน่นอนว่ายังขาดการลักพาตัวอันมาจากความต้องการหรือแรงขับส่วนบุคคลไปด้วย อย่างการที่พ่อแม่กักขังหน่วงเหนี่ยวบุตรธิดาโดยมิชอบด้วยกฏหมาย สตอล์กเกอร์ลักพาคนที่แอบชอบไปกระทำอนาจาร หรืออาชญากรจิตเภทที่ลักพาตัวเหยื่อไปสนองความใคร่ทางจิตของตนในรูปแบบต่างๆ หรือการลักพาตัวเหยื่อเพื่อไปใช้งานโดยตรง อย่างแรงงานทาส ค้าประเวณี หรือร่วมอยู่ในขบวนการค้ามนุษย์แบบต่างๆ เป็นต้น รูปแบบนี้ มาร์ก เทอร์เนอร์ (Mark Turner) เรียกว่าเป็นการลักพาตัวแบบ No Money, No Politics (ไม่ได้ต้องการเงิน และไม่ได้ทำเพราะเรื่องการเมือง) แต่ทำเพื่อสนองความต้องการส่วนบุคคล (Personal Affection) เป็นหลัก อาจจะเว้นกรณีอย่างการลักพาตัวเพื่อไปเป็นแรงงาน ซึ่งถือว่าได้รับเงินหรือผลประโยชน์ทางวัตถุได้ด้วย
อย่างไรก็ดี แทบทั้งหมดของการลักพาตัวที่ว่ามานั้น มักจะวางฐานอยู่บนตัวแสดงที่ไม่ใช่รัฐ แต่อย่างที่ผมบอกไปครับว่า
การลักพาตัวทางการเมืองนั้น สามารถทำโดยรัฐได้ด้วย
หนึ่งในตัวอย่างที่เกิดขึ้นบ่อยสุดในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาก็เห็นจะหนีไม่พ้น
การลักพาตัวชาวเกาหลีใต้ และบางครั้งญี่ปุ่น โดยรัฐบาลเกาหลีเหนือ
โดยเฉพาะกรณีของเกาหลีใต้นั้น เกิดขึ้นบ่อยจนคนในสังคมแทบจะมองเป็นเรื่องปกติ ดูจะเคยชินและไม่ยี่หระขนาดที่ว่าปัญหาของเหยื่อผู้ถูกลักพาตัวนี้กลายเป็นเรื่องท้ายๆ ในลิสต์การพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างเกาหลีเหนือและใต้ที่สังคมเกาหลีใต้เห็นว่ารัฐบาลของตนควรให้ความสำคัญ คือ ราวๆ 7% ของสังคม ในขณะที่ปัญหาเรื่องอาวุธนิวเคลียร์ (29%), ความตึงเครียดทางการทหาร (28%) หรือความร่วมมือทางเศรษฐกิจ (16%) นั้นสังคมดูจะให้ความสนใจมากกว่ามาก[2]
ที่ผมเขียนมานี้ไม่ได้เพื่อจะบอกให้เราชินหรือกระทั่งลดความสำคัญของปัญหานี้ ตรงกันข้ามผมพยายามจะชี้ให้เห็นว่า ‘การลักพาตัวโดยรัฐ’ นั้นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้ง แต่มักจะถูกละเลยหรือหลงลืม กระทั่งโดยหนึ่งในรัฐบาลของประเทศที่จงเกลียดจงชังเกาหลีเหนือที่สุดอย่างสหรัฐอเมริกาเอง (OSAC) ก็ไม่ได้พูดถึงการลักพาตัวทางการเมืองโดยตัวรัฐเองนัก
ไม่เพียงเท่านั้น การลักพาตัวคนเหล่านี้โดยเกาหลีเหนือนั้น บ่อยครั้งไม่ใช่ความลับด้วย ด้วยข้อเรียกร้องระหว่างรัฐต่างๆ อย่างไรก็ดี ทั้งหมดทั้งมวลนี้นอกจะชี้ให้เราเห็นถึงความเป็นไปได้ของรัฐในฐานะตัวแสดงหลักในการลักพาแล้ว ยังแสดงให้เห็นเงื่อนไขร่วมของการลักพาตัวด้วย นั่นคือ ‘การต้องเรียกร้องได้รับผลประโยชน์ในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งจากการลักพาตัวนั้น’ จะเป็นในรูปแบบเงิน การกระทำบางอย่าง สินทรัพย์บางอย่าง แรงงาน นโยบาย หรือความความต้องการส่วนบุคคลบางประการก็ตาม เพราะไม่เช่นนั้นการลักพาตัวมันก็จะไม่มีประโยชน์อะไรเลย
กลับมาที่กรณีของคุณวันเฉลิมสักนิดนะครับ ที่เราเห็นได้ชัดว่ามีการเลือกเหยื่ออย่างชัดเจน ไม่ใช่เหยื่อแบบสุ่ม (Non-random victim) มีการทำงานกันเป็นขบวนการ อย่างมีคนล็อกตัว มีคนเตรียมรถตู้ กระจกสีทึบ และอื่นๆ ซึ่งเป็นลักษณะที่มักจะปรากฏในรูปแบบของการลักพาตัวที่ไม่ใช่ Express Kidnapping ที่มักจะเป็นเหยื่อแบบสุ่ม หรือ Virtual Kidnapping ที่ไม่มีการลักพาทางกายภาพ รวมถึงไม่สอดคล้องกับ Personal Affection Kidnapping หรือการลักพาตัวเพื่อสนองความต้องการส่วนบุคคลที่มักจะไม่ปรากฏให้เห็นในรูปแบบขบวนการด้วย ทำให้ความเป็นไปได้หลักของการลักพาตัวที่เกิดขึ้นนั้นจึงกองอยู่ที่ Kidnap for Ransom, Tiger Kidnapping และ Political Kidnapping ครับ
แต่การลักพาตัวเพื่อเรียกค่าไถ่นั้นก็ชัดเจนว่า มันต้องมีข้อเรียกร้องตามมากับครอบครัวหรือผู้เกี่ยวข้องใกล้ชิดของเหยื่อ แต่จนบัดนี้ก็ดูจะเป็นที่ประจักษ์แล้วว่าข้อเรียกร้องในลักษณะดังกล่าวนั้นไม่มีอยู่ เพราะครอบครัวและคนใกล้ชิดของคุณวันเฉลิมนั้นไม่ได้รับการติดต่อใดๆ เลย และเสียงสุดท้ายที่ได้ยินจากคุณวันเฉลิมก็คือ “โอ๊ย หายใจไม่ออก” นั่นเอง ทำนองเดียวกันกับกรณีของ Tiger Kidnapping ที่แม้จะไม่ได้เรียกค่าไถ่ แต่ก็ต้องมีข้อเรียกร้องให้ผู้ใกล้ชิดกับเหยื่อทำอะไรสักอย่างให้ ซึ่งจนถึงตอนนี้ก็ไม่มีการติดต่ออะไรใดๆ มาเลย
เพราะฉะนั้นแล้ว ความเป็นไปได้หลักๆ จึงมาตกอยู่ที่ Political Kidnapping หรือการลักพาตัวทางการเมืองครับ และอย่างที่บอกไปว่าการลักพาตัวทางการเมืองนั้นมักจะเกิดกับเหยื่อซึ่งเป็นตัวแทนของขั้วตรงข้ามทางการเมืองของผู้ลักพาด้วย ซึ่งก็ประจวบเหมาะเสียเหลือเกินกับข้อเท็จจริงที่ว่าคุณวันเฉลิมเป็นผู้ลี้ภัยทางการเมืองของรัฐไทย จากการต่อต้าน คสช. และสถาบันทางการเมืองอำนาจนิยมต่างๆ แน่นอนครับ ว่าจะรีบตัดความเป็นไปได้ของการลักพาตัวทางการเมืองโดยตัวแสดงที่ไม่ใช่รัฐไปเลยก็ไม่ได้ แต่หากเป็นเช่นนั้นจริง ก็ต้องมีข้อเรียกร้องต่างๆ โดยกลุ่มที่ก่อเหตุตามมาด้วย ว่าต้องทำอะไรอย่างไร จึงจะเป็นเงื่อนไขให้ปล่อยตัวผู้ถูกลักพาได้ แต่ในกรณีนี้กลับไม่มีเลย ฉะนั้นความเป็นไปได้ที่จะเป็นตัวแสดงที่ไม่ใช่รัฐจึงน้อยกว่ามาก ยิ่งผนวกกับเงื่อนไขของการที่คุณวันเฉลิมเป็นตัวแทนของขั้วที่ตรงข้ามกับรัฐบาล (อันมีเหง้ารากมาจาก คสช.) ตอนนี้แล้ว ก็ยิ่งต้องเทความเป็นไปได้หลักไปทางนี้ครับ (แน่นอนนี่ไม่ใช่การชี้ตัวว่าต้องใช่แน่ๆ แต่ให้น้ำหนักความเป็นไปได้ ตามเหตุผลนี่แหละครับ)
ถึงตรงนี้เอง หลายคนที่ยังคงเข้าข้างฝั่งรัฐอยู่
ก็อาจจะแย้งบอกว่ารัฐมีโอกาสมากกว่าได้อย่างไร
เพราะรัฐก็ไม่ได้มีข้อเรียกร้องอะไรจากการลักพานี่นา
จริงๆ แล้วมันมีอีกรูปแบบหนึ่งของการลักพาตัวทางการเมืองโดยรัฐครับ ที่มักนำไปสู่การ ‘หายเงียบไปเลย’ ไม่มีข้อเรียกร้องอะไรใดๆ ออกมา และกระทั่งพยายามทำให้เป็นความลับด้วย รูปแบบนี้เราเรียกว่า ‘การบังคับสูญหาย’ หรือ (En)Forced Disappearance ซึ่งบ่อยครั้งก็มักจะจบอยู่ที่การกักขังอย่างลับๆ ของรัฐ หรือกระทั่งการจบชีวิตลงอย่างยากจะตามหาร่องรอยได้ เอาเข้าจริงๆ แล้วนักวิชาการบางท่านก็มองแยกการบังคับสูญหายนี้เป็นหมวดแยกออกไปจากการลักพาตัวเลย แต่โดยรวมๆ แล้วก็จะนับกันว่าเป็นลักษณะแบบหนึ่งของการลักพาตัวทางการเมืองโดยรัฐได้นั่นเองครับ
แต่เมื่อมันถูกนับว่าเป็นการลักพาตัวทางการเมืองได้ มันก็ย่อมแปลว่ามันต้องให้ผลประโยชน์โดยตรงจากการลักพานั้นด้วยในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง สิ ใช่ครับ และนั่นเป็นเหตุผลหลักที่หลายคนจัดเอาการบังคับสูญหายอยู่ในหมวดเดียวกันนี้ เพราะกุศโลบายที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งของรัฐในการสร้างมาตรการด้าน ‘ความมั่นคง’ คือ การสร้างความเหมือนให้กับคนในสังคม ซึ่งความเหมือนนี้สร้างขึ้นโดย ‘ความเชื่อฟัง’ (obedience) เป็นสำคัญครับ นี่เรียกได้ว่าเป็นมาตรฐานสากลของทุกรัฐในโลก ต่างกันก็เพียงแค่ระดับความเข้มข้นของการเชื่อฟัง ระดับพื้นฐานทั่วไปที่สุดก็คือ ความเชื่อฟังผ่านกฎหมาย และเข้มข้นขึ้นไปก็อยู่ในระดับอุดมการณ์อย่างชาตินิยม และเข้มข้นมากขึ้นไปอีกขั้นสุดก็อย่างการสร้างความเหมือนใน ‘ความเชื่อส่วนบุคคล’ ซึ่งมันควรจะแตกต่างกันแต่ก็พยายามทำให้เหมือนกันด้วยครับ อย่างการบังคับนับถือศาสนา เป็นต้น
กรณีของรัฐไทยเองนั้น เรียกได้ว่าเป็นรัฐที่ผลักการบังคับเชื่อฟังให้ไปแทบจะสุดกู่ความเข้มข้นของสเปคตรัมเลยทีเดียว อาจจะเรียกได้ว่ามากกว่าประเทศที่เรียกตัวเองว่าประชาธิปไตยใดๆ ก็ว่าได้ ทั้งการบังคับเรียนพุทธศาสนาตั้งแต่เด็กยันโต ทั้งการมีกฎหมายบังคับให้เคารพนับถือหรือห้ามดูหมิ่นสถาบันทางการเมืองมากมายยุบยิบไปหมด ทั้งยังมีการจับตามองอย่างเข้มงวด และลงโทษอย่างหนักหนาโหดเหี้ยมด้วย และนี่เองครับที่เป็นผลประโยชน์สำคัญของรัฐ นั่นคือ ผู้กุมอำนาจหลักในการ ‘เล่าเรื่อง’ ในสังคม และสร้างความเหมือนจากการเชื่อฟังขึ้น
อย่างที่ผมบอกไปว่านี่ไม่ใช่ลักษณะเฉพาะของรัฐไทยนะครับ เป็นลักษณะสากลด้วยซ้ำ อย่างสหรัฐอเมริกาเองก็มีการลอบจับกุมคนที่เอาข้อมูลทางความมั่นคงออกไปเผยแพร่และจับยัดคุกที่อ่าวกวนตานาโมอยู่ แต่อย่างที่บอกไปว่าระดับของความเข้มข้นของรัฐไทยนั้นสูงมากขนาดที่ไม่ใช่แค่ข้อมูลเรื่องความมั่นคงอันเป็นความลับของรัฐด้วยซ้ำ (ซึ่งก็ไม่น่ารังเกียจแล้ว) แต่เป็นระดับความแตกต่างทางความเชื่อและมุมมองส่วนบุคคลเลย รัฐไทยเองก็นับว่าเป็นโทษและเป็นภัยต่อความมั่นคง ซึ่งจุดนี้เองเป็นความผิดปกติอย่างมาก จนจะเรียกว่าเป็นรัฐจิตเภทก็ดูจะไม่ห่างไกลนัก และยิ่งรัฐขับเน้นความเข้มข้นเรื่องนี้มากเท่าไหร่ การปิดปากเสียงที่แตกต่างจากเรื่องเล่าหลักของรัฐมันจึงยิ่งกลายเป็น ผลประโยชน์สำหรับตัวรัฐเองมากขึ้นเท่านั้น
เพราะเหตุนี้ การบังคับสูญหายโดยรัฐนั้น หลายๆ ครั้งจึงถูกจัดอยู่ในหมวดการลักพาตัวทางการเมืองครับ แม้จะไม่ได้มีการ ‘ออกข้อเรียกร้องอย่างชัดเจน’ อะไรออกมา เพราะถือว่า การปิดปากเหยื่อโดยตัวมันเองนั้น นับเป็นผลประโยชน์ที่รัฐได้รับจากการลักพาตัวแล้ว ในกรณีของคุณวันเฉลิมนี้เอง ที่จากเงื่อนไขทั้งหมดที่ว่ามา จึงดูจะเป็นไปได้มากที่สุดอย่างไม่น่าจะมีเงื่อนไขใดมาหักล้างได้เลยว่า มีโอกาสมากที่สุดที่จะเป็นการลักพาตัวทางการเมืองโดยรัฐ ด้วยรูปแบบที่เรียกว่า การบังคับสูญหายนั่นเอง จะเพื่อปิดปากคุณวันเฉลิม เพื่อเป็นตัวอย่างให้ ‘คนลักษณะเดียวกันกับคุณวันเฉลิม’ ได้เห็นและเจียมตัว หรืออื่นๆ ก็ตามแต่ แต่ผมยืนยันได้แค่ว่า ‘การต้องสงสัยรัฐไทย’ เป็นการพิเศษในฐานะผู้ก่อเหตุในกรณีนี้ไม่ใช่เรื่องเกินเลยอะไร และนี่ไม่ใช่การปรักปรำด้วย เพราะผมก็ไม่ได้บอกว่าต้องเป็นรัฐไทยแน่นอน ความเป็นไปได้แบบอื่นๆ ก็ใช่ว่าจะตัดทิ้งโดยเด็ดขาด เพียงแค่อธิบายว่า มันมีความเป็นไปได้ที่น้อยกว่ามากๆ
อย่างไรก็ดี มีจุดหนึ่งที่ผมคิดว่าอาจจะจริงจากฝั่งรัฐไทยด้วย นั่นคือการที่ฝั่งตำรวจออกมายืนยันว่าไม่รู้และไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ (แต่พร้อมๆ กันไป ก็ไม่ได้ดูคิดจะขยับอะไรจริงจังเพื่อทำการช่วยเหลือประชาชนของตนนัก) เพราะการก่อเหตุลักษณะนี้โดยรัฐนั้น ไม่เคยมีที่ไหนหรอกครับที่ทุกองค์กรของรัฐจะรับรู้ร่วมกันหมด การทำงานของ NSA, CIA, FBI ในสหรัฐอเมริกาเอง ก็ไม่เคยที่ ‘ตำรวจสหรัฐฯ’ จะได้มีส่วนรับรู้ร่วมด้วย แต่การกระทำขององค์กรเหล่านี้ก็ถือเป็นการกระทำโดยรัฐอยู่ดี แม้จะไม่ได้ออกมาในรูปแบบอันเป็นทางการ
โดยเฉพาะกับการก่อเหตุที่โดยทั่วไปถือเป็นวิธีการทางอาชญากรรมบ้าง การกระทำของกลุ่มก่อการร้ายบ้าง แล้วมากระทำโดยรัฐเอง หรือสถาบันที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐโดยตรง ไม่ว่าจะเป็นด้านงบประมาณ การดูแล หรือต่างๆ นั้น เพื่อสร้างความหวาดกลัว ให้สั่งคมเชื่อฟังตามนั้น สามารถเรียกว่าเป็น ‘การก่อการร้ายโดยรัฐ’ ได้โดยไม่ต้องสงสัยครับ ฉะนั้นต่อให้ในกรณีที่เกิดขึ้นกับคุณวันเฉลิมนั้น ไม่ใช่ตัวรัฐบาลเองที่เป็นคนออกคำสั่งหรือลงมือ แต่เป็นองค์กรหรือ ‘สถาบันใดๆ’ ที่ได้รับการสนับสนุนโดยตรงจากรัฐอยู่และเป็นผู้ตัดสินใจหรือออกคำสั่งให้ก่อเหตุ ก็ย่อมนับเป็นการก่อการร้ายโดยรัฐได้ทั้งสิ้นครับ
สุดท้ายผมก็ได้แต่หวังว่าคุณวันเฉลิมจะปลอดภัย กระแสความสนใจต่อบุคคลที่สูญหายจะมีอยู่ต่อไป และความสงสัยไม่ไว้เนื้อเชื่อใจเรื่องเล่าฉบับทางการของรัฐนั้นจะยังคงมีอยู่ในใจของประชากรรัฐนั้นๆ เสมอ เพราะนี่คือจุดเริ่มต้นที่สำคัญที่สุดของระบบการตรวจสอบและความรับผิดชอบต่อสาธารณะ โดยเฉพาะกับรัฐบาลประเทศที่ไม่สนใจใยดีชีวิตของ ‘สาธารณะ’ มากนักน่ะครับ
อ้างอิงข้อมูลจาก
[1] Mark Turner (1998). “Kidnapping and Politics” in International Journey of the Sociology of Law. 26:145 – 160.
[2] Richard J. Samuel (2010). “Kidnapping Politics in East Asia” in Journal of East Asian Studies. 10: 363 – 395.