ช่วงสองสัปดาห์กว่าๆ ที่ผ่านมา มีข่าวอยู่ 3-4 ชิ้นที่ทำให้ผมละเหี่ยใจหนัก (ที่ใช้ 3-4 ชิ้น เพราะมีอยู่ชิ้นหนึ่งละเหี่ยใจหนัก แต่คงไม่พูดถึงเพราะคนเขียนก็ยังแคร์ชีวิตตัวเองอยู่) ข่าวแรกคือไผ่ ดาวดินก็อยู่คุกต่อไปอีกแล้ว และอีกสองข่าวคือเรื่องความตายที่วัดธรรมกาย ที่มีคุณลุงผูกคอตาย และต่อมาข่าวลูกศิษย์วัดธรรมกายคนหนึ่งชื่อ นส.พัฒนา มีอาการหอบหืด และสุดท้ายเสียชีวิตระหว่างทางในรถกู้ชีพเพราะติดด่านเจ้าหน้าที่[1] แม้ผมจะไม่ใช่แฟนวัดธรรมกายเลย และคิดว่าวัดควรได้รับการตรวจสอบตามกระบวนการทางกฎหมายที่ถูกต้อง แต่เจอสองข่าวนี้ โดยเฉพาะข่าวหลังแล้วก็ได้แต่จุกอก
จากข่าว 3-4 ชิ้นนี้ ผมคิดว่าน่าจะถึงเวลาที่เราต้องทำความเข้าใจถึงความแตกต่างของคำสองคำกับบทบาทของรัฐหน่อยแล้ว คำสองคำที่ว่าก็คือ ประชากร (Population) กับ พลเมือง (Citizen) คำทั้งสองนี้เชื่อมโยงกับมุมมองรัฐที่มีต่อคนในสังกัดในพื้นที่อำนาจทางการปกครองค่อนข้างมาก หากท่านใดเคยอ่านงานที่ผมเขียนมาบ้างอาจจะพอสังเกตเห็นว่าผมจะใช้คำว่า ‘ประชากร’ ในการพูดถึงคนในประเทศไทยแทบจะโดยตลอด และแทบจะไม่เคยใช้คำว่า ‘พลเมือง’ เลย นั่นเพราะผมค่อนข้างจะระวังในการใช้คำสองคำนี้พอสมควร และมันส่งผลกับความเข้าใจเรื่องรัฐกับมนุษย์มากๆ
คำว่า ประชากร หรือ Population นั้น เรียกได้ว่าเป็นคำกลางๆ ที่แทบจะไม่ผูกติดกับคติทางการเมืองอะไรเลย มันมีไว้เพื่อ ‘นับ’ จำนวนคนในพื้นที่หนึ่งๆ เท่านั้น หรือก็คือ เป็นคำที่ใช้มองคนในฐานะตัวเลข วัตถุ หรือจำนวน โดยไม่ได้ยึดโยงกับระบอบหรือคุณค่าทางการเมืองใดๆ ในขณะที่คำว่า พลเมือง หรือ Citizen นั้นหมายถึงคนทั้งหมดที่ได้รับการรับรอง (recognize) โดยรัฐถึงศักดิ์ สิทธิ และเสรีภาพในฐานะสมาชิกของรัฐตามกฎหมาย ว่าเป็นผู้ซึ่งพึงได้รับการยอมรับและคุ้มครองโดยรัฐ นอกจากนี้ยังมีคำอย่าง ‘พลเมืองของโลก’ (Citizen of the World) ด้วย ที่หมายถึงคนที่ได้รับการรับรองตามเงื่อนไข กฎหมาย ข้อตกลง คำประกาศ และปฏิญญาระหว่างประเทศอันเป็นสากล ว่าง่ายๆ คือ ต่อให้รัฐไม่รับรองคนกลุ่มนี้ แต่คนกลุ่มนี้ก็ยังนับว่าเป็นคนอยู่ด้วยอยู่ดีตามข้อตกลงอันเป็นสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน สถานะพลเมืองของโลกนี้บางครั้งก็ใช้กับคนซึ่งอยากตัดขาดความสัมพันธ์กับรัฐ หรือมองว่ารัฐหมดความสำคัญหรือควรยุติบทบาทลงได้แล้วด้วยก็มี โดยเฉพาะกับกลุ่ม Cosmopolitanism (สำนักพลเมืองโลก)
เหตุผลที่ผมแทบไม่ใช้คำว่า ‘พลเมือง’ กับรัฐไทยเลย (ใช้คำว่า ‘แทบ’ เพราะอาจจะมีเผลอหลุดบ้าง ซึ่งหากใครเจอแปลว่าผมไม่ได้ตั้งใจ) นั่นเพราะว่ารัฐไทยไม่มี ‘พลเมือง’ ในความหมายดังที่ว่ามา แต่รัฐไทยมองประชากรในฐานะ ‘หน่วยทางทรัพยากร’ ทางการปกครอง และตราบเท่าที่ประเทศยังไม่เป็นประชาธิปไตย ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการยืนยันหลักสิทธิมนุษยชน ประชากรของรัฐไทยก็จะไม่มีทางเป็นพลเมืองได้ ที่ผมพูดแบบนี้มันเป็นเพราะว่า
เงื่อนไขสำคัญในการเป็นพลเมืองคือ การที่รัฐมีหน้าที่ในการคุ้มครองปกป้องความมั่นคงและสิทธิเสรีภาพของประชากรตามกฎหมาย จึงจะเป็นพลเมืองได้ ซึ่งนั่นเป็นกลไกของรัฐสมัยใหม่ ไม่ใช่กลไกของรัฐเผด็จการอำนาจนิยมแบบรัฐไทย
David Campbell[2] ได้อธิบายกลไกการทำงานของรัฐสมัยใหม่ อิงตามคำอธิบายของ Thomas Hobbes อย่างน่าสนใจว่า “รัฐสมัยใหม่ทำหน้าที่ในฐานะพระเจ้าองค์ใหม่” (State as the New God) ที่แคมเบลอธิบายเช่นนี้ก็เพราะว่า เดิมทีนั้นรัฐไม่ได้ตั้งขึ้นมาเพื่อปกป้องดูแลประชากร แต่มีขึ้นมาเพื่อปกป้องหรือแสวงหาอำนาจของเจ้าผู้ปกครอง หรือลอร์ดของแต่ละท้องที่ ประชากรของรัฐเป็นเครื่องมือเพื่อใช้ในการปกป้องหรือแสวงหาอำนาจให้ผู้ปกครอง ทั้งในรูปกำลังในการผลิตทรัพยากร (คือ เป็นทรัพยากรเพื่อผลิตทรัพยากรนั่นเอง คล้ายๆ กับควายที่ใช้ไถนา คือ ตัวควายเองเป็นทรัพยากร เพื่อไปสร้างทรัพยากรชุดใหม่ คนในกรณีนี้ก็ไม่ต่างจากควาย…เพลง ‘คนกับควาย’ ลอยมา) หรือออกมาในรูปกำลังทหาร (Militia) ต่างๆ คำถามคือ ในรัฐก่อนสมัยใหม่นี้ ประชากรที่เป็นเพียงทรัพยากรจะเรียกร้องขอความคุ้มครองในความปลอดภัยของชีวิตและทรัพย์สินของตนจากใคร?…จาก “พระเจ้า”
เมื่อรัฐไม่ใช่ผู้ซึ่งคุ้มครองประชากร ประชากรของรัฐนั้นๆ จึงต้องฝากฝังความหวังต่อความเป็นอยู่และความมั่นคงกับพระเจ้าหรือสิ่งเหนือธรรมชาติต่างๆ ให้หายจากโรคภัยไข้เจ็บ ให้ช่วยประทานโอกาสต่างๆ ในชีวิต ให้รอดจากโจรป่าโจรสลัดยามเดินทาง หรือหากไม่รอด ตายไปจริงๆ ก็ขอให้ได้ไปมีชีวิตหลังความตายอย่างสงบสุขกับพระผู้เป็นเจ้า นี่คือกลไกการทำงานในฐานะพระเจ้าหรือสิ่งเหนือธรรมชาติ คือ เป็นกลไกในเพื่อคุ้มครองประชากรในยามที่รัฐไม่ทำหน้าที่หรือไม่มีหน้าที่ในการปกป้องพวกเขา
อย่างไรก็ดี เมื่อรัฐสมัยใหม่เกิดขึ้น เกิดกระบวนการต่อรองอำนาจทางการเมืองระหว่างฝ่ายประชาชนและเจ้าผู้ปกครองมากขึ้น จนในที่สุดนำมาซึ่งรัฐประชาธิปไตย รัฐไม่ได้มองประชากรในฐานะเครื่องมือของรัฐอีกต่อไป หากแต่ตัวรัฐต่างหากที่ต้องเป็นเครื่องมือของประชาชน คือ ประชาชนใช้, ปกป้อง และขยายอำนาจของตนเองผ่านกลไกของรัฐ (นั่นทำให้การกระจายอำนาจเป็นกลไกสำคัญของประชาธิปไตย ซึ่งในไทยก็ดับวอดไปแล้ว) และการคุ้มครองปกป้องประชากรก็เป็นหน้าที่หลักของรัฐไป รัฐจึงต้องมีกลไกอย่างกฎหมายที่ชัดเจน มีตำรวจมาควบคุมดูแลความสงบและความมั่นคงภายในรัฐ มีทหารเพื่อป้องกันภัยจากภายนอก (ซึ่งปัจจุบันน้อยมากแล้ว ปัญหาคือทหารไทยมักจะเป็นฝ่ายทำลายความมั่นคงของชาติเสียเองนี่แหละ) มีระบบสวัสดิการและสาธารณสุขที่ดี เพื่อปกป้องคุ้มครองประชากรจากโรคต่างๆ ฯลฯ นั่นทำให้ในทางปฏิบัติประชากรไม่จำเป็นต้องเรียกร้อง ขอความคุ้มครองและความมั่นคงจากพระเจ้าอีกต่อไป (เหลือเอาไว้แค่เป็นโวหารยามอุทาน “Oh my God! Oh Lord!” ไป)
ด้วยเหตุนี้ มันจึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกประหลาดอะไรที่ประเทศไทยมันจะเป็นอย่างที่เป็นอยู่ แต่อ่านข่าวแล้วก็จุกเสียดแน่นอกอยู่ดี ที่อยู่กันมาจนศตวรรษนี้แล้วยังเป็นอย่างนี้กันอยู่อีก ไม่ใช่แค่เรื่องไผ่ ที่เป็นตัวอย่างของประชาชนซึ่งถูกนำมาใช้เป็นเบี้ยในฐานะตัวอย่างในการสร้างความกลัวขึ้นหากคิดขัดขืน รวมถึงบ่งชี้ว่ารัฐอยากเลือกจัดการใครก็อยู่ในอำนาจรัฐทั้งสิ้น (รวมไปถึงอีกกรณีหนึ่งที่ผมไม่กล้ายกมาเพราะยังเสียดายชีวิต) หรือกรณีธรรมกายนี้เอง เอาจริงๆ กรณีคุณลุงฆ่าตัวตายนั้น ค่อนข้างจะถกเถียงได้อยู่บ้าง หากมองจากมุมเรื่องสิทธิในการเลือกจบชีวิตตนเอง การฆ่าตัวตายก็คือสิทธิแบบหนึ่ง แต่กรณีของคุณพัฒนา ที่เสียชีวิตเพราะติดด่านนั้น มันบอกกับเราชัดเจนว่า
“พื้นที่ทางอำนาจของรัฐ มีค่ามากกว่าความมั่นคงทางชีวิตของประชากร” …เราไม่ใช่พลเมือง
หากย้อนคิดกลับไปสักหน่อยเราจะพบเหตุการณ์ลักษณะเดียวกันนี้มากมาย หลายเหตุการณ์ยกมาพูดอีกไม่ได้เช่นกันเพราะผมเองก็เสียดายชีวิตตัวเองอยู่ และการที่ผมจะเขียนอะไรง่ายๆ แค่นี้ แค่ยกเหตุการณ์จริงทางประวัติศาสตร์มาพูดยังยกไม่ได้ เพราะเสียดายชีวิตตัวเองอยู่นั้น ก็เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งที่บอกกับเราว่ารัฐไม่ได้มีขึ้นเพื่อคุ้มครองชีวิตของประชากร แต่มีขึ้นเพื่อรักษาอำนาจของตนไว้…พฤษภา 53 ที่ห้างร้านและถนนมีค่ามากกว่าชีวิตคนเกือบร้อยก็เช่นกัน, 6 ตุลาคม 2519 ที่การฆ่าและทรมานในนามความมั่นคงของรัฐเองก็เช่นกัน และเหตุการณ์อื่นๆ อีกมากมาย
ด้วยความที่เหตุการณ์อย่างนี้มันเกิดเหตุขึ้นในช่วงศตวรรษนี้ซึ่งโลกมันพัฒนาไปมากแล้ว เราสามารถเห็นความคิด เห็นความเป็นจริงในที่อื่นๆ ของโลกได้ อย่างยากที่รัฐหรือใครจะปิดกั้นได้หมดหรือโดยตลอด ‘หากเราคิดที่จะเห็น’ การไม่เห็นในศตวรรษนี้มันเป็นเพียงคำอ้างของการ ‘เลือกจะไม่มองไม่เห็น’ เท่านั้น มันจึงนำมาสู่สภาวะการเรียกร้องที่แสนจะย้อนแย้งและน่าหดหู่ในประเทศไทยไป คือ ฝ่ายที่เรียกร้องสิทธิเสรีภาพเองก็รู้ดีว่า พวกตนกำลังเรียกร้องความเป็นธรรม สิทธิและอำนาจของประชากรในฐานะพลเมือง ความเป็นประชาธิปไตย จากผู้ซึ่ง ‘พราก’ สิ่งเหล่านี้จากรัฐไทยไป มันคือความย้อนแย้งที่น่าเศร้า เพราะไม่เรียกร้องกับคนเหล่านี้ ก็ไม่รู้จะเรียกร้องกับอะไร จะเรียกร้องกับพระเจ้าหรือสิ่งเหนือธรรมชาติเหนือเหตุผล พวกเขาก็เข้าใจดีว่ายิ่งไม่ใช่ทางออก ก็ได้แต่เรียกร้องไปทั้งๆ ที่รู้ว่าคนเหล่านั้นก็ไม่แยแสอยู่ดี เพราะรัฐของพวกเขา ไม่เคยหมายถึงรัฐของพวกเรานั่นเอง
ที่น่าสังเกตอีกประการหนึ่งก็คือ ในรัฐที่มีความเป็นรัฐก่อนสมัยใหม่มายาวนานอย่างรัฐไทยนั้น มีแนวโน้มที่จะให้ความสำคัญกับพระเจ้า หรือสิ่งเหนือธรรมชาติเหนือเหตุผลมากกว่ารัฐสมัยใหม่ นั่นเพราะรัฐก่อนสมัยใหม่ไม่ต้องการให้ประชาชนตั้งคำถามกับอำนาจรัฐ รัฐไม่ต้องการประชากรที่เข้าใจในความเป็นเหตุเป็นผล ไม่ต้องการให้มีสำนึกคิดแบบสมัยใหม่ ไม่มีกระบวนการคิดอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ดังจะเห็นได้จากนักวิทยาศาสตร์หรือหมอต่างๆ นานาในประเทศไทยนี้ก็ไม่ได้มีความเข้าใจเรื่องสิทธิ และอำนาจแบบรัฐสมัยใหม่เลย (ดังจะเห็นได้กับดราม่าที่เกิดขึ้นระหว่างมหาวิทยาลัยมหิดล และศูนย์สันติศึกษา ของมหาวิทยาลัยเดียวกันนี้) อีกส่วนหนึ่งที่ทำให้พลังของสิ่งเหนือธรรมชาติและเหตุผลมีแนวโน้มจะทรงพลังนั่นก็เพราะประชากรไม่มีพื้นที่ในการยึดเหนี่ยวหรือเรียกร้องอื่นๆ นอกจากผีสางเทวดา หรือศาสนา ดังที่เดวิด แคมเบลอธิบายไว้ เพราะประชากรของรัฐเองก็รู้ตัวลึกๆ ดีว่าเราฝากข้อเรียกร้องกับรัฐไม่ได้ ก็จำเป็นต้องขอให้ดวงจากสารพัดอำนาจนอกระบบตรรกะช่วยเกื้อหนุนเราแทน
เพราะเหตุนี้รัฐซึ่งประชากรไม่มีโอกาสเป็นพลเมืองอย่างไทย จึงเชื่อในหมอดู มากกว่าเชื่อในวิทยาศาสตร์ เชื่อในโหรมากกว่าประวัติศาสตร์และสถิติ เชื่อในฮวงจุ้ยมากกว่าสถาปนิก ฯลฯ ทั้งนี้ผมอยากจะออกตัวก่อนว่าผมไม่มีปัญหากับความเชื่ออะไร ส่วนตัวใครอยากคิดอยากเชื่ออะไรก็ว่ากันไป แต่การที่คนปริมาณมากเชื่อในสิ่งเหนือธรรมชาติ มากกว่าตรรกะและเหตุผลนั้น ผมคิดว่ามันจำเป็นที่เราจะต้องมองหาคำอธิบายในทางวิชาการด้วย
ซึ่งก็ดังได้อธิบายไปแล้วว่าทำไม….และเราก็มาสู่จุดที่หลายคนเชื่อว่ารัฐบาลที่ทำลายระบอบประชาธิปไตย จะสามารถนำความเป็นประชาธิปไตยมาให้ได้มากกว่าการเลือกตั้ง ก็น่าสนใจว่า ประชาธิปไตยในประเทศนี้ดูจะกลายเป็น ‘ของต้องห้าม’ (Taboo) ไปแล้วจริงๆ
อ้างอิงข้อมูลจาก
[1] ที่มา www.khaosod.co.th
[2] ดูเพิ่มเติมใน Campbell, D. (1998). Writing Security: United States Foreign Policy and Politics of Identity. (Manchester, UK: Manchester University Press).