แม้จะอยู่ภายใต้ระบบชายเป็นใหญ่เช่นนี้ แต่ก็อาจจะกล่าวได้ว่า เราก็มีพัฒนาการมาถึงจุดนึงที่เริ่มมีคนบางกลุ่มและมีแนวโน้มจะขยายตัวมากขึ้นเรื่อยๆ ที่ให้ความสำคัญกับเพศสัมพันธ์ด้วยความยินยอมพร้อมใจ (sexual consent / consensual sex) และต่อต้านวัฒนธรรมการข่มขืน (rape culture) เป็นสามัญสำนึกและการกระทำโดยอัตโนมัติ เหมือนกับจะกินข้าวก็ใช้ช้อนส้อม ออกจากบ้านก็สวมรองเท้า จะมีเซ็กซ์กันก็ต้องได้รับการยินยอมจากอีกฝ่าย
เพราะเพศสัมพันธ์ที่ปราศจากการยินยอมเท่ากับข่มขืน การลักหลับและมอมเหล้าก็เช่นกัน
แต่ปัญหายังคงอยู่ที่ sexual consent มันก็มีมายาคติในเวลาเดียวกัน นอกเหนือจากเป็นหลักปฏิบัติ เช่นว่า หากทำให้อีกฝ่ายเสียวและเกิดอารมณ์ได้ถือว่า consent การนิ่งงันไม่กรีดร้องไม่ปัดป้องคือสมยอม หรือแม้แต่ถ้าใครไปหาถึงห้อง มาอ้อร้อในที่รโหฐานยามวิกาล ก็ไม่ได้หมายความว่าจะสมยอม
แน่นอนไม่ได้มีแต่ผู้หญิงเท่านั้นที่ถูกข่มขืน ไม่ว่าเพศใดก็ถูกข่มขืนชำเราได้เช่นกัน กะเทยถูกข่มขืนก็ไม่ใช่บุญศรีบารมีแสด และการที่ผู้ชายถูกผู้หญิงข่มขืนก็ไม่ใช่เรื่องตลกหรือลาภลอย หรือพวกเขาจะโดนล้วงควักดูดนมอมเลียยังไงก็ได้ไม่ถือว่าเป็นการล่วงละเมิดทางเพศ
แต่ด้วยโครงสร้างชายเป็นใหญ่อันมีลึงค์เป็นศูนย์กลาง (phallocentric) สังคมจึงเห็นใจเหยื่อผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย หรือเหยื่อที่ ‘ถูกสอดใส่’ มากกว่า แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าการข่มขืนส่วนใหญ่มาจากสำนึกการสถาปนาอำนาจเหนือเนื้อตัวร่างกายผู้อื่นที่อิงกับสำนึกลึงค์เป็นศูนย์กลาง ต่อให้ผู้ชายข่มขืนผู้ชายด้วยกัน ก็เป็นทำให้เหยื่อตกอยู่ในสภาพมี ‘ความเป็นหญิง’ เป็นเพศที่ถูกสอดใส่ในโลกชายเป็นใหญ่
ยิ่งในความสัมพันธ์ฉันท์คนรักไม่ว่าจะในระดับแฟนหรือสามีภรรยา ก็ปฏิเสธได้ยากว่ามีความสัมพันธ์เชิงอำนาจเป็นกลไกหนึ่งของความสัมพันธ์ ซึ่งก็นั่นแหละที่จะนำไปสู่การมีเซ็กส์ที่ไม่ยินยอมพร้อมใจ (non-consensual sex) ในบางครั้ง ก็แน่ล่ะ อยู่ด้วยกันใกล้ชิดกันมันก็ไม่ได้เกิดอารมณ์ทุกครั้ง บางครั้งมันก็อยาก บริบทไม่อำนวย แต่ในเมื่อคนรักเค้าอยากมากและเพื่อเลี่ยงไม่ให้ผิดใจทะเลาะกัน ก็ทำให้เสร็จๆ ไปก็ได้
และนี่แหละก็เป็นอีกมายาคติหนึ่งคือ เป็นคนรักกันแล้วก็ต้องสมยอมทุกครั้งไป
เพราะชีวิตคู่ มันไม่ได้ปล่อยให้เราทำอะไรได้ดั่งใจหรือเป็นตัวของตัวเองได้ไปเสียหมดทุกอย่างหรอก รวมถึงเรื่องเซ็กซ์ บางคืนก็ง่วงใจจะขาด หรือต้องเผชิญกับจู๋เหม็นๆ ไม่ได้ล้าง ต้องอมไปทั้งที่ยังมีกลิ่นฉี่ ถึงตอนนั้นเค้าจะจับกดหัวจนอ๊อกๆ จนน้ำหูน้ำตาไหล ก็กลืนเข้าไปได้ เพียงเพื่อให้คู่ได้เกิดความภาคภูมิใจใน ‘เจ้าโลก’ ของเขา
ทั้งๆ ที่ อ๊อกๆ คือปฏิกิริยาต่อต้านทางกายภาพของมนุษย์
แต่เมื่อคำนึงถึงความรักความสัมพันธ์ จึงยอมได้ทุกอย่าง เพราะความสัมพันธ์เองก็คงถูกกำกับด้วยระบบชายเป็นใหญ่ ต่อให้เราจะปฏิเสธแล้วเค้ากดดันว่า “ไม่งั้นฉันไปเอากับคนอื่นแทนนะ” “จะมีกิ๊กนะ” ไปจนถึงตัดพ้อที่กระเทือนความสัมพันธ์ “ฉันไม่เก่ง ไม่ดีพอหรอ” “เธอไม่รักฉันแล้ว เธอเบื่อฉันแล้วหรอ” เอาความสัมพันธ์เป็นตัวประกัน ไม่ต่างอะไรไปจากการขืนใจที่ผู้กระทำมีอาวุธปืนหรือวัตถุระเบิด
เพียงแต่ ณ ขณะรัก มันก็ให้อภัยกันง่ายอยู่หรอก คิดไม่ถึงว่ามันจะเท่ากับข่มขืนที่เราจะต้องต่อสู้ แต่พอเลิกกันแล้วถึงจะยอมรับได้ทันทีว่านั่นแหละคือ non-consensual sex และการล่วงละเมิดทางเพศ (sexual assault)
เพราะไม่ว่าเราจะมีอุดมการณ์เสรีภาพแค่ไหน สมาทานตนเองกับสตรีนิยมสำนักใด จะเรียกตัวเองเป็นเฟมินิสต์หรือไม่ สุดท้ายพอมีผัว มันก็สั่นคลอนอุดมการณ์ได้ไปเสียทุกครั้ง ต่อให้จะตระหนักได้ทุกขณะจิตว่าสิทธิในเนื้อตัวร่างกายเป็นของเราเอง เราย่อมมีสิทธิเลือกได้เสมอว่าจะอมจะคร่อมหรือจะเอาอะไรยัดเข้าไป
แต่เมื่อมันเป็นเรื่องของความสัมพันธ์ ไม่ว่าจะคู่เพศวิถีแบบใดหรือต่อให้เป็นหมู่คณะ ความจริงใจ ตรงไปตรงมา เปิดเผย และความเข้าใจใส่ใจซึ่งกันและกันก็เป็นสิ่งสำคัญในการรักษาความสัมพันธ์ การกล้าที่จะบอกให้หยุดหรือพอก่อน ย่อมสำคัญพอๆ กับขอมีอะไรกันหรือบอกว่าชอบให้ทำอะไรบ้าง
คำว่า “เบาๆ” หรือ “เจ็บ” หรือ “นั่นแหละ” จึงมีความหมายพอกันๆ แต่คำพูดประเภท “เจ็บนิดเดียวเดี๋ยวก็เช้า” “แปบนึงนะเดี๋ยวก็เสียว” “อดทนหน่อยสิ” นี่แหละคือการไม่เอาใจเขามาใส่ใจเรา การที่ฝ่ายถูกสอดใส่กรีดร้องบอกให้หยุดแล้วยังไม่หยุด นั่นไม่ใช่ความดุเผ็ดจนต้องร้องขอชีวิต หากแต่เป็นอีก toxic masculinity ต่างหาก
ต่อให้กำลังโรมรันพันตูแล้วเริ่มไม่โอเค ไม่สบายตัว ก็ใช่ว่าจะหยุดหรือขอพักยกไม่ได้
เพราะ consent ไม่ได้นับเฉพาะที่จุดเริ่มต้น แต่รวมถึงระหว่างทางด้วย
และเราก็สามารถทำข้อตกลงกันได้ว่าจะแค่ภายนอกหรือภายใน จะแตกนอกหรือแตกใน แต่เราไม่สามารถไปละเมิดเนื้อตัวร่างกายใครอื่น แม้แต่ร่างกายแฟนเรา ไม่ว่าจะคบกันนานแค่ไหน ถือวิสาสะกันได้เพียงใด ต่อให้ถึงขั้นตดใส่กัน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะสามารถใช้ร่างกายเขาเป็นที่ระบายความใคร่โดยที่เขาไม่พร้อม
การถามว่าโอเคมั้ย ชอบมั้ย อยากให้หยุดมั้ย เจ็บรึเปล่า จึงเป็นการแสดงความเคารพซึ่งกันและกัน ไม่ใช่ตะพึดตะพือหลับตาปี๋ ยิ้มลูกเดียวไม่ฟังอีร้าค่าอีรม แถมปิดไฟมืดตึ๊ดตื๋อ จนสังเกตไม่ได้ว่า เขามีอวัจนภาษาอย่างไร ต่อให้เขาไม่พูดอะไรก็ตาม
เพราะเซ็กซ์มันเป็นกิจกรรมร่วมกันไม่ใช่ของคนใดคนหนึ่ง และเป็นปฏิบัติการระหว่างมนุษย์ด้วยกัน ไม่ใช่มนุษย์กับวัตถุทางเพศ ไม่ว่าจะเป็นการร่วมรักกับคนรักหรือน้ำแตกแล้วแยกทาง มันเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติมนุษย์ก็จริง แต่มนุษย์มีวิวัฒนาการมายาวไกลจนเซ็กซ์ไม่ใช่แค่เรื่องสืบเผ่าพันธุ์ หากแต่เป็นเรื่องสุนทรียะอีกด้วย
แม้แต่ คู่ sadomasochism เค้ายังถามซึ่งกันและกันเลยว่าแรงระดับไหนที่รับได้
ถ้ามีใครบ่นว่า ทำไมจะอึ๊บทีมันยุ่งยากซับซ้อนจังวะ เรื่องมากจนหมดอารมณ์เลย ถ้าคิดเช่นนั้นก็ช่วยตัวเองไปเถอะ ทำให้มือสากไปเลยก็ได้ตราบใดที่มันเป็นมือของเราเอง แต่อย่าเร่ไปมีเซ็กซ์กับใครเลย…เพราะเซ็กซ์นั้นเป็นเรื่องละเอียดอ่อน
อ้างอิงข้อมูลจาก