เรายินยอมแล้วหรือยังนะ?
เมื่อพูดถึงการมีเพศสัมพันธ์ หลายคนก็อาจคุ้นเคยกับคำว่า ‘ยินยอม’ เพราะมันคือสิ่งที่ต่างฝ่ายต่างก็ต้องยินยอมซึ่งกันและกัน ทว่าบ่อยครั้งเส้นแบ่งระหว่างความยินยอมและการบีบบังคับกลับเลือนลาง จนท้ายสุดก็ได้นำไปสู่ข้อถกเถียงกันบนสังคมออนไลน์ว่า อันนี้ถือเป็นการยินยอมแล้วหรือยัง?
ความยินยอมคืออะไร แบบไหนเราถึงจะเรียกกันว่ายินยอม แล้วพฤติกรรมหรือการกระทำประเภทไหนบ้างที่เข้าข่ายการบีบบังคับทางเพศ วันนี้ The MATTER จึงขอพาทุกคนมาสำรวจความแตกต่างระหว่างความยินยอมและการบีบบังคบทางเพศ
ความยินยอม (Consent)
ความยินยอม ถือเป็นหัวใจสำคัญของการมีความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับบริบทของการมีเพศสัมพันธ์ เพราะมันคือการอนุญาตและข้อตกลง สำหรับดำเนินกิจกรรมทางเพศต่างๆ หากปราศจากความยินยอมของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ย่อมหมายถึงการละเมิดสิทธิ์ของบุคคลอื่น ถ้ายังคงดำเนินกิจกรรมทางเพศอยู่ ก็จะถือเป็นความรุนแรงทางเพศด้วย
แล้วความยินยอมจะต้องมีลักษณะอย่างไรบ้าง?
- ต้องมีข้อตกลงร่วมกันอย่างชัดเจน
ความยินยอมไม่ใช่สิ่งที่ต้องคาดเดากันไปเอง แต่ต้องมีการสื่อสารและสร้างข้อตกลงให้ชัดเจนจากทุกฝ่าย ว่ากิจกรรมทางเพศใดบ้างที่จะเกิดขึ้น รวมถึงต้องมีการแสดงออกถึงการตกลงหรือยอมรับอย่างชัดเจน โดยทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องก็จะต้องเข้าใจร่วมกันด้วย - ต้องรู้สึกตัวชัดเจน และทำด้วยความสมัครใจ
การจะตอบตกลงหรือยอมรับถึงความยินยอมได้นั้น สิ่งหนึ่งที่จะขาดไปไม่ได้เลยคือสติสัมปชัญญะ ซึ่งต้องมีอยู่ครบถ้วน รู้สึกตัวชัดเจนว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ อะไรจะเกิดขึ้นต่อ อีกทั้งข้อตกลง ‘ทุกอย่าง’ จำเป็นต้องเกิดขึ้นจากความสมัครใจเท่านั้น - ต้องไม่มีการบังคับ ข่มขู่ หรือใช้กำลัง
หากอีกฝ่ายใช้กำลัง บังคับ หรือข่มขู่ ให้เราต้องยินยอมต่อกิจกรรมทางเพศที่กำลังจะเกิดขึ้น ทั้งหมดนี้ถือว่าไม่เป็นการยินยอม เพราะการยินยอมจะต้องเกิดขึ้นจากความสมัครใจและเต็มใจจากทุกฝ่ายเท่านั้น แม้กระทั่งกับคู่รักด้วยกันเอง ถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งขู่บังคับเราให้มีเพศสัมพันธ์ด้วย โดยที่เราไม่เต็มใจ ก็ถือว่าเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลด้วยเช่นกัน - หากมึนเมาหรือไม่ได้สติอยู่ ไม่ถือเป็นการยินยอม
บ่อยครั้งที่กิจกรรมทางเพศ มักเกิดขึ้นหลังจากกิจกรรมสังสรรค์ที่มีการดื่มเครื่องดื่มมึนเมากัน ถึงอย่างนั้น ไม่ว่าจะมีเพศสัมพันธ์รูปแบบไหน การยินยอมก็ต้องเกิดขึ้นในระหว่างที่ ‘มีสติครบถ้วน’ เท่านั้น หากเรากำลังอยู่ภายใต้ฤทธิ์ของแอลกอฮอล์จนไม่ได้สติ จะไม่ถือเป็นการยินยอมที่สมบูรณ์ - ความเงียบไม่ถือเป็นการยินยอม
เมื่อเราถามถึงความยินยอม แล้วอีกฝ่ายเลือกที่จะนิ่งเฉย ไม่แสดงท่าทีตอบสนอง ตลอดจนไม่ได้ปฏิเสธอย่างชัดเจน ไม่ได้หมายความเราจะสามารถทำสิ่งนั้นได้ จนกว่าจะได้ยินความยินยอมจากเต็มใจจากอีกฝ่าย ลองนึกภาพตอนเราออกเดต หากเราขอจับมือด้วย แล้วอีกฝ่ายไม่ได้ตอบกลับอะไร เราก็ไม่สามารถไปจับเนื้อต้องตัวอีกฝ่ายได้ เพราะอีกฝ่ายไม่ได้แสดงความยินยอมอย่างชัดเจนนั่นเอง - ยินยอมแค่บางอย่าง ไม่ถือว่ายินยอมทุกอย่าง
การยินยอมต่อกิจกรรมทางเพศรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง ไม่ได้หมายความว่าบุคคลนั้นจะยินยอมสำหรับกิจกรรมรูปแบบอื่นๆ ด้วย เพราะความยินยอมถือเป็นเรื่องเฉพาะเจาะจง ตัวอย่างเช่น วันนี้คู่รักของเรายินยอมให้จูบได้ ก็ไม่ได้หมายความอีกฝ่ายยินยอมให้มีเพศสัมพันธ์ด้วย แม้อารมณ์จะนำพาให้เราคิดไปเช่นนั้นแล้วก็ตาม - ความยินยอมถอดถอนได้ทุกเมื่อ
ท้ายสุดแล้ว ความยินยอมสามารถถอดถอนได้ทุกเมื่อที่เรารู้สึกไม่พอใจหรือไม่ยินดีที่จะทำแล้ว เรามีสิทธิที่จะเปลี่ยนใจได้อยู่ตลอดเวลา ไม่ว่ากิจกรรมทางเพศนั้นจะเริ่มต้นไปถึงไหนแล้วก็ตาม อีกฝ่ายก็จำเป็นต้องทำตาม รวมถึงกิจกรรมทางเพศทุกอย่างจะต้องหยุดลงทันที โดยไม่มีข้อยกเว้น
การบีบบังคับทางเพศ (Sexual Coercion)
ทว่าหลายครั้ง ความยินยอม ก็อาจไม่ได้เกิดขึ้นด้วยความเต็มใจเสมอไป ซึ่งนั่นก็จะถือเป็น ‘การบีบบังคับทางเพศ’ ซึ่งเป็นการใช้กลวิธีต่างๆ ไม่ว่าจะทางคำพูด อารมณ์ หรือการกระทำ ตลอดจนยกเอาเรื่องความสัมพันธ์มาเป็นข้ออ้าง สำหรับชักจูงหรือบังคับให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต้องมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางเพศโดยไม่เต็มใจ
แล้วพฤติกรรมหรือการแสดงออกลักษณะใดที่เข้าข่ายการบีบบังคับทางเพศบ้าง?
- มีการทำให้รู้สึกผิดหากไม่ทำตาม
ผู้กระทำอาจเลือกใช้คำพูดหรือท่าที ที่ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกผิดหรือรู้สึกแย่กับตนเอง เพื่อเป็นการบีบบังคับทางอ้อมให้อีกฝ่ายยอมทำตามความต้องการของตน โดยอาจใช้เรื่องความผูกพันธ์หรือความสัมพันธ์มาเป็นเครื่องมือ ตัวอย่างคำพูดที่เข้าข่ายการทำให้รู้สึกผิด หากไม่ทำตาม เช่น “ถ้ารักกันจริง ต้องทำเพื่อเราสิ” หรือ “วันครบรอบทั้งที จะไม่มีอะไรกันเลยหรอ” เป็นต้น - มีการกดดันหรือบีบบังคับให้ยินยอม
หลายครั้งผู้กระทำอาจมีการกดดันหรือบีบบังคับให้อีกฝ่ายต้องร่วมกิจกรรมทางเพศด้วย โดยไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะรู้สึกอย่างไร ซึ่งผู้กระทำอาจสร้างบรรยากาศหรือยกสถานการณ์บางอย่างมาเป็นข้อกดดัน เพื่อให้เรารู้สึกไม่สบายใจหากไม่ยอมทำตาม - มีการข่มขู่ หากไม่ทำตาม
ฝ่ายตรงข้ามมีการแสดงออกชัดเจน ถึงเจตนาที่จะทำร้าย ลงโทษ หรือสร้างความเสียหายให้กับอีกฝ่ายไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง หากไม่ยินยอมทำตามความต้องการ โดยการข่มขู่อาจมาในหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น การใช้คำพูดทำร้ายจิตใจ หรือการใช้ความรุนแรงทางร่างกายต่ออีกฝ่าย เป็นต้น - ถูกทำให้มึนเมาหรือไม่ได้สติ เพื่อลดความสามารถการปฏิเสธ
แอลกอฮอล์สามารถทำให้เราขาดสติได้ ดังนั้นผู้ที่ต้องการจะบีบบังคับทางเพศเรา อาจเลือกใช้เครื่องดื่มหรือของมึนเมาในการทำให้เรารู้สึกไม่ได้สติ เพื่อลดความสามารถในการปฏิเสธของเราลง และทำให้เรายินยอมได้ง่ายมากขึ้น - มีการบงการทางอารมณ์ ให้อีกฝ่ายทำตาม
แน่นอนว่า ในความสัมพันธ์บางคนก็อาจหวาดกลัวต่อการถูกบอกเลิกหรือการถูกปฏิเสธ ซึ่งความรู้สึกเหล่านี้ อาจเป็นสิ่งที่ผู้กระทำนำมาใช้ในการบงการหรือข่มขู่ให้เราทำตามสิ่งที่พวกเขาต้องการได้ ตัวอย่างสถานการณ์ เช่น เราอาจรู้สึกชอบพอกับอีกฝ่ายมาก แต่ยังไม่อยากมีความสัมพันธ์ทางเพศด้วย ทว่าอีกฝ่ายกลับอ้างว่า หากเราไม่มีอะไรกัน จะเลิกกับเรา เราจึงจำใจต้องทำตามคำขออีกฝ่าย เป็นต้น - มีการเซ้าซี้เพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการ
บางครั้งผู้กระทำอาจมีการเซ้าซี้หรือพูดซ้ำๆ เพื่อให้ได้ในสิ่งที่ต้องการ ซึ่งการกระทำในลักษณะนี้ ก็ถือเป็นการบีบบังคับทางเพศด้วยเช่นกัน เพราะมันก็ไม่ต่างจากการสร้างแรงกดดันทางจิตใจ ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกไม่พอใจหรือลำบากใจ แม้การเซ้าซี้จะไม่ดูรุนแรงเท่าการข่มขู่ แต่การถูกกดดันให้ต้องทำซ้ำๆ ก็อาจทำให้เราเผลอยินยอมไป ทั้งที่เรารู้สึกไม่ยินยอมจริงๆ ก็ได้ - มีการทำให้รู้สึกกลัว หากจะต้องปฏิเสธ
ผู้กระทำอาจยกเรื่องบางเรื่องมาเป็นข้ออ้าง ข่มขู่ ตลอดจนแบล็กเมล์ ให้เรารู้สึกกลัวที่จะปฏิเสธอีกฝ่าย เพราะหากปฏิเสธ ก็อาจเกิดผลร้ายแรงตามมา ไม่ว่าจะเป็น ทางจิตใจ ร่างกาย โอกาสในชีวิต หรือชื่อเสียง นำไปสู่การจำใจทำตามอย่างไปเต็มใจ
แน่นอนว่า คงไม่มีใครอยากตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ ทว่าหากเรากำลังรู้สึกถูกบีบบังคับทางเพศอยู่ล่ะ เราจะสามารถทำอย่างไรได้บ้าง?
- พูดให้ชัดเจนและตรงไปตรงมา: “ถ้าไม่ก็คือไม่” ปฏิเสธต่ออีกฝ่ายอย่างเสียงแข็ง ไม่ว่าฝ่ายตรงข้ามจะอยู่ในสถานะใดก็ตาม แม้จะเป็นคนรักหรือคนสำคัญในชีวิต ก็ไม่มีสิทธิที่จะบีบบังคับให้เรามีความสัมพันธ์ทางเพศด้วยหากเราไม่ยินยอม พยายามเน้นย้ำถึงความรู้สึกและความไม่สบายใจที่เกิดขึ้น เพื่อให้อีกฝ่ายรับรู้ถึงขอบเขตที่ชัดเจน
- พยายามออกจากสถานการณ์ให้เร็วที่สุด: ถ้ารู้สึกว่าสถานการณ์ตรงหน้ากำลังสร้างความลำบากใจหรือรู้สึกไม่โอเค ควรรีบหาทางออกจากสถานการณ์ตรงนั้นให้เร็วที่สุด อาจเดินหนี ออกจากห้อง ตลอดจนไปอยู่ในพื้นที่สาธารณะ ตลอดจนขอความช่วยเหลือจากคนรอบข้าง เพื่อเป็นการป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นกับตัวเราได้
- หากรู้สึกไม่ปลอกภัย ให้โทรแจ้ง 191 ทันที: เมื่อเราเริ่มรู้สึกไม่ปลอดภัย หรือรู้สึกถูกคุกคามไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง อย่าลังเลที่จะกดโทรแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เบอร์ 191 ทันที การขอความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญเมื่อต้องเผชิญอยู่ในภาวะขับขัน ถือเป็นสิ่งที่จำเป็นที่สุด เพื่อรักษาชีวิตของตนเองให้ปลอดภัย
อ้างอิงจาก