หนังสไปเดอร์แมนกลับฉายในช่วงชีวิตของดิฉันเป็นรอบที่สามแล้ว ทำตัวราวกับแม่พลอย อยู่มาหลายแผ่นดิน ทั้งๆ ที่จริงๆ ไม่ได้เนิ่นนานขนาดนั้น ดิฉันได้เห็นทั้งโทบี แมไกวร์ (Toby Maguire) แอนดรูว์ การ์ฟิลด์ (Andrew Garfield) และทอม ฮอลแลนด์ (Tom Holland) ยังไม่รวม สไปเดอร์แมน เดอะ มิวสิคอล ที่รีฟ คาร์นีย์ (Reeve Carney) และจัสติน แมตทิว ซาร์เจนต์ (Justin Matthew Sargent) ห้อยโหนโจนทะยานปราบเหล่าร้ายอีกนะคะ ดิฉันคิดว่าเราจะเห็นน้องทอม ฮอลแลนด์ในชุดยางยืด โดดเด้งไปมาอีกหลายปี
สไปเดอร์แมนเป็นสิ่งหนึ่งที่ยืนยันกับเราว่าแมงมุมไม่ใช่สัตว์หายาก และห่างไกลจากมนุษย์ ไม่มีใครไม่รู้จักแมงมุม ไม่มีใครไม่เคยเห็น แมงมุมอยู่ในวรรณกรรมต่างๆ และเป็นสัญลักษณ์ในวัฒนธรรมของเรามานาน อาจเป็นเพราะแมงมุมเป็นสัตว์ที่พบได้ทุกทวีป (ยกเว้นอาร์กติกและแอนตาร์กติกา) ถึงแม้แมงมุมจะเป็นที่รู้จักมานานแสนนานนับแต่เบื้องบรรพกาล แต่ก็คงไม่ค่อยจะมีใครเรียกแมงมุมเป็นเพื่อนรักเพื่อนสนิทอะไรได้สักเท่าไรหรอก นอกจากนังหมูวิลเบอร์ ในชาร์ล็อตต์ แมงมุมเพื่อนรัก (Charlotte’s Web ของ E.B. White) แล้ว คงจะหาคนเรียกแมงมุมว่าเพื่อนรักได้ยากนัก
ดิฉันก็ไม่ได้จะเชื้อเชิญทุกคนให้มาโอบกอด รักแมงมุมเหมือนที่หลายๆ คนรักหมารักแมว เอามากอดมาลูบคลำอะไรขนาดนั้น ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรถ้าคุณจะกลัวแมงมุม (สำหรับบางคนกลัวแมงมุมในระดับที่เป็นโฟเบีย ที่เรียกกันว่า Arachnophobia) แต่ดิฉันแค่อยากให้คุณลองมองแมงมุมในมุมใหม่ ลองมองแมงมุมจากมุมมองของแมงมุม ซึ่งจริงๆ ก็คือมุมมองของคนที่แอ๊บว่าอยู่ในมุมของแมงมุม หรือพูดอีกอย่างหนึ่งคือเป็นมุมมองของคนในมุมของแมงมุมที่อยู่ในมุมอะไรสักที่นึง (จะพอได้หรือยัง)
ดิฉันคิดว่าการกลับมามองเรื่องเล่าเกี่ยวกับแมงมุมในมุมใหม่ โดยท้าทายคนบ้าง เราอาจจะได้ความคิดใหม่ๆ เกี่ยวกับแมงมุม หรือแม้แต่ทัศนคติที่เรามีต่อสัตว์ ‘ร้าย’ ทั้งหมดก็ว่าได้ ถือเป็นบทเรียนแรกให้เราตั้งคำถามกัน ดิฉันขอฉวยโอกาสเอาช่วงเวลาที่น้องทอม ฮอลแลนด์ผู้น่ารักกำลังห้อยโหนโจนทะยานขโมยหัวใจป้าๆทั้งหลาย มาใช้เป็นช่วงเวลาให้เราได้พินิจพิเคราะห์อะไรๆ เกี่ยวกับคนและแมงมุมในชีวิตของเราดูบ้างนะคะ ช่วงเวลาหายนะ โลกจะแตก ใกล้จะเกิดการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่อีกรอบแล้ว แมงมุมจะให้บทเรียนอะไรเราได้มั่งไหม
ใยแมงมุมและวิทยาการ
ดิฉันได้ไปอ่านเรื่องย่อของสไปเดอร์แมนเดอะมิวสิคอลมา โอ้โห ตายละ มีการแทรกเทพปกรณัมกรีกโรมันอย่างตำนานอารัคเน (Arachne) น่าจะมีหลายๆ คนเคยได้ยินแล้ว ขออนุญาตเล่าไว้ตรงนี้อีกสักทีแล้วกันนะคะ ตำนานที่เล่านี้เอามาจากโคลง นิรมิตกายา (ขอแปลหน่อย) ของ Metamorphoses ของ โอวิด (Ovid) กวีโรมัน
เรื่องเล่าว่าเทพีแพลลัส อะธีนา ซึ่งเป็นเทพีแห่งปัญญา การวางแผนการรบ และทักษะทางศิลป์ ได้เล่าเรื่องการลงทัณฑ์หญิงสาวคนหนึ่งให้บรรดาเทพีมิวส์ (Muses) หรือเทพีแห่งศิลปะวิทยาการทั้งเก้าฟัง เธอเป็นหญิงสาวชาวลิเดีย (Lydia ปัจจุบันคือบริเวณดินแดนฟากตะวันตกของคาบสมุทรอานาโตเลีย เป็นส่วนหนึ่งของตุรกีในปัจจุบัน) นาม อารัคเน เป็นบุตรของอิดมอน (Idmon) ช่างย้อมผ้า อารัคเนป่าวประกาศว่าเธอทอผ้าได้งดงามด้วยการฝึกปรือของเธอเอง ไม่ใช่พรจากองค์อะธีนา เธอพูดด้วยซ้ำว่าเธอทอพรมผนัง (tapestry) ชนะองค์อะธีนาแน่นอน เทพีอะธีนาไม่พอใจอยู่แล้ว เธอก็คิดจะลงมาสั่งสอน แต่ก่อนอื่นต้องให้โอกาสก่อน เทพีเลยกลายร่างเป็นหญิงชรา มาเตือนอารัคเนให้รู้จักที่ต่ำที่สูง และขอให้ถอนคำพูดเรื่องจะท้าเทพีมิเนอร์วา แต่อารัคเนไม่สนใจ ทันใดนั้นเองหญิงชราก็คืนร่างเดิมเป็นเทพี และรับคำท้าจากอารัคเน
ทั้งสองทอผ้าโต้รุ่งจนเสร็จสมบูรณ์ เทพีทอพรมเป็นตำนานของตนเอง ว่าด้วยที่มาของกรุงเอเธนส์ เดิมเทพโพไซดอน (Poseidon) พระสมุทร แย่งชิงเมืองนี้กับเทพีอะธีนา เทพโพไซดอนได้ฟาดตรีศูลลงไปที่หินจนหินแตก มีน้ำพุน้ำเค็มพุ่งขึ้นมา เป็นของขวัญประทานให้ชาวเมือง ในขณะที่เทพีอะธีนาประทานต้นมะกอก ซึ่งมีประโยชน์ทุกส่วนให้แก่ชาวเมือง ทวยเทพจึงตัดสินให้เทพีอะธีนาเป็นผู้ชนะ เมืองจึงได้ชื่อว่าเอเธนส์ กรอบทั้งสี่ด้านของผ้าก็เป็นภาพของผู้คนทั้งหลายที่พยายามจะท้าทายเทพีอะธีนาและถูกลงโทษในรูปแบบต่างๆ กัน ทั้งหมดล้อมกรอบด้วยกิ่งมะกอก เทพีนั้นได้หันไปชมผ้าของอารัคเน ผ้าทอของอารัคเนนั้นงดงาม แต่ลวดลายนั้นเป็นภาพวีรกรรมของเทพบดีซูส (Zeus) บิดาของเทพีอะธีนาและเทพบุตรองค์อื่นๆ ที่แปลงร่างเป็นสิ่งต่างๆ เพื่อหลอกล่อสาวงาม (หรือแม้แต่หนุ่มหล่อ) ในแดนมนุษย์ให้ตกเป็นของเทพบดี เช่น ซูสแปลงร่างเป็นวัวให้เจ้าหญิงยูโรปา (Europa) ขึ้นขี่บ้าง โพไซดอนแปลงร่างเป็นแกะเพื่อจะได้สมสู่กับนางธีโอฟาน (Theophane) ซึ่งเขาได้สาปให้เป็นแกะตัวเมีย เทพอะพอลโลในชุดคนเลี้ยงแกะเคียงคู่กับแอดมีทัส (Admetus)
ฝีมือทอผ้าของทั้งคู่นั้นงดงาม เทพีอะธีนาเห็นพรมของอารัคเนนั้นงามไม่มีที่ติ หากเนื้อหาในพรมอันว่าด้วยอาญาสวรรค์ (crimes of heaven) นั้นเกินจะรับได้ เทพีจึงใช้กระสวยฟาดอารัคเนให้อับอาย จนอารัคเนอยากผูกคอตาย แต่แล้ว เทพีได้ให้อภัยและเปลี่ยนให้เธอเป็นแมงมุม เพื่อจะได้ถักทอไปตลอดชีวิต อารัคเนจึงกลายเป็นแมงมุมตัวแรกของโลก
เราอาจจะต้องมองว่าเหตุการณ์ทั้งหมดในเรื่องกับความจริงนั้นสลับกัน แมงมุมต่างหากคือคนที่ถักทอทุกอย่างมาก่อน ถึงแม้จะไม่ได้เอามาห่มตัวก็เถอะ และแมงมุมก็ไม่ต้องให้ใครมาสาปให้ถักทอไปตลอดชีวิต
ฟังจนจบ คำถามแรกที่อาจจะผุดขึ้นในหัวของหลายๆ คนคือ อันนี้เรียกให้อภัยเหรอคะ โดนสาปเป็นแมงมุมอย่างนั้น แต่ถ้าใครรู้รากศัพท์ก็อาจจะพอรู้ว่า คำว่า arachne เป็นภาษากรีกแปลว่าแมงมุม ตำนานนี้เขียนขึ้นในยุคโรมัน อาจเป็นเครื่องมือสอนภาษากรีก ปัจจุบันนี้ ยังมีคำในภาษาอังกฤษที่มีที่มาจากศัพท์ภาษากรีกนี้ เช่น arachnophobia โรคกลัวแมงมุม arachnid สัตว์ขามีข้อปล้องในคลาสหนึ่งทางชีววิทยา กลุ่มเดียวกับแมงมุม (เช่น แมงป่อง เห็บ เป็นต้น) หรือ arachnoid ที่เป็นคำวิเศษณ์แปลว่าคล้ายแมงมุม หรือเป็นคำเรียกเนื้อเยื่อในสมองด้วย (สอดคล้องกับความเชื่อในยุคกรีกโบราณที่มองว่าสมองและเส้นประสาททำงานเหมือนแมงมุมและใยแมงมุม)
ถ้านิทานเรื่องนี้เป็นการแต่งย้อนหลัง (มันก็แหงอยู่แล้ว คงไม่มีใครเชื่อว่าแมงมุมเป็นลูกหลานคนหรอกใช่ไหมคะ) เราอาจจะต้องมองว่าเหตุการณ์ทั้งหมดในเรื่องกับความจริงนั้นสลับกัน แมงมุมต่างหากคือคนที่ถักทอทุกอย่างมาก่อน ถึงแม้จะไม่ได้เอามาห่มตัวก็เถอะ และแมงมุมก็ไม่ต้องให้ใครมาสาปให้ถักทอไปตลอดชีวิต ถ้าไม่ถักไม่ทอไม่ชักใย แมงมุมแทบจะทุกสายพันธุ์ก็คงไม่มีอะไรจะกิน และแมงมุมก็ไม่ต้องได้พรจากเทวดาที่ไหน ถึงจะถักทอเป็น แต่เหมือนเป็นทักษะที่ทำได้ทุกตัวตั้งแต่เกิด ไม่ต้องให้พ่อแม่สอนด้วย
ถ้าเรามองจากมุมกลับแบบนี้ คำถามคือนิทานเรื่องนี้มันทำหน้าที่อะไรในความสัมพันธ์ระหว่างคนกับแมงมุม ดิฉันจะตอบว่า
มันเป็นแค่เครื่องยืนยันความเหนือกว่าของมนุษย์ ความเหนือกว่าของเทพเจ้าเหนือชาวบ้าน ที่ไม่ยอมให้ล้อเลียน ไม่ยอมให้ใครมาอวดดื้อถือดีว่าเก่งกว่า
มนุษย์ต้องการจะเป็นศูนย์กลางของความรู้และอารยธรรม ที่แผ่ลงไปยังสิ่งอื่นที่ต่ำกว่ามนุษย์ ตรรกะเดียวกับนักล่าอาณานิคมที่มองว่าคนท้องถิ่นนั้นเบาปัญญา ล้าหลัง และใกล้เคียงกับสัตว์ จำเป็นต้องให้ความรู้แบบตะวันตก แต่ก็ต้องรักษาระยะไม่ให้คนพวกนั้นเป็น ‘ตะวันตก’ ขึ้นมาได้
เทพีอะธีนาเป็นตัวแทนของผู้ก่อตั้งอารยธรรมมนุษย์ และเป็นผู้ช่วยวีรบุรุษแทบจะทุกคนให้ปลอดภัย รวมไปถึงต่อสู้กับสัตว์ร้ายที่อยู่นอกดินแดนของชาวกรีก อะธีนาช่วยเพอร์ซิอัส (Perseus) สังหารเมดูซา (Medusa) ช่วยพาโอดิสเซียส (Odysseus) หรือที่โรมันเรียกว่ายูลิสซิส (Ulysses) กลับบ้านและต่อสู้กับสัตว์ประหลาด ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ถ้าอะธีนาจะเข้าข้างมนุษย์ มองมนุษย์ในฐานะผู้ก่อร่างอารยธรรมและความเจริญ แมงมุมเป็นเพียงสิ่งที่ล้อเลียนความสามารถของมนุษย์เท่านั้น
มีตำนานทำนองเดียวกันเล่าเรื่องอะธีนาสาปผู้หญิงคนหนึ่งให้กลายเป็นมด อะธีนาสาปผู้หญิงคนนี้ ซึ่งมีนามว่าเมอร์เม็กซ์ (Myrmex) เพราะเธออวดอ้างว่าเธอคือคนประดิษฐ์คันไถ ทั้งๆ ที่อะธีนาเป็นผู้ประดิษฐ์คิดค้น เธอจึงถูกสาปให้มด ซึ่งต้องขุดโพรงคอยไถพลิกหน้าดินตลอดไป อธีนาก็ยังมองเห็นว่ามนุษย์นั้นประเสริฐกว่าสิ่งอื่น เป็นผู้ริเริ่มนวัตกรรมต่างๆ และเป็นผู้มีอำนาจเหนือสัตว์อื่น พรมที่เธอทอก็ยืนยันชัดเจนว่าเธอต้องการเน้นอำนาจของเธอ (การลงโทษและการบันดาลสุขให้แก่ชาวเอเธนส์) และพรที่เธอบันดาลเพื่อรังสรรค์อารยธรรมมนุษย์ (ต้นมะกอก) ในขณะที่เรื่อเล่าของอารัคเนนั้นชี้ให้เห็นด้านที่เป็นสัตว์ของทวยเทพ นั่นคืออารมณ์ทางเพศที่ผลักดันให้เทพเจ้าเหล่านั้นแปลงกายเป็นสัตว์เพื่อล่อลวงมนุษย์ การล้อเลียนของอารัคเนจึงท้าทายทั้งความเป็นมนุษย์และเทพเจ้าไปพร้อมๆ กัน ส่วนอำนาจของเทพเจ้านั้นกลับกลายเป็นการเปิดเผยความโหดร้ายของเทพเจ้า โอวิดเองได้ล้อเลียนพรมของอะธีนาด้วย โดยบรรยายปิดท้ายภาพต่างๆ บนพรมว่า
All round the border ran an olive-branch,
The branch of peace. That was the end, and she
Finished her picture with her own fair tree.
ซึ่งอาจแปลเป็นไทยได้ว่า
ล้อมกรอบด้วยกิ่งพฤกษา มะกอกโสภา
สัญญาสันติภาพตระการ
จบเสร็จแต่งเขียนตำนาน ด้วยพฤกษาศานต์
แห่งเทพีทรงปัญญา
การจบการบรรยายอันโหดร้ายด้วยสัญลักษณ์กิ่งมะกอกซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งสันติภาพ ชี้ให้เห็นความย้อนแย้ง หรือความหมายขัดกันเอง ที่ดูแล้วน่าขัน ผืนพรมที่เต็มไปด้วยฤทธิ์เดชของเทพเจ้าลงทัณฑ์มนุษย์อย่างโหดเหี้ยมกลับล้อมกรอบด้วยสัญลักษณ์แห่งสันติภาพ (สำนวนนี้ยังถูกใช้ในภาษาอังกฤษอยู่ hold out an olive branch หมายถึงเสนอสัญญาสงบศึก) แม้แต่ความเหนือกว่าและความผาสุกในภาพของอะธีนายังย้อนกลับมาทำร้ายตัวเอง เช่นเดียวกับการมองว่าคนเป็นสิ่งเดียว ผู้เดียวที่จะสร้างนวัตกรรมต่างๆ ได้ ทั้งที่แมงมุมหรือมดก็ถือว่าเป็นช่าง เป็นวิศวกรเหมือนกัน
ไม่เพียงแต่แมงมุมจะชักใยจนดูเหมือนว่าทอผ้าได้แบบเดียวกับคนแล้ว แมงมุมและใยแมงมุมยังส่งผลอย่างมากต่อการพัฒนาเทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ของคน ภาพแมงมุมในใยแมงมุมกลายเป็นแบบแผนในการอธิบายสมองและประสาทของมนุษย์ดังที่ได้กล่าวไปแล้ว (เรามีเนื้อเยื่อแมงมุมอยู่ในสมองด้วยนะคะ อันนี้ก็เล่าไปแล้วเช่นกัน) นอกจากนี้ ใยแมงมุมยังเป็นที่สนใจของนักวิทยาศาสตร์และวิศวกรเพราะเหนียวใกล้เคียงกับเหล็กกล้า ใยแมงมุมถูกนำไปใช้เป็นแห เครื่องสมานแผล ใยสมานเส้นประสาท จนมนุษย์พยายามสร้างใยแมงมุมเทียมขึ้นมา เพื่อนำไปใช้เป็นวัสดุสำหรับเทคโนโลยีประเภทต่างๆ ดังที่ได้กล่าวไปแล้ว ถ้าอะธีนามาถึงยุคนี้เธออาจจะตกใจก็เป็นได้ ที่เรากำลังเลียนแบบธรรมชาติ ทั้งๆ ที่เราเลียนแบบธรรมชาติมาตลอดไม่ใช่หรือ (ความเปรียบแรกๆ ของโลกก็หนีไม้พ้นการเปรียบเทียบกับสัตว์ กับธรรมชาติ จริงไหมคะ)
ถ้าไม่พูดเรื่องเทคโนโลยี ใยแมงมุมกลายเป็นความเปรียบสำคัญที่มนุษย์ใช้เพื่ออธิบายอำนาจและเล่ห์เหลี่ยม กลายเป็นความเปรียบของการวางแผนใช้ยุทธการล่อหลอกให้คนมาติดกับ และคอยบงการอยู่ในที่มืด
กริยาวลี ‘ชักใย’ ก็ยังคงใช้อยู่จนถึงทุกวันนี้ ทำให้แมงมุมกลายเป็นสัตว์ชนิดหนึ่งที่ถูกเชื่อมโยงกับความชั่วร้าย มนตร์ดำ และความไม่มั่นคงในชีวิต แต่ไม่ว่าเราจะมองมันชั่วหรือดี มันก็ยังหากินแบบเดิมอยู่นั่นเอง เหมือนเป็นวิธีเดียวที่มันจะหากินได้
ถึงแมงมุมจะชักใย หากิน ใช้ชีวิตของมันต่อไป คนก็ยังจินตนาการถึงมันอยู่เรื่อยๆ ยิ่งเป็นสัตว์ในที่มืดด้วยแล้ว จินตนาการยิ่งเตลิดไปเรื่อย ความลึกลับ น่าพรั่นพรึงของแมงมุมนี่เอง ที่นำไปสู่ตัวอย่างที่สองที่เราจะมาสังเกตแมงมุมในมุมคนในวันนี้ นั่นคือแมงมุมและความยั่วยวน
แมงมุม เสน่หามรณะ
ดิฉันคิดว่าหลายๆ คนที่อ่านบทความนี้จะต้องนึกถึงสิ่งที่ดิฉันกำลังจะพูดถึงต่อไปอย่างแน่นอน นั่นคือเพลงแมงมุม ของคุณแสงระวี อัศวรักษ์ ถ้าเกิดไม่ทันจะได้ฟัง หรือไม่ทันแม้แต่จะรู้ข่าวเรื่องการกระชากมงกุฎนางงามของคุณแสงระวี อย่างน้อย บางคนอาจจะเคยได้เต้นตอนอยู่อนุบาล หรือถ้าไม่เคยเต้น คุณอาจจะได้ฟังคุณป๋อมแป๋ม นิติ ร้องเพลงนี้หลายรอบในรายการเทยเที่ยวไทย แต่ถ้าคุณไม่เคยอยู่ดี หาฟังและหาเอ็มวีมาชมได้ใน youtube ค่ะ คีตา เรคคอร์ดสได้ลงวีดิโอไว้
เอาเข้าจริงเนื้อเพลงแมงมุมของแสงระวีไม่ได้ยากนัก เธอเปรียบเทียบคนที่เธอหลงเสน่ห์ว่าเป็นแมงมุม เธอหลงเป็นเหยื่อของเขา ติดอยู่ในใยแมงมุมของเขา แต่ที่น่าแปลกคือมิวสิก วีดิโอนี่สิ เนื้อเพลงร้องว่าตัวเองเป็นเหยื่อ แต่ท่าเต้น การจัดวาง ทุกอย่าง ทำให้คุณแสงระวีกลายเป็นผู้ล่า ดิฉันเชื่อว่านี่คือภาพลักษณ์ที่เราจดจำเกี่ยวกับเพลงแมงมุม มากกว่าเนื้อเพลงแมงมุมเสียอีก
การชักใยแมงมุมในเพลงจึงไม่ใช่การบงการชีวิตคน หรือการวางกับดัก แต่เป็นการตกหลุมรักจนถอนตัวไม่ขึ้น ซึ่งดูจะเป็นสภาวะที่ทั้งน่ากลัวและน่าปรารถนาระคนกัน
เราลองสังเกตเอ็มวีทั้งหมดกันดีๆ นะคะ คิดว่าคงไม่ต้องขยายความมาก ตั้งแต่การเริ่มเพลงด้วยการฮัมเพลงสดๆ ไร้ดนตรี ชวนให้รู้สึกวังเวงใจ แล้วกล้องก็ซูมไปที่มือของคุณแสงระวีที่ขยับไปมาตลอดเวลา ท่านี้มีอยู่แทบตลอดมิวสิกวีดิโอ ดิฉันคิดว่ามือที่ขยับไปขยับมาไม่ต่างจากขาแมงมุม ถึงแม้ว่า ตอนเริ่มเอ็มวี จะมีนักเต้นหนุ่มสวมชุดแมงมุมทำท่าคืบคลานแบบในเพลง ให้เห็นว่านางเอกเป็นเหยื่อของแมงมุม แต่สุดท้ายเธอก็เป็นแมงมุมเองนี่นา ทั้งท่าเต้น ทั้งการร้องเพลง เธอคือผู้ล่าที่กำลังร้องเพลงว่าเป็นเหยื่อ หรือว่า ในเกมแห่งความรักและกามารมณ์ ไม่มีใครเป็นผู้ล่าหรือเหยื่อที่แท้จริง
ในขณะที่เพลงแมงมุมกำลังตอกย้ำภาพอันน่าหวาดกลัวของแมงมุม โดยนำมาใช้เปรียบการตกหลุมรักว่าอันตราย ราวกับการติดกับดักใยแมงมุม แต่ในขณะเดียวกัน ภาพลักษณ์ของผู้ล่าอย่างแมงมุมเป็นภาพลักษณ์ที่น่าปรารถนา น่าเล่น แมงมุมในที่นี้จึงมีลักษณะกำกวม ทั้งน่าหวาดกลัว และดูตื่นเต้นเร้าใจ การชักใยแมงมุมในเพลงจึงไม่ใช่การบงการชีวิตคน หรือการวางกับดัก แต่เป็นการตกหลุมรักจนถอนตัวไม่ขึ้น ซึ่งดูจะเป็นสภาวะที่ทั้งน่ากลัวและน่าปรารถนาระคนกัน
ไม่ใช่แค่เพลงนี้เพลงเดียวที่ใช้ภาพแมงมุมสื่อถึงกามารมณ์ ความคิดนี้มีมานานแล้ว พฤติกรรมของแมงมุมแม่ม่ายดำ (Black widow spider) ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในโลกตะวันตกมาช้านานกลายเป็นภาพลักษณ์ที่ใช้เปรียบเทียบกับกามารมณ์และผู้หญิงที่อยู่เหนือกว่ายามร่วมเพศ เพราะแมงมุมแม่ม่ายดำตัวเมียนั้นจะกินตัวผู้เมื่อผสมพันธุ์เสร็จสิ้นแล้ว เลยได้ชื่อว่า ‘แม่ม่าย’ ถึงแม้ว่าพฤติกรรมนี้จะเกิดขึ้นไม่บ่อยนักและหลายครั้งที่ตัวผู้ล่อหลอกตัวเมียให้สนใจอย่างอื่น เช่นเหยื่อที่หามาและห่อมาอย่างดีในใยแมงมุม เหมือนเป็นของขวัญวันแต่ง บางทีก็ใช้วิธีเขย่าใยแมงมุมนานๆ เพื่อแสดงให้เห็นถึงอารมณ์ปรารถนาของตน หรือถ้าไม่ได้ทำอะไร ก็อาจจะหนีไปได้ก่อนที่ตัวเมียจะจับกิน
ถึงแม้จะมีความแตกต่างหลากหลายมากมายหลายกรณี ภาพแมงมุมในฐานะที่เป็นตัวแทนของหญิงเจ้าเสน่ห์จอมยั่วยวนและอาจนำไปสู่หายนะของผู้ชายนั้นยังคงอยู่มาตลอด โดยเฉพาะในช่วงปลายศตวรรษที่สิบเก้าที่เริ่มเรียกร้องสิทธิสตรีและเปลี่ยนวิถีชีวิตผู้หญิง จากการอยู่แต่ในบ้าน เป็นการออกมาสู่ห้างสรรพสินค้าและร้านอาหารภายนอก เรื่องสั้นในยุคนั้น ที่ได้นำพฤติกรรมฆ่าผัวของแมงมุมแม่ม่ายยุโรปมาใช้คือเรื่อง “The Spider” (Die Spinne) ของ ฮานส์ ไฮนซ์ อีเวอรส์ (Hanns Heinz Ewers) นักเขียนชาวเยอรมัน ซึ่งมีแมงมุมและหญิงสาวลึกลับเป็นปัจจัยสำคัญในเรื่อง (ลองหาอ่านดูนะคะ มีฉบับแปลภาษาอังกฤษให้อ่านฟรีได้ในอินเทอร์เน็ตค่ะ)
สิ่งสำคัญอย่างหนึ่งที่เราพอจะสังเกตได้จากการเชื่อมโยงแมงมุม กามารมณ์และความตายนั้น คือแมงมุมในกรณีนี้ไม่ใช่แมงมุมที่น่ารังเกียจและน่าขยะแขยงเสียทีเดียว แต่เป็นแมงมุมที่ยั่วยวนให้เราเข้าใกล้ๆ ไปพร้อมๆ กับเป็นแมงมุมที่เราอยากจะเป็น
ใยแมงมุมที่ทั้งมัดทั้งรัดจนดิ้นไม่ได้ก็อาจไม่ต่างจากการมัดรัดในกิจกรรมทางเพศแบบซาดิสต์ (Sadist) และมาโซคิสต์ (Masochist) ซึ่งต้องการความรุนแรงเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของความเร้าใจ สิ่งที่น่าสนใจคือ การใช้ภาพของแมงมุมในการสะท้อนลักษณะซาโดมาโซคิสม์ (ทั้งสองกรณีผสมกัน) นั้น (หรือแม้แต่การใช้ภาพสัตว์ร้ายในกรณีอื่นๆ) มักแสดงให้เห็นความกำกวมของผู้เล่นบทผู้ล่าและเหยื่ออยู่เสมอๆ ไม่มีใครเป็นผู้กระทำหรือผู้ถูกกระทำแต่ฝ่ายเดียวตลอดไป ต่างฝ่ายต่างผลัดกันเล่นทั้งสองบทบาท บางครั้งการแอ๊บว่าเป็นเหยื่อแมงมุมก็อาจหมายถึงการกดทับความปรารถนาจะเป็นผู้ล่า ที่ต้องกดทับไว้เพราะสิ่งที่เราอยากจะล่ามันไม่ถูกไม่ควร
สิ่งที่น่าสนใจอย่างหนึ่งเกี่ยวกับพฤติกรรมทางเพศแบบซาดิสต์มาโซคิสต์ที่โยงกับแมงมุมนั้นเป็นเพียงการเลือกมองชีวิตแมงมุมเพียงส่วนเดียวเท่านั้น และการเลือกมองนั้นไม่ได้เป็นเพียงการเหยียดหรือเน้นย้ำว่าสัตว์นั้นเป็นสัตว์ป่าเถื่อนและโหดร้าย แต่กลับเปิดเผยความปรารถนาบางอย่างที่เราต้องการจะทำเพื่อแหกกฎของอารยธรรมมนุษย์ ความรุนแรงป่าเถื่อนของอารมณ์ทางเพศที่ควบคุมไม่ได้จนทำให้คู่รักต้องตายนั้นกลายเป็นพฤติกรรมที่คนนำมาเล่าขานอย่างกำกวมทั้งน่ากลัวแต่ก็น่าตกเป็นเหยื่อ หรือยิ่งไปกว่านั้น น่าเล่นบทบาทของแมงมุมเสียเอง พฤติกรรมแมงมุมในมุมมองที่มนุษย์เลือกใช้อธิบายความดิบเถื่อนของอารมณ์ทางเพศแบบสัตว์ กลับทำลายเส้นแบ่งระหว่างสัตว์กับมนุษย์ลง และชี้ให้เห็นความปรารถนาที่จะหลุดออกจากกรอบความอารยะแบบที่มนุษย์มองตัวเอง
ทั้งสองเรื่องราวนำเสนอภาพแมงมุมที่ดูต่ำต้อย น่าหวาดกลัว และท้าทายมนุษย์ให้หลุดออกจากการเป็นตัวเอง ณ ช่วงเวลาที่โลกจะแตกเพราะน้ำมือมนุษย์แบบนี้ (เรื่องนี้คงไม่ต้องบอกนะคะ ว่าน้ำมือเราตรงไหน) เราคงจะต้องกลับไปอ่านตำนานวีรบุรุษปราบสัตว์ร้ายสารพัดอย่างอีกสักรอบ แล้วถามตัวเองว่า เรื่องเล่าเหล่านี้หรือเปล่าที่มีส่วนทำให้เราคิดว่าตัวเองเหนือกว่า ไม่ใช่แค่นั้น ทำให้เราสร้างสัตว์ร้ายขึ้นมาด้วย โลกมันพังส่วนหนึ่งก็เพราะเราคิดว่าเราดีกว่าใคร เราอาจต้องกลับไปคุยกับสัตว์ร้ายที่บรรดาวีรบุรุษเคยสังหารเพื่อสร้างอารยธรรมมนุษย์ เพื่อจะหาทางอยู่ร่วมกัน แม้จะไม่สันติเท่าไรนัก
เรากลัวแมงมุม เรากลัวการติดกับดักแล้วถูกจับกิน กลัวความไม่มั่นคงว่าวันหนึ่งเราจะเดินเข้าไปในกับดักนั้น ผู้เขียนไม่เคยว่าอะไรถ้าใครจะกลัวแมงมุม แต่ถ้าคุณไม่กลัว หรือวันหนึ่งก้าวออกมาจากความกลัวนั้นได้บ้าง เราอาจจะต้องกลับมาพูดคุยกับปีศาจตนนี้ ปีศาจที่ต้องหากิน ต้องสร้างกับดักเพื่อให้อิ่มท้อง และผูกมิตรเท่าที่ทำได้ เราเองนั้นทั้งกิน ทั้งสร้างกับดักสารพัดเพื่อหาอาหารมากิน (จนเกินพอดีด้วยซ้ำบางครั้ง) การเข้าไปใกล้สัตว์ร้ายเหล่านี้มากขึ้น ก็เพียงเพื่อจะเรียนรู้วิธีการอยู่กับโลกแบบที่เราไม่เคยรู้มาก่อน
ถึงแม้เราจะเข้าไปนั่งในใจของแมงมุมไม่ได้ แต่การเข้าไปเรียนรู้จากสิ่งที่เราเคยเรียกว่าปีศาจและการพยายามผูกมิตรกับสิ่งที่เราถูกสอนมาให้เกลียดนี่แหละ อาจจะช่วยเรารื้อความทะนงหลงตัวเองของมนุษย์ออกไปได้