เชื่อว่าหลายคนคงเคยได้ยิน (หรืออาจจะเคยตั้งคำถาม) เกี่ยวกับภาพเปลือยหรือภาพนู้ด โดยเฉพาะการถ่ายภาพนู้ด ว่าเส้นแบ่งระหว่างความเป็นศิลปะกับความอนาจารนั้นอยู่ตรงไหนกันแน่? แม้คำถามนี้จะถูกถามกันมาเนิ่นนานหลายศตวรรษ แต่ก็ยังหาคำตอบที่ชัดเจนไม่ได้อยู่ดี ยิ่งในยุคปัจจุบันที่เส้นแบ่งพรมแดนระหว่างงานศิลปะและสื่อลามกอนาจารถูกทำให้เลือนรางจนแทบจะแยกไม่ออก ก็ยิ่งทำให้งานศิลปะแขนงนี้เป็นที่ถกเถียงและตั้งคำถามอย่างไม่รู้จบ
ในครั้งนี้เราจึงขอนำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับหนังเรื่องหนึ่ง ที่ตั้งคำถามเกี่ยวกับศิลปะการถ่ายภาพนู้ดได้อย่างน่าสนใจ หนังเรื่องนั้นมีชื่อว่า Still Life of Memories (2018) ผลงานของผู้กำกับชาวญี่ปุ่น ฮิโรชิ ยาซากิ (Hitoshi Yazaki) ที่ได้แรงบันดาลใจจากนวนิยาย Eizō Yōri (1984) ของนักเขียนชาวญี่ปุ่น อินูฮิโกะ โยโมตะ (Inuhiko Yomota)
หนังเล่าเรื่องราวของ เรอิ (ฮารุ นัตสึโกะ) ภัณฑารักษ์สาวแห่งพิพิธภัณฑ์ศิลปะภาพถ่ายประจำจังหวัดยามานาชิ (Yamanashi Prefectural Photography Museum) ระหว่างเดินทางมาโตเกียว เธอได้เข้าชมผลงานนิทรรศการภาพถ่ายของช่างภาพหนุ่ม ฮารุมะ (มาซาโนบุ อันโดะ) ที่หอศิลป์แห่งหนึ่ง และหลงใหลในภาพถ่ายของเขาอย่างมาก หลังจากนั้น เรอิติดต่อจ้างวานให้ฮารุมะไปถ่ายภาพเธอเป็นการส่วนตัวที่บ้านพักอันโดดเดี่ยวในป่ากลางหุบเขา โดยเธอมีข้อแม้สองข้อ คือ หนึ่ง ห้ามถามคำถามใดๆ และ สอง เมื่อถ่ายภาพเสร็จแล้วเขาต้องมอบฟิล์มให้เธอทั้งหมด เขาตอบตกลงด้วยความสงสัยใคร่รู้
ถึงตอนนี้หลายคนอาจจะพอเดาได้ว่าภาพที่เรอิให้ฮารุมะถ่ายนั้นน่าจะเป็นภาพนู้ดของเธอเป็นแน่ แต่ที่เซอร์ไพรส์ทั้งฮารุมะและผู้ชมอย่างเรานั้นก็คือ ภาพที่เธอสั่งให้เขาถ่ายนั้นไม่ใช่ภาพนู้ดธรรมดา หากแต่เป็นการถ่ายเจาะโคลสอัพไปที่ของสงวน หรือโยนีอันเปล่าเปลือยไร้การปิดบังของเธอ
ถึงแม้พล็อตเรื่องจะฟังดูหมิ่นเหม่ไปในทางลามกอนาจาร (และอาจทำให้นึกถึงพล็อตหนังเอวีบางเรื่อง) แต่ด้วยชั้นเชิงของผู้กำกับอย่างยาซากิในการนำเสนอหลากแง่มุมของศิลปะภาพถ่ายและทิวทัศน์ธรรมชาติอันงดงามเปี่ยมสุนทรียะราวบทกวี และเรื่องราวอันลึกซึ้งที่ตั้งคำถามอย่างน่าสนใจเกี่ยวกับความหมายและสุ้มเสียงของภาพถ่าย ไปจนถึงความหมายของชีวิตและความตาย หนังยังเต็มไปด้วยบรรยากาศอันแปลกประหลาดชวนฝัน หากสงบเงียบนิ่งงัน ที่เรามักจะพบเห็นแค่เพียงในหนังญี่ปุ่นเท่านั้น ที่สำคัญ หนังยังพาเราไปสำรวจเส้นแบ่งพรมแดนอันเลือนรางระหว่างความเป็นศิลปะและความลามกอนาจารของภาพนู้ดได้อย่างลุ่มลึก เปี่ยมความหมาย
อันที่จริง การถ่ายภาพนู้ดลักษณะนี้ในหนังนั้นได้แรงบันดาลใจมาจากผลงานจริงของศิลปินชาวฝรั่งเศส อองรี มัคเคอโรนี (Henri Maccheroni) ศิลปินเซอร์เรียลลิสต์ยุคหลัง (post surrealist) ผู้ทำงานจิตรกรรม ภาพพิมพ์ และภาพถ่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาพถ่ายอวัยวะเร้นลับของสตรีอันจะแจ้งเปิดเผย หากแต่งดงามน่าพิศวง
ในช่วงปี ค.ศ.1969–1974 มัคเคอโรนีทำงานภาพถ่ายชุดหนึ่งที่เจาะจงโคลสอัพไปที่โยนีของสตรีโดยเฉพาะ โดยในช่วงแรกเขาเริ่มต้นจากการถ่ายโยนีของนางแบบเพียงคนเดียวตั้งแต่ปี ค.ศ.1969 จนกระทั่งปี ค.ศ.1972 เขาจึงเริ่มหันไปถ่ายโยนีของนางแบบคนอื่นๆ ถึงปี ค.ศ1974 ภาพถ่ายของมัคเคอโรนีสำรวจความเป็นโยนีในแทบจะทุกแง่มุม ทุกองศา ในทุกสภาพแวดล้อมเท่าที่จะเป็นไปได้ ทั้งโยนีพูนพงรกครึ้มไป จนถึงเกลี้ยงเกลาไร้โลมา และจัดแสดงภาพถ่ายเหล่านี้ในนิทรรศการที่มีชื่อว่า 2000 Photos du Sexe d’une Femme (2,000 Photos of the Sex of a Woman) (1969-1974)
ถึงแม้ภาพถ่ายโยนีเหล่านี้จะถูกถ่ายด้วยฟิล์มภาพขาวดำที่เน้นความงามในเชิงศิลปะมากกว่าจะเป็นภาพลามกยั่วยุกามารมณ์ แต่ก็ไม่ได้ทำให้ความอื้อฉาวของมันลดน้อยถอยลงแต่อย่างใด (แม้ในยุคสมัยนี้ก็ตาม) และอันที่จริงภาพโยนีที่มัคเคอโรนีถ่ายนั้นมีมากถึง 6,000 ภาพ หากแต่ถูกคัดเลือกมาแสดงเพียงจำนวนหนึ่งในสามเท่านั้น เหตุเพราะหอศิลป์ไม่มีพื้นที่เพียงพอจะแสดงภาพทั้งหมดได้พร้อมกันนั่นแหละนะ
ถึงแม้โดยปกติอวัยวะเพศของสตรีที่มีชื่อเรียกสั้นๆ ว่า ‘หอ สระอี’ (วัยรุ่นปัจจุบันเรียกว่า ‘กี’) หรือที่เรียกอย่างเป็นทางการว่า ‘โยนี’ หรือในชื่อเล่นน่ารักน่าชังว่า ‘จิ๋ม’ จะเป็นสิ่งพึงปกปิดซ่อนเร้นในความรู้สึกของคนทั่วไป ดังที่เรียกขานกันว่า ‘ของลับ’ ‘ของสงวน’ หรือ ‘จุดซ้อนเร้น’ หรือถ้าจะเปิดให้ดูกันจะจะ โจ่งแจ้ง ก็เห็นจะมีอยู่แต่ในสื่อที่ถูกตราหน้าว่าลามกอนาจารเท่านั้น แต่ในทางกลับกัน อวัยวะเร้นลับที่ว่านี้ก็ถูกจับจ้องและสำรวจตรวจสอบมาอย่างเนิ่นนานแล้วในโลกศิลปะ
ไม่ว่าจะเป็นภาพวาดลายเส้นแสดงกายวิภาคภายในของอวัยวะเพศสตรีอันละเอียดลอออย่าง The Female Sexual Organs (1510) ของศิลปินเอกแห่งยุคเรอเนซองส์ เลโอนาร์โด ดา วินชี (Leonardo da Vinci), หรือภาพวาดโยนีในระยะประชิดที่สุดภาพแรกในโลกอย่าง L’Origine du monde (1866) หรือ The Origin of the World (บ่อเกิดของโลก) ของศิลปินชาวฝรั่งเศสแห่งช่วงปลายศตวรรษที่ 19 กุสตาฟว์ กูร์แบ (Gustave Courbet) ที่เป็นภาพเปลือยไม่ปรากฏหน้าตาของนางแบบหากแต่โคลสอัพไปที่หว่างขาที่อ้าออกกว้างเปิดเผยอวัยวะซ่อนเร้นเบื้องล่างของเธอให้เห็นอย่างจะแจ้ง แสดงความยั่วยวนทางเพศอย่างเต็มที่จนแทบจะน่าขัน หรือผลงานภาพถ่ายของศิลปินเซอร์เรียลลิสม์ชาวเยอรมัน ฮานส์ บาลเมอร์ (Hans Bellmer) อย่าง Untitled Study for Georges Battaille’s Histoire de l’oeil (1946) ที่แสดงภาพอวัยวะกึ่งกลางหว่างขาของสตรีที่ถูกแหวกให้เห็นภายในอย่างโจ่งแจ้งแดงแจ๋
ไม่เพียงศิลปินเพศชายเท่านั้นที่สำรวจอวัยวะส่วนนี้ของสตรีอย่างใกล้ชิด ศิลปินเพศหญิงเองก็สำรวจอวัยวะส่วนนี้ของพวกเธอเองอย่างใกล้ชิดเช่นเดียวกัน ยกตัวอย่างเช่นศิลปินชาวฝรั่งเศส-อเมริกันอย่าง หลุยส์ บรูชัวร์ (Louise Bourgeois), ศิลปินชาวเยอรมัน-อเมริกันอย่าง กีกี สมิธ (Kiki Smith) หรือศิลปินชาวอเมริกันอย่าง เบ็ตตี้ ทอมป์กินส์ (Betty Tompkins) ที่ทำงานจิตรกรรม ภาพวาดลายเส้น และประติมากรรมรูปโยนีกันอย่างเอิกเกริก หรือศิลปินในสายศิลปะแสดงสดอย่าง แคโรลี ชนีแมนน์ (Carolee Schneemann), ชิเงโกะ คูโบตะ (Shigeko Kubota), วาลี เอ็กซ์พอร์ต (Valie Export) และ มิโล มัวเร่ (Milo Moiré) ที่ต่างก็ใช้โยนีของตนเองเป็นเครื่องมือในการทำงานศิลปะแสดงสดอันจะแจ้ง อื้อฉาว ศิลปินหญิงเหล่านี้ต่างใช้โยนีท้าทายและสั่นคลอนโลกศิลปะที่เพศชายเคยถือครองอำนาจอย่างเบ็ดเสร็จจนสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นมาแล้วทั้งนั้น (อ่านเพิ่มได้ที่ : thematter.co)
กลับมาที่หนัง Still Life of Memories ถ้าเป็นพล็อตหนังอีโรติกทั่วๆ ไป การถ่ายภาพนู้ดอันจะแจ้งล่อแหล่มเช่นนี้น่าจะทำให้ช่างภาพและนางแบบคู่นี้มีความสัมพันธ์เลยเถิดไปกว่าการถ่ายภาพนู้ดธรรมดาเป็นแน่ หากสถานการณ์กลับซับซ้อนยิ่งไปกว่านั้น เหตุเพราะ นัตสึกิ (มัตสึดะ ริมะ) แฟนสาวของฮารุมะผู้ทำงานอยู่ในหอศิลป์ที่เขาแสดงงานอยู่เกิดระแคะระคาย และทราบเรื่องนี้จากปากของเขาในภายหลัง เธอเลยขอเข้าไปร่วมสังเกตการณ์การถ่ายภาพด้วยอีกคน สถานการณ์จึงยิ่งแปลกประหลาดและซับซ้อนยิ่งขึ้นไปอีก
ทำให้นอกจากจะสำรวจความสัมพันธ์อันซับซ้อนระหว่างช่างภาพและนางแบบนู้ดแล้ว หนังยังสำรวจความสัมพันธ์ระหว่างช่างภาพนู้ดกับคนรักของเขา และสำรวจความรู้สึกนึกคิดของหญิงสาวผู้มีคนรักเป็นช่างภาพนู้ดที่ต้องรับรู้ถึงการทำงานของชายอันเป็นที่รักของตน ในการออกไปถ่ายภาพนู้ดและจ้องมองร่างเปลือยหรืออวัยวะเพศของหญิงอื่นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ได้อย่างน่าสนใจ
ประเด็นเหล่านี้ในหนังทำให้เรานึกไปถึงชีวิตและผลงานของศิลปินภาพถ่ายชาวญี่ปุ่นผู้อื้อฉาวที่สุดคนหนึ่งอย่าง โนบุโยชิ อารากิ (Nobuyoshi Araki) ผู้เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางจากภาพถ่ายอีโรติกที่วางตัวอยู่บนพรมแดนทับซ้อนกันระหว่างศิลปะและอนาจาร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ภาพถ่ายของหญิงสาวที่เปลือยเรือนร่างอย่างจะแจ้งและประกอบกิจกรรมทางเพศอันโลดโผนจนเกือบจะวิตถาร ทำให้หลายคนมองว่าภาพถ่ายของเขาไม่ต่างอะไรกับภาพโป๊ลามก แต่ในขณะเดียวกัน ภาพถ่ายของเขาก็เต็มเปี่ยมไปด้วยสุนทรียะและศิลปะแห่งความงดงามเย้ายวนอย่างปฏิเสธไม่ได้
อารากิยังเป็นที่รู้จักอย่างอื้อฉาวจากการเข้าถึงเนื้อถึงตัว และมักมีความสัมพันธ์กับนางแบบที่เขาถ่ายภาพอย่างใกล้ชิด เขากล่าวว่าที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะเขามักได้แรงบันดาลใจในการถ่ายภาพจากเรื่องเซ็กส์นั่นเอง
ในปี ค.ศ.2018 มีข่าวฉาวเกี่ยวกับอารากิ โดยหญิงสาวชื่อ คาโอริ ผู้เคยเป็นนางแบบให้เขาในช่วงปี ค.ศ.2011–2016 ออกมาเรียกร้องความเป็นธรรมเกี่ยวกับการทำงานของเธอกับอารากิ โดยเธอกล่าวว่า เขาเอารัดเอาเปรียบและแสวงหาผลประโยชน์จากเธอ ทั้งในทางศิลปะและเรื่องเงินๆ ทองๆ เธอกล่าวว่าเธอทำงานให้เขาโดยไม่มีสัญญาว่าจ้าง และถูกบังคับให้ถ่ายภาพเปลือยอย่างโจ่งแจ้งต่อหน้าคนแปลกหน้ามากมายโดยไม่ได้รับค่าจ้างอย่างเป็นธรรม แถมภาพเปลือยของเธอยังถูกนำไปเผยแพร่โดยไม่ได้รับความยินยอม ประสบการณ์เหล่านี้ทำให้เธอมีบาดแผลทางใจและมีปัญหาทางสุขภาพจิต จนเมื่อเกิดกระแส #MeToo ขึ้นในปี ค.ศ.2018 เธอจึงรวบรวมความกล้าออกมาพูดเรื่องนี้ต่อสาธารณะ
ข้อกล่าวหานี้ทำให้เกิดคำถามอย่างมากเกี่ยวกับบทบาทและอำนาจที่ศิลปินและช่างภาพชื่อดังทั้งหลายปฏิบัติต่อนางแบบของพวกเขา ในเดือนธันวาคม ค.ศ.2018 กลุ่มนักกิจกรรม Angry Asian Girls Association ออกมาประท้วงในงานเปิดนิทรรศการภาพถ่ายของอารากิที่หอศิลป์ C/O Berlin เยอรมนี เพื่อกระตุ้นความตระหนักรู้เกี่ยวกับประเด็นนี้
ท่ามกล่างประเด็นอันอื้อฉาวเหล่านี้ ความสัมพันธ์ระหว่างอารากิกับภรรยากลับซับซ้อนยิ่งกว่าเพราะ โยโกะ อารากิ (Yōko Araki) ภรรยาของอารากินั้นเป็นทั้งนางแบบคนแรกและคนสำคัญที่สุดของเขา เธอเป็น Muse หรือเทพธิดาแห่งแรงบันดาลใจให้เขาเริ่มต้นทำงานภาพถ่ายในเชิงศิลปะ หลายครั้งเธอเป็นผู้เลือกนางแบบและผู้ช่วยในการถ่ายภาพนู้ดของเขา เธอยังเป็นแบบเปลือยให้เขาอย่างจะแจ้งเปิดเผยในแทบจะทุกแง่มุม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหนังสือรวมผลงาน Sentimental Journey (1971) ที่เป็นเสมือนหนึ่งไดอารีบันทึกชีวิตรักของอารากิและโยโกะนับแต่ครั้งที่พวกเขาเริ่มต้นชีวิตคู่ ที่ประกอบด้วยภาพการเดินทางไปฮันนีมูน ไปจนถึงภาพถ่ายเขาตอนเขากำลังมีเซ็กส์กับเธออย่างโจ้งแจ้ง อารากิถ่ายภาพของเธอจนกระทั่งวันที่เธอเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งในปี ค.ศ.1990 เขายังถ่ายทอดวันเวลาช่วงสุดท้ายในชีวิตของเธอออกมาในหนังสือ Winter Journey (1991) อีกด้วย
ถึงแม้ผลงานและพฤติกรรมของเขาจะอื้อฉาวและหมิ่นเหม่ต่อการละเมิดกฎหมายและศีลธรรมอันดี จนทำให้เขาต้องเผชิญหน้ากับตำรวจและถูกจับกุมหลายต่อหลายครั้ง แต่อารากิก็รอดพ้นจากการถูกจำคุก (เพียงแค่โดนค่าปรับบ้างบางที) และยังคงเป็นศิลปินที่ได้รับความนิยมและส่งอิทธิพลต่อช่างภาพรุ่นหลังเป็นอย่างมาก ผลงานของอารากิเปิดมุมมองใหม่ๆ ให้สังคมมองเห็นคุณค่าของงานภาพถ่าย และยกระดับให้ภาพถ่ายกลายเป็นงานศิลปะเทียบเคียงกับศิลปะแขนงอื่น ภาพถ่ายของเขากระตุ้นความสนใจของผู้คนอย่างทรงพลัง ทั้งจากสายตาคนในประเทศและคนทั่วโลก ด้วยการทำงานอันแหกขนบ ท้าทายและทำลายกฎเกณฑ์เดิมๆ ของการถ่ายภาพ และค่านิยมเก่าๆ ในสังคมญี่ปุ่นอย่างสิ้นเชิง
ในขณะเดียวกัน ด้วยความที่กระแสของแนวคิดสตรีนิยม (feminism) และความเสมอภาคทางเพศกลายเป็นที่พูดถึงกันอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน บทบาทของศิลปะภาพนู้ด โดยเฉพาะภาพนู้ดผู้หญิงที่สร้างโดยศิลปินเพศชาย ต่างก็ถูกนำมาทบทวนและตั้งคำถามกันถ้วนหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประเด็นเกี่ยวกับอำนาจในการจ้องมองและควบคุมเพศหญิงในฐานะวัตถุทางเพศเพื่อความเพลิดเพลิน หรือ Male Gaze ที่ถือครองโดยศิลปินเพศชายมาช้านานนั้น ต่างก็ถูกชำแหละ วิพากษ์วิจารณ์ หรือแม้แต่ประท้วงต่อต้านกันอย่างมากมายในยุคปัจจุบัน
เช่นเดียวกับบทบาทของตัวละครในหนัง Still Life of Memories อย่างเรอิและฮารุมะ ถึงแม้ดูเผินๆ จะเป็นเรื่องของช่างภาพเพศชายที่ใช้กล้องจับจ้องไปที่อวัยวะเพศของนางแบบเพศหญิง แต่เมื่อดูให้ลึกลงไปแล้ว ความคลุมเครือระหว่างบทบาทของทั้งสอง ก็ชวนให้เราตั้งคำถามว่า ใครกันแน่ที่เป็นผู้มีอำนาจในการจ้องมองและมีอำนาจการควบคุมในกิจกรรมที่ว่านี้อย่างแท้จริง ไม่แน่ว่าบางที ร่างกายของนางแบบนู้ดอาจไม่ได้เป็นเป้าของการจ้องมอง และไม่ได้ถูกควบคุมโดยช่างภาพเพศชายเสมอไป แต่อาจจะเป็นในทางกลับกันก็เป็นได้.
อ้างอิงข้อมูลจาก