(บทความนี้เปิดเผยเนื้อหาสำคัญของภาพยนตร์เรื่อง Sweet & Sour)
หนังรอมคอมเกาหลีสุดฮิตเรื่องล่าสุดของ Netflix พูดถึงเรื่องราวของความสัมพันธ์ที่เปลี่ยนไปกับปัญหาที่เป็นเหมือนบททดสอบพื้นฐานที่คู่รักทุกคู่ต้องเผชิญ นั่นก็คือ ‘เวลา’ ‘ความห่างไกล’ และ ‘คนใหม่ที่เข้ามา’ ได้อย่างน่าสนใจ ด้วยกลวิธีการเล่าเรื่องผ่านรองเท้า ‘คู่ใหม่’ ที่กลายไปเป็น ‘คู่เก่า’
เรื่องราวจะเกี่ยวกับจางฮยอก รับบทโดย จางกียง (Jang Ki yong) หนุ่มวิศวกรไฟแรงผู้ต้องเข้าไปทำงานในเมือง ทำให้ต้องห่างไกลจาก ดาอึน รับบทโดย แชซูบิน (Chae Soo Bin) แฟนสาวนางพยาบาลที่เขารักยิ่ง และยังต้องเจอกับบททดสอบประเภทรักแท้แพ้ใกล้ชิด จากการต้องร่วมงานกับโบยอง รับบทโดย คริสตัล จอง (Krystal Jung)
บทเรียนชีวิตคู่ของ Sweet & Sour รวมถึงตัวหนังน่าสนใจตรงที่เป็นการเล่าเรื่องโดยมีหมุดยึดคือสถานที่และรองเท้านิวลาบานซ์ที่ดาอึนซื้อให้คนรักของเธอกับการรับรู้ตามลำดับที่หนังนำเสนอ ในตอนแรกคนดูจะมองเรื่องราวแบบหนึ่ง ได้ข้อคิดและนั่งขบคิดประเด็นในแบบหนึ่ง แต่พอดูจบ กลับได้อารมณ์และมองทุกอย่างเป็นอีกแบบ หรือก็คือหนังเรื่องนี้เป็นหนังที่ไม่ต่างจากเสื้อซักตัวที่มีฟังก์ชั่นกลับด้านใส่ได้ทั้งสองด้าน แต่ละด้านถึงจะมีเนื้อผ้าเดียวกัน แต่ก็คนละสี คนละลวดลาย และการได้ใส่ด้านหนึ่งก็เหมือนใส่อีกด้านไปด้วยพร้อมๆ กัน
ทำให้เช่นเดียวกัน การพูดถึงหนังเรื่องนี้ในเชิงวิเคราะห์อย่างได้อรรถรสที่สุดเลยต้องทำการแยกออกเป็น 2 ช่วงของเรื่องราว และตอนจบที่แกงคนดูหม้อใหญ่
(เนื้อหาต่อไปนี้เปิดเผยข้อมูลสำคัญของภาพยนตร์เรื่อง Sweet & Sour)
รองเท้าคู่ใหม่
เรื่องราวเริ่มต้นด้วยความป่วยไข้ที่ไม่เคยเป็นเรื่องดี แต่ครั้งนี้กลับเป็นเรื่องดีของคนบางคน เพราะมันนำนางพยาบาลสาวน่ารัก ‘ดาอึน’ มาเจอกับคนไข้ร่างท้วมนามว่า ‘อีจางฮยอก’
ดาอึน เข้ามาทำให้หัวใจจางฮยอกว้าวุ่น พองโต กระปรี้กระเปร่า และทำให้จางฮยอกรู้สึกว่าตัวเองมีค่า ในมุมมองของเขาทุกอย่างเหมือนเรื่องแฟนตาซีและเหลือเชื่อไม่น้อย ที่จู่ๆ จะมีสาวหน้าตาจิ้มลิ้มราวกับนางฟ้ามาเรียกเขาว่า ‘พี่จางฮยอก’ และมาป้วนเปี้ยนที่เตียงเขาบ่อยๆ ทานข้าวด้วยกัน มานานด้วยกัน ชวนคุย แตะเนื้อต้องตัว แถมยังดูแลเอาใจใส่อย่างผิดปกติราวกับทั้งหมดเป็นความฝัน ทำให้เขาเองอดคิดไม่ได้ว่าทั้งหมดนี้คืออะไรกันแน่ เขาคิดไปเองหรือไม่
แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร เธอจะมองเขาเป็นแค่พี่ชายและไม่ได้คิดอะไรด้วยหรือไม่ จางฮยอกที่ตกหลุมรักเข้าอย่างจังแล้วก็ไม่ได้ปล่อยให้โอกาสหลุดลอยเฉยๆ เขาสารภาพรักกับดาอึน และนั่นทำให้ทั้งสองได้เป็นแฟนกัน เธอซื้อรองเท้าให้จางฮยอกเพราะใส่เสื้อคู่ไม่ได้เนื่องจากไม่มีไซส์ และทั้งคู่กำลังจะได้ไปเที่ยวด้วยกันเป็นครั้งแรกที่เกาะเชจู
จางฮยอกดีใจอย่างมากและให้คำมั่นสัญญากับตัวเองและดาอึนว่า เขาจะลดน้ำหนักเพื่อเธอ
รองเท้าคู่เก่า
จากรองเท้าคู่ใหม่ได้แปรเปลี่ยนไปเป็นรองเท้าคู่เก่า จากอ้วนเปลี่ยนเป็นผอม จางฮยอกเปลี่ยนไป หุ่นดีหุ่นเฟิร์มแบบอปป้า จะได้เห็นได้ว่าแม้จะหุ่นดีขึ้นหรือหน้าตาไม่เหลือเค้าโครงเดิม จางฮยอก ยังคงดูรักดาอึนไม่เปลี่ยนแปลง แต่แน่นอนว่าไม่มีอะไรจีรัง และกราฟของหนังจะนิ่งเป็นเส้นระนาบหากเป็นเช่นนั้นตลอดทั้งเรื่อง ไม่ก็จบภายในไม่กี่นาทีไปซะก่อน
นั่นก็เพราะหนังฟังดูปราศจากความขัดแย้ง (conflict) เหมือนที่ชีวิตเรามักเจออยู่ตลอดเวลาในทุกๆ วัน ตั้งแต่เรื่องเล็กยันเรื่องใหญ่ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้เรื่องราวเกิดความน่าสนใจ และเป็นสิ่งที่ทำให้เราตัดสินใจดูหนังซักเรื่อง เพื่อดูความขัดแย้งที่เข้ามาและการแก้ปัญหาของตัวละครนั่นเอง
จากการประสบพบเจอกับตัวเองมาทำให้พอสรุปได้แบบคร่าวๆ ว่า ความขัดแย้งในชีวิตคู่มีอยู่สองแบบหลักๆ ด้วยกัน
แบบแรกคือปัญหาที่เกิดจากความเข้ากันไม่ได้แม้จะอยู่ด้วยกันมากแค่ไหนหรือแทบจะ 24/7 ก็ตาม เป็นปัญหาความสัมพันธ์ที่ทั้งสองต้องทำการหันหน้าคุยกัน ปรับจูนกันอยู่เรื่อยๆ ทั้งมุมมองทัศนคติ กับความสนใจที่เกี่ยวข้องกับ กิจกรรม งาน รสนิยมความชอบ กับสิ่งที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีค่า เพราะยิ่ง intersect หรือมีจุดร่วมกันมากเท่าไหร่ก็มีแนวโน้มจะเข้ากัน อินกัน มีอะไรทำหรือพูดคุยร่วมกัน หรืออยู่ด้วยกันได้ง่ายได้นานมากขึ้นเท่านั้น ถ้าเวิร์คก็ไปต่อได้ ถ้าพยายามแล้วไม่เวิร์ค พยายามอีกก็ยังไม่เวิร์ค ก็คงจบลงด้วยการเลิกราเพราะฉันและเธอต่างกันมากไป
แบบที่สองคือปัญหาระยะทางและเวลา ที่ต่อให้เข้ากันมากแค่ไหนก็เป็นสิ่งที่ท้าทายยิ่ง เป็นบททดสอบที่แทบทุกคู่ต้องเผชิญ และมันสัมพันธ์กับใจ ว่าจะยังมั่นคง ซื่อสัตย์ และวอกแวกน้อยแค่ไหน
ที่กล่าวถึงเป็นช่วงเวลาระหว่างที่ทั้งคู่อาศัยอยู่ด้วยกัน หรือเป็นช่วงเวลาที่ความขัดแย้งที่เป็นตัวขับเคลื่อนของเรื่องราวยังไม่เกิดขึ้น
ตามหลักการเดินทางของฮีโร่ (Hero’s Journey) ของ โจเซฟ แคมป์เบลล์ (Joseph Campbell) ได้พูดถึงตัวละครเอกเอาไว้ว่าทุกอย่างเริ่มต้นที่ความสงบนิ่ง กิจวัตร ความนิ่งนอนใจ อะไรเดิมๆ ธรรมดาๆ แล้วจู่ๆ เรื่องราวก็เริ่มหันเหไปอีกทิศทางจากการที่มีเสียงเรียกแห่งการผจญภัย (The Call to Adventure) นั่นเป็นช่วงเวลาที่ตัวละครของเราจะต้องเดินทางออกจากเซฟโซน/ความปกติสุขไปสู่ความไม่แน่นอน เผชิญกับความท้าทายใหม่ เป็นการเดินทางที่จะทดสอบว่าใจของเขาจะทนไหวต่ออุปสรรคขวากหนาม (obstacle) ที่จะมาต่อจากนี้ได้มากน้อยแค่ไหน
ซึ่งหากวิเคราะห์ตามทฤษฎีนี้ จะพบว่าตรงกับความขัดแย้งแบบที่ 2 ที่เป็นเรื่องของเวลาและระยะทาง
จางฮยอกถูกส่งตัวไปทำงานในกรุงโซล ทำให้ต้องเดินทางไปกลับทุกวัน (จากที่ศึกษามา ระยะทางจากอินชอนกับโซลแบบไปกลับเทียบได้กับการขับรถไปกลับระหว่างนนทบุรีถึงกรุงเทพชั้นใน และรถติดหนักพอๆ กัน) นั่นทำให้เกิดปัญหาเรื่องเวลาและระยะทางที่เข้ามาผลักให้ทั้งคู่ห่างกันเรื่อยๆ
สิ่งหนึ่งที่จะทำให้คนสองคนยังไม่ปล่อยมือออกจากกันและมีตัวตนอยู่ในใจกันและกันเสมอ คือการที่ยุคนี้มีอินเทอร์เน็ต สัญญาณโทรศัพท์ มือถือ หรือสมาร์ทโฟน ที่ช่วยเชื่อมต่อให้คนตั้งแต่นั่งอยู่ข้างๆ จนไปถึงอีกที่คนละมุมโลกสามารถติดต่อกันได้ ทั้งสองใช้ตรงนี้เป็นเครื่องเชื่อมสัมพันธ์ คอยตอบแชตตลอด และจางฮยอกเลิกงานแล้วก็กลับบ้านทันทีเพื่อกลับไปหาหญิงคนรักและใช้เวลาอยู่ด้วยกัน
แต่แน่นอนว่าปัญหากับอุปสรรคที่เกี่ยวกับใจเกิดขึ้นได้ตลอดแม้ว่าจะมีตัวช่วยมากน้อยแค่ไหน ผกผันกับกาลเวลาและความก้าวหน้าของเทคโนโลยีกับนวัตกรรมเหมือนที่ต่อให้ทุกวันนี้เรามีโปรแกรมช่วยทำงานอย่าง Word, Excel หรือ Power Point จากที่เคยใช้เครื่องพิมพ์ดีด สมุดบันทึก และกระดาน มันก็ไม่ได้ทำให้ชีวิตของคนสมัยนี้รู้สึกว่าง่ายไปกว่าตอนนั้น ดันกลายเป็นว่าพอทุกอย่างสะดวกขึ้น เข้าถึงและจัดเก็บง่ายขึ้น กลายเป็นงานเพิ่มพูนขึ้นและยากกว่าเดิม หนักกว่าเดิม เยอะกว่าเดิมด้วยซ้ำ
การมีมือถือหรือสมาร์ทโฟนเองก็เช่นกัน พอมีสิ่งนี้เข้ามาแทนที่และไม่ได้ส่งจดหมายรักจากแดนไกลเหมือนสมัยราชวงศ์โชซอน ก็ไม่ได้หมายความว่ามีตัวช่วยแล้วปัญหาจะไม่เกิด เราไม่มีทางมั่นใจได้เลยว่า ข้อคงามที่กดส่ง หรือคำพูดผ่านโทรศัพท์นั้นจะเป็นความจริงทั้งหมด
จางฮยอก ได้เจอกับ ‘โบยอง’ หญิงสาวที่มีเสน่ห์แบบประหลาดๆ ที่เริ่มจากการเป็นคู่กัดและคู่แข่ง เขม่นและแกล้งกันตลอดเวลา ไปสู่การเป็นคู่หูนักพัฒนาโครงการที่เป็นดาวรุ่งพุ่งแรง
ตัวละครโบยองน่าสนใจตรงที่ถูกออกแบบมาแบบมีกำแพงสูงหนาขวางกั้นและมีบุคลิกภาพที่รู้สึกว่าเอาชนะยากและมีความเป็นศัตรูตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เจอ ซึ่งจะว่าก็ว่าเถอะ หลายคนน่าจะมีประสบการณ์ตอนเด็กๆ ประมาณช่วงประถมหรือมัธยมต้นเหมือนกันคือโดนทุบหลังหรือไปไล่ทุบหลังใครซักคน แกล้งไปแกล้งมา วิ่งไล่จับ หรือทำตัวเป็นปฏิปักษ์กับใครซักคน ทะเลาะกัน ด่ากันไม่เว้นแต่ละวัน แล้วสุดท้ายกลายเป็นเผลอใจให้คนคนนั้นอย่างไม่รู้ตัว ไม่ก็ที่ทำไปหรือที่เค้ามาทำก็เพราะชอบแต่แรกแล้ว
การรู้สึกว่าต้องเอาชนะ และเอาชนะยาก กับการนอกใจแฟนทำให้เกิดความรู้สึกท้าทายตื่นเต้นราวกับเป็นกีฬา extreme ต้องห้ามชนิดหนึ่ง หรือการที่ต้องบ่นถึงคนคนนี้อยู่บ่อยครั้ง ทำให้ใบหน้าของโบยองมาปรากฏในหัวสมองและหัวใจของจางฮยอกถี่แบบไม่รู้ตัว จนทำให้จากที่ต้องการเอาชนะด้านการทำงาน กลายเป็นต้องการเอาชนะใจกับกายโดยที่เขาเองก็ไม่รู้ตัว
ช่วงแรกที่จางฮยอกมีเวลากลับบ้านไปหาดาอึน ก็เพราะเขาจัดการเวลาได้ดี จากการที่ไม่ถูกกับโบยองทำให้เขาทำงานแค่ในส่วนของเขาและไม่สนใจว่าโบยองจะกลับดึกหรือทำตัวเซอแค่ไหนก็ตาม (กึ่งๆ แกล้งด้วย อยากทำตัวแสบดีนัก) จนกระทั่งวันหนึ่งความสงสารห่วงใยกับความเห็นอกเห็นใจ (sympathy) เป็นเหตุ นำไปสู่แต้มความสัมพันธ์และความประทับใจที่เพิ่มระดับมากขึ้น ก่อให้เกิดเป็นการให้การยอมรับในตัวตน และเข้าอกเข้าใจตัวตนกันและกัน (empathy) จนนำไปสู่ความใกล้ชิด (intimacy) ในที่สุด
และมันสั่นคลอนโมเลกุลของความสัมพันธ์คู่รักทีละเล็กทีละน้อย จนพอรู้อีกที ก็ไม่มีอะไรเหมือนเดิมแล้ว
จากการตอบแชตบ่อยๆ เมื่อมีโอกาสและกลับบ้านเร็ว กลายเป็นตอบช้า ตอบบ้างไม่ตอบบ้าง และกลับบ้านเช้า หรือตอบว่าจะกลับแต่กลับไม่ได้
จากที่เคยขำคนอื่นที่เอาน้ำล้างผมและแต่งตัวบนรถขณะรถติด กลายเป็นคนที่ทำเอง
จากที่รายงานและพูดความจริงตลอดเพื่อให้ฝ่ายหญิงสบายใจ กลายเป็นพูดโกหกบิดเบือน
จากที่ทำอะไรให้เป็นปกติ กลายเป็นลืมเปลี่ยนหลอดไฟ ขี้เกียจทิ้งขยะ เอาใจใส่น้อยลง
จากที่เคยเอ็นจอยที่จะได้อยู่กับดาอึนในเทศกาลคริสต์มาสต์ กลายเป็นเบื่อและมาเพื่อให้ทุกอย่างจบๆ ทำอะไรให้ผ่านๆไป
และจากหลอดที่เคยเพิ่มจาก 0 ไป 100 ของเขากับแฟน กลางเป็นลดลงเรื่อยๆ ในขณะที่หลอด 0 ไป 100 หลอดใหม่ถูกสร้างขึ้นมาโดยอัตโนมัติ
อะไรคือวายร้ายในชีวิตคู่กันแน่.. ความห่างไกล? เวลาที่ไม่มากพอและเข็มนาฬิกาที่เดินติ๊กติ๊กตลอดเวลาทุกวินาที? หัวหน้าที่ส่งเราไปทำงานที่ที่ไกลกับแฟน? หรือคนที่เช้ามายุ่งเกี่ยวกับเราจนทำให้เราหวั่นไหวหรอ?
ที่พูดมาทั้งหมดอาจเป็นสิ่งให้ชีวิตคู่ดูยากขึ้น แต่ไม่มีสิ่งใดเป็นตัวร้ายเลย สิ่งเหล่านั้นเป็นเพียงสิ่งเร้าและบททดสอบที่ทุกคนต้องเผชิญอยู่ตลอดเวลาไม่ว่าจะเรื่องอะไร แง่ไหน และในนี้คืออุปสรรคชีวิตคู่ แต่จะมีแต่คำถามว่าใจเราจะหวั่นไหวมากน้อยแค่ไหน หรือมั่นคงดั่งแข็งแรงดั่งหินผาแบบที่น้ำหรือลก็ไม่สามารถกัดเซาะได้ (แม้ว่าในความเป็นจริงสิ่งเหล่านั้นทำได้ก็ตาม แต่ขอเปรียบเปรยให้ดูเท่ๆหน่อย)
กาลเวลาไม่เคยเป็นตัวร้าย และเราไม่สามารถโทษสิ่งเร้าหรือตัวแปรตัวใหม่ที่เข้ามากระทบกระแทกและชิ่งทิศทางเราราวกับลูกสนุกเกอร์ได้เลย เพราะในท้ายที่สุด เมื่อใจเรานิ่งและเมื่อความรักที่มีต่อคนคนหนึ่งมากพอ อีกฝ่ายจะสัมผัสได้ ในขณะเดียวกันหากมันไม่มากพอไม่ว่าจะทำดีเต็มที่แล้วหรือสิ่งเหล่านั้นทำให้ทำได้ยากเพราะอุปสรรคก็ตาม อีกฝ่ายก็จะสัมผัสได้เช่นกัน
ที่เป็นไฮไลท์อีกอย่างคือตลอดทั้งเรื่องจะมีตัวละครตัวหนึ่ง เป็นชายแก่ใส่เสื้อสีขาว ดูใจดี ทรงเหมือนตัวละครพระเจ้าของ มอร์แกน ฟรีแมน (Morgan Freeman) ทำตัวลึกลับๆ คอยนำทางจางฮยอกตั้งแต่เข้าบริษัทมาและสร้างบรรยากาศให้เป็นใจ แถมยังยุยงให้จางฮยอกหวั่นไหวกับโบยองอยู่เสมอ
ตัวละครนี้เป็นตัวละครเชิงสัญลักษณ์แบบที่ค่อนข้างจะ surreal ที่จะมองว่ามีตัวตนจริงหรือไม่ก็ได้
จะสังเกตได้ว่า เขาแค่ทำหน้าที่ของเขา คือจับตาดู ชี้ทาง ปิดไฟเพื่อสื่อว่า นี่คือเวลาเลิกงานและควรกลับบ้านไปหาแฟนได้แล้ว รวมถึงคอยสะท้อนความปรารถนาเบื้องลึกในจิตใจของจางฮยอกที่ลึกๆ ก็อยากจะเข้าใกล้และสนิทชิดเชื้อกับเพื่อนร่วมงานหน้าสวยและมีเสน่ห์แบบบอกไม่ถูกคนนี้ อาจมองว่าชายคนนี้พูดกับจางฮยอกจริงๆ หรือเป็นจางฮยอกที่คิดในหัวแต่หาความชอบธรรมทางใจด้วยการจินตนาการว่าที่มาลงเอยเช่นนี้เพราะถูกเป่าหูหรืออำนวยความสะดวก หรือเพราะสิ่งเร้าต่างๆ
ทั้งที่จริงๆ แล้ว ทุกอย่างอยู่ที่เราล้วนๆ ว่า จะปล่อยใจไปกับมันหรือไม่ สิ่งเร้ามีเข้ามาในชีวิตทุกด้านไม่ว่าจะเป็นด้านการงาน เป้าหมาย หรือในเคสนี้คือความรัก แต่ไม่ว่าจะด้านไหนก็จะมีจุดมุ่งหมายของมัน และถ้าเราปล่อยตัวปล่อยใจไปกับสิ่งเร้า ก็เท่ากับเป็นการออกนอกลู่นอกทาง ออกจากเลนวิ่งไปยังป่าข้างๆ โดยไม่มีเข็มทิศ หันมาอีกที อย่าว่าแต่มองไม่เห็นปลายทาง แค่กลับเข้าเลนก็ทำได้ยากแล้ว
ความสัมพันธ์ของทั้งคู่พัฒนาไปสู่จุดที่ตกต่ำที่สุด ก็ตอนที่ตัดสินใจทำแท้ง หลังจากนั้นทั้งคู่ออกห่างกันไปเรื่อยๆ ดาอึนไม่ง้อ จางฮยอกก็ไม่ได้รู้สึกอะไรมากเพราะดามใจด้วยความสัมพันธ์ทางใจและทางกายภาพกับโบยอง และมีโบยองเป็นเหมือนตัวสำรองที่รอเปลี่ยนตัวเล่นได้ตลอดอยู่แล้ว
ในช่วงท้าย หนังต้องการจะบอกเราว่า เมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมั่นคงและเข้มแข็งซื่อสัตย์มากพอ ก็จะทำให้ความรักของทั้งสองคนยังมั่นคงได้อยู่เสมอ การที่จางฮยอกเห็นตั๋วบินทริปเกาะเชจูที่ยังไม่ถูกยกเลิกมันตบหน้าเขาดังฉาดว่า “กลับไปหาคนรักได้แล้ว เธอไม่เคยไปไหน มีแต่นายเท่านั้นแหละที่ไป” นั่นทำให้เขาทิ้งโบยองไว้ที่งานเลี้ยงบริษัทและตัดสินใจไปหาดาอึนที่สนามบิน
รองเท้าคนละคู่
ความเจ็บแสบกวนโอ๊ยของหนัง Sweet & Sour คือล้มความการรับรู้เข้าใจ (perception) ที่เรามีต่อหนังทั้งเรื่องแบบพังครืนในทีเดียว ด้วยการจับตัวละครจางฮยอกเวอร์ชั่นอ้วนกับผอมมาวิ่งชนกัน คนดูก็งงสิครับ อะไรกันเนี่ย
กลายเป็นว่าหนังใช้กลวิธีเล่าเรื่องหลอกคนดูแบบแยลยลและอยู่หมัดแบบซีรีส์ Westworld ซีซั่น 1 แต่คนละทิศคนละทาง ทั้งหมดที่เราได้ดูกันไปคือสองไทม์ไลน์ หนังต้องการให้เราเข้าใจว่าหลังจากได้รองเท้าใหม่ จางฮยอกคนอ้วนที่มีชื่อเต็มว่า ‘อีจางฮยอก’ ได้ใส่มันวิ่งจนผอม จนรองเท้าเก่า ที่แท้แล้วรองเท้าเก่านั้นหมายถึง ‘แฟนเก่า’ ส่วนรองเท้าคู่เก่าคือ ‘คนใหม่’ ที่เป็นการบอกมาแบบโต้งๆยิ่งกว่า Twopee Southside ตั้งแต่แรก แต่เราไม่เคยรู้และไม่เคยคิดว่าหนังจะมาลงเอยด้วยการหักมุมหนักมากเช่นนี้ และทั้งสองคนดันเป็นคนละคนกัน แค่ชื่อคล้ายกับและเป็นวิศวะเหมือนกัน แถมยังปิ๊งรักกับดาอึนเหมือนกันอีก เพียงแต่ในคนละช่วงเวลา
ที่จี๊ดกว่าคือจากเป็นหนังดราม่าชีวิตคู่ที่เหมือนจะจบลงด้วยความซึ้งและรักกันเข้าใจกัน กลายเป็นหนัง ‘เกมเดินหมาก’ ที่คนเริ่มเดินหมากแบบลับๆ ก่อนคือผู้ชนะ
กลายเป็นว่าพอดูจบ หลังเฉลยดาอึนที่เป็นตัวละครที่ดูด้อยกว่า (inferior) และดูไม่รู้เรื่องรู้ราว ถูกหลอกมาตลอด กลายเป็นตัวละครที่เก๋าเกมส์กว่า ร้ายกว่า (superior) เสียอย่างนั้น
ด้วยการที่เธอรู้สึกเหงาและสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลง จึงหาคนมาดามใจและเป็นตัวสำรองรอเสียบแทนไม่ว่าจะหวังเป็นแฟนหรือแค่หาคนมาคั่นเวลาก็ตาม อีกทั้งเมื่อเขากลับไปหาโบยองอีกครั้ง กลายเป็นว่าเธอเองก็ไม่ได้จริงจังกับเขาถึงขั้นนั้นเช่นกัน ซึ่งจริงๆหนังมีการบอกตั้งแต่ที่ถามว่าเธอจะทำยังไงต่อและตอบว่าจะไปเรียนต่อนอกแล้ว แสดงให้เห็นว่าเธอรักตัวเองมากกว่ารักผู้ชาย
คนที่แพ้เกมจึงเป็นจางฮยอกซะเอง กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็สายเกินไปซะแล้ว อย่างที่ชายชุดขาวพูดไว้แบบที่ทั้งเตือนและเย้ยหยันล่วงหน้าไปในตัวว่า
“รถแท๊กซี่ผ่านไปแล้วเราอาจรอเพื่อโบกคันใหม่ได้
แต่คนรักถ้าเราปล่อยหลุดมือผ่านไป
อาจจะไม่มีวันได้เจออีกเลย”
สิ่งที่ทำให้หนังประเภทรักสามเส้าหรือบททดสอบความรักขายออกเสมอ เพราะมันเกี่ยวข้องกับความรักที่เป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคนจะต้องมี ทำให้คนดูรู้สึกเข้าถึงได้อย่างแนบแน่น ยิ่งต้องข้องเกี่ยวกับการตัดสินใจด้วยแล้ว
หนังประเภทนี้ทำหน้าที่เป็นสถานการณ์จำลองและเป็นการเปิดโอกาสให้เราได้วัดศีลธรรมในใจตัวเองไปพลางๆด้วย การให้เราลองแทนตัวเองเป็นตัวละครที่ต้องรู้สึกหรือตัดสินใจบางอย่างที่จะกระทบกับความสัมพันธ์ชีวิตคู่ (เชื่อว่าต่อให้ไม่อยากให้คู่พระนางเลิกกันแค่ไหน ต้องมีแว้บนึงบ้างแหละใช่มั้ยที่เชียร์ให้พระเอกนอกใจแฟน) โดยเฉพาะหนังเรื่องนี้ที่เล่าบททดสอบประเด็นดังกล่าวในรูปของรักโรแมนติก-คอมเมดี้สไตล์เกาหลี ที่จะขำก็ขำ จะรู้สึกเบาก็เบา หรือจะรู้สึกหนักก็หนักไปเลย
คำว่า “กาลเวลายังเปลี่ยนไป นับประสาอะไรกับใจคน”
เป็นคำที่เป็นจริงเสมอ
แต่สิ่งที่ทำให้ท่อนหน้ากับท่อนหลังต่างกันคือ กาลเวลาเป็นสิ่งที่เป็นไปตามธรรมชาติ ด้วยตัวมันเอง และไม่จำเป็นต้องพึ่งปัจจัยอื่นๆใดๆ ตามลำพังเวลาไม่เคยมีพิษมีภัย ก็แค่เดินไปข้างหน้าโดยไม่ได้เฉพาะเจาะจงกับใครเป็นพิเศษ แต่ท่อนหลังจะแปรเปลี่ยนมากน้อยไป หรือจะคงที่เดิมก็ตามปัจจัยที่มาข้องเกี่ยวกับมัน ไม่ว่าจะเป็น ปัจจัยเดิมหรือปัจจัยใหม่ สิ่งเร้า เวลา สถานที่ แต่สำคัญที่สุดอยูที่ ‘ใจเรา’และการตั้งคำถามว่าเอาใจใส่อีกคนมากน้อยหรือยังเหมือนเดิมหรือไม่
หากจะมองว่านี่คือหนังที่ไม่มีใครดี 100% หรือแสบทั้งคู่ก็ได้ หรือจะมองว่านี่เป็นหนังที่ทำให้เรารู้สึกต้องรักและเอาใจใส่แฟนให้สม่ำเสมอและมากขึ้น รวมถึงต้องทำให้ดีที่สุดกับความรักและคนรักก็ได้เช่นกัน ขึ้นอยู่กับว่าจะมองช่วงก่อนหรือหลังหนังเฉลย